ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #4 : Vol.1 Ch.4 อสูรกลืนกินมนุษย์

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 67


     ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.4 อสูรกลืนกินมนุษย์

     

    “ไป๋หวู่เตี๋ยน?” เป็นอีกครั้งที่เมรินทร์ลองใช้เคล็ดวิชาฝ่าฝือลมปราณ ทว่าก็จบด้วยความล้มเหลวอีกครา ผ่านมากว่าสองเดือนแล้วเธอยังทำมันไม่ได้เลย

     

    “ฮะฮะ ครั้งนี้การตั้งท่าเจ้าดีกว่าเดิมนะ” เหลียงเค่อหัวเราะ

     

    “อย่าแซวกันแบบนี้สิ” เมรินทร์หน้าแดงด้วยความเขิดอายเล็กน้อย

     

    เธอก้มจ้ำเบ้าลมพื้นด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกันนะถึงก้าวข้ามผ่านความวิตกกังวล

     

    มันแค่ความผิดพลาด

     

    คำพูดนั้นมันยังลอยเข้าหัวอยู่เลย แม้ปรมาจารย์กู่จะช่วยพูดให้สงบขึ้น แต่มันยังคอยปั่นประสาทจนถึงทุกวันนี้

     

    “ไปเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยไหม?” เหลียงเค่อพูดขึ้น

     

    “หมายความว่ายังไงเหรอเหลียงเค่อ” เมรินทร์เอียงคอสงสัย

     

    “เธอยังไม่เคยไปเมืองใช่ไหมล่ะ?” เหลียงเค่อยิ้มมุมปาก

     

    “เอ๋ จริงเหรอ! ฉันจะได้ไปข้างนอกแล้วเหรอ?” เมรินทร์ประกายในแววตาลุกวาว

     

    “ใช่ พวกเราไปตามคนอื่นกันเถอะ” เหลียงเค่อเดินนำ โดยเมริทร์ตามอยู่ไม่ห่าง

     

    เธอแสดงสีหน้าตื่นเต้นจนออกนอกหน้า

     

    “โย่วว่าไงทั้งสองคน” ซีฮันโบกมือทักทาย

     

    ทั้งเนี่ยนเจิน ถิงถิงก็อยู่ด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตี้ยมกับเหลียงเค่อไว้แล้ว

     

    “ไงเมรินทร์เราไปตามสัญญากันเถอะ” ถิงถิงเข้ามาจับมือของเมรินทร์ไว้

     

    “อือ” เธอพยักหน้ารับ

     

    “ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบอกเลยนะในเมืองมีของน่าสนใจเยอะเลย” เนี่ยนเจินหัวเราะขำใหญ่

     

    ระหว่างที่กลุ่มศิษย์เอกกำลังเดินเข้าไปยังตัวเมืองอยู่นั้นซีฮันก็พูดขึ้น

     

    “แล้วปรมาจารย์กู่ไปไหนเสียแล้วล่ะ ข้าไม่เห็นเขาเลยตั้งแต่เมื่อเข้า”

     

    “เจ้าคงไม่ได้ยินเรื่องเมื่อเช้าเพราะนั่งเพ่งจิตอยู่สินะ ที่เมืองทางตะวันออกมีกลุ่มอสูรกินคนฝูงใหญ่บุกเข้าโจมตีเมือง ปรมาจารย์กู่ใช้เคล็ดวิชากระบี่รุดไปที่นั่นแล้ว” เหลียงเค่อกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

     

    “สถานการณ์ช่างน่าห่วง” น้ำเสียงไม่สบายใจของซีฮันบ่งบอกถึงอารมณ์ของเขา

     

    “หึ! พวกเจ้าใยช่างวิตกกังวลนัก ปรมาจารย์กู่มิมีวันพ่าย” เนี่ยนเจินกอดคอทั้งสองคน “ว่าแต่เจ้าเถอะเมรินทร์ไหนลองใช้เคล็ดวิชากระบี่บินให้ดูหน่อยซิ”

     

    “เอ๊ะ ฉันเหรอ?” เมรินทร์เบิกตา เมื่อมีคนพูดถึง

     

    “ใช่ใช่ ข้าก็อยากเห็นมันในสำนักนอกจากปรมาจารย์กู่แล้วไม่มีผู้ใดใช้ได้เลย แม้แต่จ้าวสำนักตงหยาง” ถิงถิงยิ้มแย้ม เข้ามาใกล้

     

    “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวทำให้ดู” เมรินทร์ชักกระบี่ที่แนบไว้ข้างเอวของตัวเองออกมา

     

    เธอเหยียบมันและลอยขึ้น เพียงแต่ว่ามันยังไม่คงที่ดีนักเนื่องจากจิตใจที่ไม่สงบของเธอ

     

    “นางช่างยอดเยี่ยม! เปรียบดั่งปรมาณจารย์กู่คนที่สอง” เนี่ยนเจินหัวเราะเสียงใหญ่

     

    “ชมเกินไปแล้วค่ะ ฉันยังทะลวงผ่านประการด่านแรกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” เมรินทร์มีสีหน้าตกลง พร้อมกับกระบี่ที่กำลังสั่นไหว

     

    “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเจ้าก็ทำมันได้” เหลียงเค่อพูดปลอบ

     

    “ขอบคุณนะ” เมรินทร์ยยิ้มแก้มปริ กระบี่เองก็ตั้งขึ้นอย่างมั่นคง

     

    “เฮ้! พวกเจ้าน่ะ”

     

    มีชาวบ้านระแวกนั้นคนหนึ่งเดินเข้ามาเรียกพวกเขา ทั้งสี่คนหันมองกันเป็นตาเดียว

     

    “มีเรื่องอะไร” เหลียงเค่อตอบกลับ

     

    “เป็นพวกผู้ฝึกตนของสักนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุบผา)ใช่ไหม” ชายวัยกลางคนถาม

     

    “ใช่” เหลียงเค่อตอบด้วยน้ำเสียงปนสงสัย

     

    “พอดีว่ามีสัตว์อสูรตัวหนึ่งอยู่แถวนี้น่ะ พวกเจ้าช่วยปราบพวกมันให้หน่อยได้ไหม? มันอยู่นิ่งๆ ดูท่าจะอ่อนแอแต่ไม่มีใครกล้าลงมือซักที”

     

    เหลียงเค่อคลายความกังวล

     

    “เรื่องแค่นั้นเองหรอกหรือ”

     

    “พวกเราไปดูกันเถอะ”

     

    ทุกคนพยักหน้าตามคำบอกของเหลียงเค่อ ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงหมู่บ้านระหว่างทาง ผู้คนแถวนั้นต่างมุงดู และเว้นระยะห่างจากอสูรตัวหนึ่ง

     

    “เจ้านั่นเหรอสัตว์อสูรที่ว่า” ซีอันมองด้วยความสงสัย มันเป็นสัตว์อสูรสีดำสี่ขารูปร่างต้วมเตี้ยมไม่สมส่วน แค่เดินไปมายังดูลำบากเลย “ต้องถึงมือพวกข้าด้วย?” ซีฮันถอนหายใจ

     

    “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ห้ามขยับไปไหนเชียว” ถิงถิงบิดข้อมือกรอบแกร๊บ “เมื่อวันก่อนข้าเคยฆ่าพวกมันไปแล้ว พวกมันช่างอ่อนแอ”

     

    “ระวังตัวด้วย” เหลียงเค่อกล่าว

     

    เมรินทร์จ้องอย่างไม่วางตา จะได้ดูการกำจัดอสูรแล้ว

     

    ถิงถิงเดินเข้าไปใกล้ ทว่าอสูรกินคนก็ยังคงไม่แม้แต่ตอบสนองกับผู้ที่เข้ามา เธอยิ้มเยาะ หยิบไม้ตะบองบนหลังไว้บนฝ่ามือ “ดูไว้นะ”

     

    “โฮ่วโหล่(พฤษาทลายฟ้า)” การกระแทกรุนแรงเข้าบริเวณลำตัว

     

    “เอ๊ะ?” ถิงถิงแปลกใจ ทำไมมันไม่ขยับ แม้แต่แรงสะท้อนก็ยังไม่มี

     

    ทันใดนั้นอสูรกินคนก็เหลือบสายตาของมันมองขึ้นมาทางนี้ เหงื่อเย็นไหลซก รับรู้ถึงอันตราย แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ส๊วบ ส่วนหัวของมันขยายออก กลืนกินร่างครึ่งบนของถิงถิง

     

    ทุกต่างมีดวงตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึง

     

    “ถิงถิง!” ซีฮันตะโกน รุดหน้าเข้าไปช่วยถิงถิงก่อนใคร

     

    “เดี๋ยวก่อนซีฮัน!” เหลียงเค่อส่งเสียงดังห้าม ทว่าไม่ทันการ ซีฮันโดนอสูรกินคนที่ซุ่มอยู่ในมุมอับของบ้านเรือนแถวนั้นเข้าเล่นงาน

     

    “หึ ฮ๊า—!!!! อ๊ากกกก” แขนของซีฮันโดนกัดขาดเหวอะหวะจากนั้นเขาก็ล้มลง อสูรกินคนจำนวนมากที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ก็กระโจนกันกรูเข้ามากัดแทะร่างเขา

     

    ขาของถิงถิงที่โดนกินครึ่งบนอยู่ขยับไปมา เสียงกระดูกแตก กรอบแกรบ อสูรกินคนเขี้ยวอย่างแสนสาหัส โพ๊ละ จากนั้นไม่นานเลือดจำนวนมากก็ไหลทะลักออกมาจากปาก พร้อมกับท่องล่างที่หยุดแน่นิ่ง

     

    เมรินทร์สั่นผวาจากภายใน เหงื่อไหลท่วมตัว หัวใจเต้นระรัว เลือดขาดซีดใบหน้า จากการเห็นภาพเหล่านั่น การควบคุมกระบี่ของเธอจบลง ตกลงมาจากที่สูง

     

    “ระวัง!” เหลียงเค่อเข้ามารับเธอเอาไว้

     

    เมรินทร์หายใจหอบเข้าออกไม่เป็นจังหวะ ม่านตาเบิกโพลง ปากสั่นไม่เป็นคำพูด

     

    ไม่นานพวกอสูรกินคนที่เหลืออยู่ก็เริ่มกระจายตัวกันออกมา ไล่กัดกินคนในหมู่บ้าน เสียงกรีดร้องดังทั่วระงม

     

    “เหลียงเค่อพวกเราควรไปช่วยไหม!” เนี่ยนเจินเหงื่ออกไหลถาม เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น

     

    “เราต้องถอยก่อน! รีบไปแจ้งจ้าวสำนักตงหยางเพื่อขอกำลังเสริม” เหลียงเค่อหันหลังด้วยความเจ็บปวด เขาก้าวหนีด้วยฝีเท้าลมปราณอย่างรวดเร็วโดยแบกเมรินทร์ไว้

     

    “ต้องตามปรมาจารย์กู่กลับมาด้วย” เหงื่อบนหน้าผากไหลซก

     

    “เกิดอะไรขึ้น!” เนี่ยเจินกล่าวอย่างหัวร้อน เมื่อได้ยินเสียงแห่งความโกลาหลภายในสำนัก

     

    “ไม่จริง!” เหลียงเค่อตกใจสุดขีด

     

    พอทั้งสามคนเข้ามาภายในตำหนัก ก็พบเขากับภาพที่เหล่าอสูรกินคนกำลังบุกจู่โจมสำนัก พวกมันกำลังไล่สังหารเหล่าศิษย์อย่างป่าเถื่อน

     

    “เหลียงเค่อพะ พวกเราควรทำยังไงดี?” หลังจากเมรินทร์โดนวางลง เธอก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลสุดขีด

     

    เขาเหงื่อเย็นไหล “พวกเราต้องรับมือกับพวกมันที่นี่ หากสำนักโดนโจมตีแบบนี้คงไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้ว”

     

    เมรินทร์สลับหันมองเหล่าอสูรกับพวกเธอ ภาพในตอนนี้มันช่างบ้าคลั่งและน่ากลัว ต้องสู้กับพวกนี้จริงๆ น่ะเหรอ กับคนที่แม้แต่ขั้นหนึ่งจะไม่ทลายปราการ

     

    เหลียงเค่อกับเนี่ยเจินตั้งท่ารับ สัตว์อสูรตัวหนึ่งกำลังมาทางนี้ พวกเขาเกรงว่าเจาตัวที่ฆ่าเหล่าศิษย์และอาจารย์จะแข็งแกร่งอย่างมาก

     

    “โหล่เว่ยซู(ฝ่ามือยูไล)!” แรงกระแทกรูปฝ่ามืออัดอสูรกินคนบี้แบนกับพื้น เจ้าสำนักตงหยางใช้เคล็ดฝ่ามืออรหันช่วยทุกคน

     

    “พวกศิษย์มาหลบหลังข้า” ตงหยางและเหล่าผู้อาวุโสกรูกันออกมาด้านหน้า

     

    เมริทน์แสดงความโล่งอกเปราะหนึ่ง อย่างน้อยพวกเขาก็แข็งแกร่ง

     

    “หวู่เลี้ยนเห๋อ(ร่างทรงอรหัน)” ร่างกายของตงหยางขยาดใหญ่ขึ้นสามเท่า และมีพละกำลังมหาศาลมากขึ้น เพียงแค่การตวัดมือเพียงครั้งเดียวก็ผลักดันอัดสัตว์อสูรได้มากกว่าหลายสิบตัว

     

    “หือ!?” ทว่าการจู่โจมนั้นไม่ได้ฆ่ามัน พวกตัวเล็กตัวน้อยที่ยังรอดอยู่ต่างกรูกันออกมา กัดแทะร่างยักษ์ของตงหยางราวกับมด “เอื้อ!!!”

     

    ขณะนั้นเองแม้แต่ผู้อาวุโสบางคนที่มีปราณขั้นสี่ถึงกับโดนเล่นงาน พวกเขาล้มลงและโดนอสูรกัดแทะอย่างเหี้ยมโหด

     

    “ฮว๊าก— ฮ้า!!!— ม่ายยยยยย—” บางคนถึงกับร่ำร้องเรียกพ่อแม่ขนาดแม้นชราภาพแล้ว “ท่านแม่มมม— ปึ่ง!” ร่างเขาขาดออก โดนฉีกกระชาก

     

    “ไม่ดีแล้ว” เหลียงเค่อไม่อาจยืนอยู่เฉย ทว่าจะทำอะไรได้ ในเมื่อแม้แต่ระดับผู้อาวุโสยังโดนกินอย่างง่ายดาย พวกเขาซึ่งเป็นแค่เหล่าศิษย์จะทำอะไรได้อย่างนั้นเหรอ

     

    เมรินทร์มองอย่างขวัญผวา ล้มทั้งยืน ทันใดนั้นพลันสังเกตสัตว์อสูรตัวหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ มันสังเกตเห็นทางนี้และกำลังกระโจนเข้ามา เนี่ยเจินและเหลียงเค่อตั้งท่าป้องกัน เหงื่อมวลมหาศาลท่วม

     

    วินาทีนั้นเองที่อสูรกินคนกำลังจะเข้าถึงตัว แสงสีเหลืองพลันเจิดจ้าขึ้น

     

    “หรี่เว่ย(แสงกายาศักดิ์สิทธิ์)” ออร่าสีเหลืองอำพันธุ์ห่อหุ้มตัวทุกคนไว้ มิเว้นแม้แต่ร่างอันมโหราฬของตงหยาง พลันที่พวกอสูรกระทบกับแสงนั้น พวกมันต่างกระเด็นออก

     

    “ปรมาจารย์กู่!” เสียงของทุกคนดังพร้อมก้องกังวานขึ้น เมื่อเห็นภาพชายในหน้ากากเงินครึ่งบนขี่กระบี่ลอยอยู่เหนือหัว

     

    ตงหยางมีสีหน้าคลี่คลายลงจากความเจ็บปวดและความเครียด

     

    เมรินทร์มีรอยยิ้มกว้างเหมือนกับทุกคน

     

    “ดูเหมือนพวกแกจะอาละวาดซะเต็มที่เลย” ปรมาจารย์กู่กล่าว ภายในน้ำเสียงอันเยือกเย็นนั้นมีความโกธาแฝงอยู่

     

    “ซูเหวือเรื่อ(ทัณสวรรค์)” สีแสงแดงทยานพุ่งทั่วรอบทิศ เมื่อมันกระทบเข้ากับผิวสัตว์อสูรกินคน ตัวพวกมันก็ระเบิดออกมา พ่นเมือกสีดำ

     

    ราวกับเสียงสวรรค์ทุกต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเราปลอดภัยแล้ว

     

    “ช่วยด้วย! พวกอสูรฝูงใหญ่กำลังมาทางนี้!” มีชาวบ้านคนหนึ่งพุ่งเข้ามา พร้อมกับภาพระลอกคลื่นฝูงใหญ่สัตว์อสูรกินคน ที่มากเสียยิ่งกว่าตอนนี้

     

    เมรินทร์อ้าปากหวอ สีหน้าไร้เลือด ซีดเซียว เขาจะจัดการมันได้ไหมนะ

     

    ปรมาจารย์กู่พ่นลมหาย ช่างน่าเบื่อหน่าย

     

    เขาขี่กระบี่ไปตรงหน้าของฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่ ตั้งฉากเหยียบด้ามกระบี่ตรงข้ามกับพื้น ลอยอยู่เหนือหัวพวกมันและถอดหน้ากากออก

     

    เผยให้เห็นถึงใบหน้าคมคาย ดวงตาทั้งห้าบนหน้าผากเรียงกันเป็นรูปกากบาทเปิดผลึกออก

     

    “หวู่(จิตดิน) ซุ่ย(จิตน้ำ) เร่อ(จิตไฟ) เซีย(จิตโลหะ) หลาง(จิตไม้)” บอลธาตุทั้งห้าลอยเคว้งกลางอากาศ

     

    “. . . . .เหลียวตง(ผสาน)” ธาตุทั้งหลายรวมตัวบิดหมุนโค้ง กระทบพื้น เกิดระเบิดกัมปนาทกลางผืนดิน ต้นไม้ใบหญ้าโดนเผาละลาย ทิ้งเหลือไว้เพียงร่องรอยดินขนาดใหญ่

     

    ผู้คนทั้งหลายต่างร้องกันเฮลั่น เมื่อไร้สัญญาชีวิตของสัตว์อสูร

     

    “บัดนี้ภัยพิบัติถูกขจัดออกไปแล้ว” ปรมาจารย์กู่ขี่กระบี่ลอยมาตรงหน้าเมรินทร์

     

    “ปรมาจารย์กู่คะ” เมรินทร์ร้องเรียกเขาด้วยความดีใจ

     

    “ดูเหมือนว่าหนึ่งในพวกเจ้าจะเกิดความสูญเสีย” ดวงตาของเขาตกลง “ช่างน่าเศร้า”

     

    เหลียงเค่อและเนี่ยเจินต่างเจ็บปวด พวกเขาเป็นสมาชิกที่อยู่ด้วยกันมานาน

     

    “นั่น! พวกมันยังหลงเหลืออยู่ตัวหนึ่ง” มีใครบางคนพูดขึ้น

     

    ปรมาจารย์กู่หันหลังกลับ มีสัตว์อสูรรูปร่างมนุษย์ตัวหนึ่งยืนขึ้นมาจากเศษซากการถูกทำลายล้าง มันมีสภาพไม่ไหวติงและพร้อมตายทุกเมื่อ น่าแปลกใจเล็กน้อยที่เขาเก็บกวาดมันไม่หมด

     

    เขาบินเข้าไปใกล้ และเตะกระบี่ใต้ฝ่าเท้า ตึง เสียงดังลั่นตกกระทบตรึงร่างของสัตว์อสูรไว้กับที่ มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ปรมาจารย์กู่กระโดดถึงพื้น เขาค่อยๆ เดินไพร่หลังเข้าไปใกล้มันอย่างช้าๆ

     

    “พวกแกมันช่างอ่อนแอ” เขาหันสบตากับมันจนหยุดอยู่ใกล้เพียงหนึ่งก้าว “ตายซะ”

     

    ปึง!!!

     

    เมรินทร์ที่กำลังช่วยเคลื่อนย้ายคนเจ็บและหันมองดูสถานการณ์อยู่เบิกตาโพลง

     

    ร่างของปรมาจารย์กู่ถูกแทงท้องทะลุด้วยฝ่ามือแหลมสีดำของสัตว์อสูร เขากระอักเลือด ถูกยกขึ้นเหนือพื้น

     

    “ซุยซุ่นเฮ่อ(พิฆาตสวรรค์)!!!” ปรมาจารย์กู่ที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ใช้ท่าฝ่ามือลมปราณที่รุนแรงที่สุด มันเพียงแค่เกิดแรงกระทบจนใบหน้าหันไปทางอื่น แล้วมันก็หันกลับมา ฉีกรอยยิ้มสีดำ ใช้นิ้วทั้งห้าจิ้มเหล่าดวงตาบนหน้าผาก

     

    “เอื้อ—” ปรมาจารย์กู่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แรงบนฝ่ามือที่บีบหน้าผากอยู่รุนแรงขึ้น “ตงเซี่ยริ่ว(ฝ่าเท้าพิโรธเมฆา)”

     

    “หวู่เฟ่ยเฮ้อ(ตัดปฐพี)”

     

    “เหวี๋ยนซือเรื่อ(ถล่มโลกา)”

     

    “ฉือซื— อ—

     

    แม้จะใช้พลังลมปราณตอบโต้เพียงใดมันไม่สะทกสะท้าน จนแรงบีบนั้นทำให้เขาไม่สามารถใช้สิ่งใดได้อีก

     

    “อ— อ— อะ อ๊ากก...........

     

    เฮือ....... ฮ๊ากกก............. อ้า!!!................. ย๊า!!!!!................ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก....................

     

    เฮือออออออออออออออออออ ห๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!......................

     

    อ๊า!!!!!!!!!!!! …………..เฮืออออออ ฮ้า!!!!!!!!!!!!!!!!! 

     

    อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

     

    กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

     

    กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก— โผล๊ะ—

     

    ใบหน้าของชายผู้เป็นหนึ่งในใตหล้า ถูกบีบจนระเบิดแตกกระจายออก เหลือเพียงครึ่งล่าง สัตว์อสูรตัวนั้นได้ดวงตาทั้งห้ามาครอง มันกลืนดวงตาเหล่านั้นลงท้อง และค่อยๆ กัดแทะร่างที่เหลือบนผ่ามืออย่างเอร็ดอร่อย

     

    สัตว์อสูรค่อยๆ ใช้แรงดึงกระบี่ออก ครืด หลังจากนั้นมันมองมาทางนี้ สบตากับเมรินทร์ที่มีสีหน้าแข็งระเรื่อขาดเลือด

     

    ฉีกรอยยิ้ม ดวงตาบนหน้าผากผุดออกมา กลายเป็นดวงตาทั้งห้าธาตุของมัน กู่ร้องคำรามเสียงดังลั่น จนทุกคนต้องปิดหู ทันใดนั้นเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายที่ยังไม่ตายพลันลุกขึ้น กระโจนกำลังดิ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว

     

    “อ้า!!!!!!!!!!!!!!!!—— กรี๊ด!!!!!— เฮือ!!!!!!!!!!—”

     

    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย—”

     

    “แม่จ๋า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!—”

     

    เสียงกรีดร้องของทุกคนดังขึ้นไม่เว้นแม้แต่เหล่าผู้อาวุโส พวกเขาต่างวิ่งหนีกันด้วยความโกลาหล ทว่าความเร็วของพวกสัตว์อสูรไวกว่า เริ่มเข้าจู่โจมกัดกินร่างเหล่าผู้ฝึกตนอย่างหิวโหย

     

    “ฮ้า!!!—อ้า— ใครก็ได้ช่วยยด้วยยย” เนี่ยนเจินไม่ทันระวังหลังโดนมันตะปบเข้าให้  “ท่านพ่อ ท่านแ— กร๊อบแกร๊บ—” ใบหน้าครึ่งซีกเขาโดนกินเข้าไป

     

    เหลียงเค่อกับเมริทร์ปากคด ไม่มีทางหนี มีพวกมันตัวหนึ่งเข้ามาทางนี้ เขาตั้งท่าอย่างเต็มที่แต่จะทำอะไรได้ล่ะ

     

    ตึง! เสียงร่างยักษ์กระทืบเท้ามาทางนี้ ตงหยางขวางหน้าพวกเขาเพื่อป้องกันเอาไว้

     

    “ท่านจ้าวสำนัก!” เหลียงเค่อตะโกน

     

    “รีบหนีไปซะ!” ตงหยางหันมองทางเมรินทร์ “เจ้าคือผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมา เจ้าเป็นความหวังเดียวของเราแล้วในตอนนี้ ฝากที่เหลือด้วยเหลียงเค่อ”

     

    “ขอรับ!” เหลียงเค่ออุ้มเมรินทร์ไว้บนฝ่ามือ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องพาเธอหนีไปให้ได้

     

    เธอมองภาพที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง ตงหยางกำลังเอาตัวเข้าแลก โดยร่างใหญ่โตของเขา กำลังถูกฝูงสัตว์อสูรกัดกินเนื้ออย่างโหดร้ายป่าเถื่อน

     

    ในที่สุดก็ทนไม่ไหว น้ำตาตกร้องไห้ฟูมฟาย “อึก—ฮือออ—ฮืออออออ—!!!!”

     

    “ไม่ดีแล้ว” เหลียงเค่อมองข้างหลัง สัตว์อสูรตามมาติดๆ

     

    “เหลียงเค่อจะทำอะไร?” เมรินทร์มีสีหน้างุงงวยปนคาบน้ำตาไหลทะลัก เขากำลังวางเธอลง

     

    “ข้าจะล่อมันไว้ เจ้าไปอีกทางซะ!” เหลียงเค่อกล่าวด้วยใบหน้าตึงเครียด

     

    “ไม่! ไม่เอานะ! ฉันไม่อยากเสียนายไปอีกคนเหลียงเค่อ!” เมรินทร์อาบน้ำตาท่วม

     

    “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรอด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ชี้ไปทางภูเขา “เห็นนั่นไหม พวกอสูรมันไม่เคลื่อนตัวในตอนกลางคืน ไว้เราไปเจอกันที่นั่น”

     

    “แต่ว่า…..” ก่อนทันพูดจบเขาชิงพูดขึ้นมาก่อน

     

    “นี่เป็นทางเดียวแล้ว หากข้าวางเจ้าลงข้าจะสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น” ดวงตาสีทองของเหลียงเค่อจ้องมาทางนี้ เขามีรอยยิ้มที่อ่อนโยน

     

    “อือ” เมรินทร์พยักหน้ารับ “แต่นายต้องสัญญานะ ว่านายจะกลับมาเจอฉัน”

     

    “แน่นอนสิ” เหลียงเค่อจับใบหน้านั้นไว้ “ไปเร็วเข้าเราไม่มีเวลาแล้ว” สัมผัสถึงเสียงกิ่งไม้ใบหญ้าที่เข้ามาใกล้

     

    “ไป! วิ่ง!” เหลียงเค่อวิ่งล่อไปอีกทางเพื่อซื้อเวลาไว้

     

    เมรินทร์วิ่งด้วยฝีเท้าสุดชีวิต ขนาดที่ว่าไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน คิดว่าความตายอยู่ตรงหน้า ความตายของทุกคนอยู่เบื้องหลัง ทิ้งทุกคนไว้ แล้วหนีมาเพียงคนเดียว ตัวเองมันช่างบ้าและโง่ อ่อนแอและไม่ฉลาด ทำไมกันนะ ทำไมฉันถึงต้องหลบหนีมาเพียงแค่คนเดียว ไม่เอาแล้วอยากกลับบ้าน อยากจะหนีจากที่นี่ อยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ฝันร้ายที่ตื่นขึ้นมาเจอกับหน้าพ่อแม่ เพื่อน และกลับไปเรียนที่โรงเรียน ต่อให้จะทำงานหนักขนาดไหนก็ยอมทั้งนั้น ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทำไม

     

    “เจ้าดาวหางสีครามนั่น มันส่งฉันมา” เมรินทร์กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้น น้ำตานองหน้า

     

    “ฮือ—ฮือ—” เมรินทร์นั่งกอดเข้าร้องไห้อยู่มุมหนึ่งของเงามืดบนภูเขา

     

    ป่านนี้แล้วเหลียงเค่อเขายังไม่กลับมา ไม่อยากคิดเลยว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม

     

    แซ่ก— แซ่ก—

     

    เสียงใบไม้เข้ามาใกล้ เมรินทร์สะดุ้ง เฮือก ด้วยความหวาดกลัวจับใจ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพจางๆ ลอยเข้ามา เป็นสีผมของเหลียงเค่อ

     

    “เหลียงเค่—”

     

    หัวของเหลียงเค่อถูกกำมือขึ้นผ่านจุกผม ร่างสีดำสนิทของสัตว์อสูรกินคนปรากฏเงาร่างให้เห็น มันแสยะยิ้ม ดวงตาทั้งห้าธาตุจ้องมองมาทางนี้เป็นจุดเดียวอย่างน่าขยะแขยง

     

    “กรี๊ด—!!!!!”

     

    เสียงกรีดร้องของเมรินทร์ดังขึ้น วินาทีที่กำลังหันหลังหนีนั้น มันพุ่งเข้ามากัดขาดเธอไว้ ขาดเหวอะเลือดไหลอาบพื้น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นสมอง

     

    เธอปากสั่นขวัญผวา พยายามไม่สบตากับมัน แต่อสูรสีดำก็ยกตัวเธอลอยเหนือสูงพื้นขึ้น ต่อหน้าต่อตา มันกลืนหัวของเหลียงเค่อด้วยคำเดียว กร๊อบ— แกร๊บ— อึก— เสียงเคี้ยวและกลืนลงคอผ่านด้วยเวลาอันยาวนานสุดชีวิต มันเรอ ออกมาด้วยความเอร็ดอร่อย

     

    “มะ ม่าย จะ จะ จะทำอะไรน่ะ”

     

    มันใช้มือข้างจับแขนขวาเธอไว้

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด—”

     

    ฉีกกระชากแขนนั้นออกด้วยแรงอันน้อยนิด จับเคี้ยวกินคาปาก

     

    “อ้า!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     

    “เอือออออออออออออออ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!—”

     

    “ห๊า!!!!!!!!!!— อ๊า!!!!!!!!!!!!!!!—”

     

    แขนซ้าย ขาขวา ไหล่บน อกล่าง ถูกฉีกกระชากทีละชิ้น มันอ้าปากใหญ่งับเข้าที่หัวของเธอ ปากค่อยๆ ใช้แรงทีละน้อย

     

    “พ่อ มะ แ—!!! อะ— อา!!!!!!!!!!! ห้า!!!!!!!!!!—

     

    อ๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!— ฮือออออออ— เอืออออออออ กรี๊ดดดดด— อือออออออออออ

     

    อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

     

    อออออออออออออออออออออออ

     

    อออออออออออออ— โผล๊ะ—

     

    เสียงระเบิดของเลือดดังลั่น มันกรอกทะเลเลือดนั้นเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อยสุดบรรยาย

     

     


     

     

    เม็ดสุดท้ายของนาฬิกาทรายกาลเวลาไหลลงก้นแก้ว

     

    ลูกโลกมิติสิ้นสุดการเรืองแสง ในความมืดสลัวนั้น ลืมตาตื่นขึ้น ภาพสีแดงเลือนลางของเลือดบนหัวที่กำลังแห้งกรังปรากฏ

     

    เฮือก ดวงตาเบิกโพลง ลมหายใจสูดเข้าลึก เธอยืนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดบนหัว

     

    ความตกใจกลัว ลนลาน หวั่นวิตก ปัดหนังสือเรียน หมอนข้าง ดินสอ ทุกสิ่งรอบตัวตกกระจายลงสู่พื้น

     

    จากนั้นก็เริ่มวิ่ง ชนกับกำแพง ขอบเตียง ขอบโต๊ะ

     

    “มะ—” เสียงอันอ่อนระทัวดังในลำคอ ชนกับประตู ปึ่ง!

     

    ออกสู่ข้างนอกห้อง ภาพแม่ของเธออยู่ตรงหน้า และสติกำลังเลือนหาย

     

    “เมรินทร์!! ลูกเป็นอะไรน่ะ!!!”

     

    ตึง เธอสะดุดล้มขาตัวเองลงกับพื้น กรี๊ดลูก—!! เสียงดังแล่นเข้าหัวแต่ก็เพียงแค่แว๊บเดียว ก่อนทุกอย่างจะดำมืด

     

     

     

     ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.4 อสูรกลืนกินมนุษย์ จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×