คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Vol.1 Ch.3 ผู้เป็นเลิศ
ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 Ch.3 ผู้เป็นเลิศ
หลังจากตอนนั้นเมรินทร์ก็ถูกรับเข้าเป็นศิษย์ของสำนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุบผา)อย่างเป็นทางการ น่าแปลกใจที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไรอีกเลยหลังจากปรมาจารย์กู่เอ่ยปาก
รุ่งขึ้นเหลียงเค่อก็พาเมริทร์มาที่ลานฝึกของสำนัก
“ทำไมพวกเขาถึงกลัวปรมาจารย์กู่ขนาดนั้นเหรอคะ?” เมรินทร์ถามเหลียงเค่ออย่างประหลาดใจ
“เพราะปรมาจารย์กู่คือผู้ฝึกตนขั้นซีหลัว(ลิขิตสวรรค์)เพียงหนึ่งเดียว ผู้ที่เป็นหนึ่งใต้หล้า” เหลียงเค่อกล่าวด้วยน้ำเสียงชมเชย
เมรินทร์ยิ่งทำหน้าสงสัยใหญ่ ราวกับตอบคำถามนั้นเหลียงเค่อจึงอธิบาย
“สำหรับผู้ฝึกตนจะมีลำดับอยู่ทั้งหมดเจ็ดขั้น”
“หนึ่งคือยีหลัว(ผู้ริเริ่มฝึกปราณ)”
“สองคือเอ้อหลัว(ทลายปราณ)”
“สามคือซานหลัว(ยุทธภพ)”
“สี่คือซื่อหลัว(ถล่มปฐพี)”
“ห้าคือหวู่หลัว(หงส์วายุ)”
“หกคือลิ่วหลัว(ทลายนภา)”
“และสุดท้ายคือเจ็ด ซีหลัว(ลิขิตสวรรค์)”
“แม้จะเป็นจ้าวสำนักและเหล่าผู้อาวุโสยังอยู่เพียงขั้นห้า หวู่หลัว(หงส์วายุ) ยังมิอาจทลายประตูขั้นหก ลิ่วหลัว(ทลายนภา)ได้” เหลียงเค่อหันมองยังตำหนักใหญ่ “ทว่าปรมาจารย์กู่กลับไม่เพียงแค่ทลายประตูขั้นหก ยังไปถึงขั้นเจ็ด ซีหลัว(ลิขิตสวรรค์) ซึ่งมีเพียงแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น”
เมรินทร์ตะลึงถึงความแข็งแกร่งของปรมาจารย์กู่ พอเปรียบเทียบเป็นลำดับขั้นแล้วเข้าใจง่ายขึ้นเยอะเลย
“แล้วเหลียงเค่ออยู่ขั้นไหนกันคะ?” เมรินทร์เกิดความสงสัย
“ข้าอยู่เพียงแค่ขั้นสาม ซานหลัว(ยุทธภพ) ส่วน ถิงถิง เนี่ยนเจินและซีฮันอยู่ขั้นสอง เอ้อหลัว(ทลายปราณ)” เหลียงเค่อเดินวนมาข้างหลัง “ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุบผา)อยู่ที่ขั้นหนึ่งยีหลัว(ผู้ริเริ่มฝึกปราณ)”
“ไม่ต้องห่วงไป” เหลียงเค่อยิ้มปรับอารมณ์ “เมื่อเจ้าสามารถทลายประการด่านแรกแล้วจึงจะสามารถร่วมทำภารกิจกับพวกข้าได้ นั่นจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว”
“การฝึกตนที่แท้จริงคือการรบยังสมรภูมิข้างนอก มีเพียงแค่เหล่าศิษย์เอกเท่านั้นจึงจะสามารถรับภารกิจจากจ้าวสำนักได้ ส่วนเจ้าเป็นข้อยกเว้นเพราะคือคนตามคำทำนายของเหล่าโหราศาสตร์”
“ตะ แต่ฉันไม่มีพลังลมปราณเลยนะคะ” เมรินทร์ปากสั่นผวา
“ใช่ เจ้าจึงต้องฝึกตนอยู่ ณ สำนักจนกว่าจะทลายประการด่านแรกสำเร็จ” เหลียงเค่อพูดปลอบใจ “เจ้าก็ได้ยินปรมาจารย์กู่กล่าวแล้วหนิ? เจ้าคือผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมา มีลมปราณกล้าแกร่งกว่าผู้ใด เพียงแค่รอวันจุดติดเท่านั้น”
เมรินทร์ทำหน้าซึมเศร้า เธอไม่ได้อยากมาที่นี่ ไม่อยากเจออะไรอย่างนี้ที่มันเสี่ยงอันตรายเกินไป แล้วอีกอย่างที่เจ้าดาวหางสีครามนั่นมันพูดว่า
การที่เธอมายังที่แห่งนี้มันเป็นความผิดพลาด
หมายความว่าเธอไม่ใช่ผู้กอบกู้อะไรนั่นหรอก เพียงแค่ความบังเอิญอันโชคร้ายล้วนๆ พวกเขากำลังเข้าใจผิดกันใหญ่
“คือว่าขอถามหน่ยได้ไหมคะ?” เมริทร์ขยำมือ มันอาจเป็นการเสียมารยาทแต่ก็ต้องถาม
“ว่ามาสิ” เหลียงเค่อทำหน้าสงสัย
“…….ฉันจะกลับโลกเดิมไปได้ยังไงเหรอคะ? มะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยนะคะ ตะ แต่ฉันแค่อยากรู้ทางกลับบ้าน”
เหลียงเค่อยิ้มสุภาพ หรี่ตาลงเล็กน้อย “ตามคำทำนาย หากจ้าวอสูรตายไป วงแหวงหวู่ต้า(ธาตุทั้งห้า)จะกลับมาใช้งานได้อีกครั้งและส่งเจ้ากลับไปยังที่จากมา”
“จริงเหรอคะ!” เมรินทร์ยิ้มกว้างดีใจแสดงออกทางสีหน้าที่รู้ว่ายังมีความหวังกลับบ้าน
เหลียงเค่อหัวเราะเบา
แต่มีความจริงอีกอย่างที่ยังสงสัยจนน่ากลัว “. . . .แล้วจ้าวอสูรกินคนนี่แข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์กู่ไหมคะ” หากเป็นเช่นนั้นหนทางคงไม่ง่ายเสียแล้ว
เขาแทบกลั้นขำไม่ไหว “ไม่หรอก ที่ปรมาจารย์กู่ยังไม่ฆ่ามัน เพียงแค่หาตัวไม่เจอเท่านั้น” เหลียงเค่อพูดด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ตอนแรกพวกเรานึกว่าการที่ดาวหางสีครามส่งคนมาช่วยทำเพื่อแค่หาที่อยู่ของจ้าวอสูรให้เจอเสียอีก”
เมื่อเมรินทร์ได้ยินดังก็อุ่นใจลง หากมีปรมาจารย์กู่อยู่การกลับบ้านคงไม่ใช่เรื่องยาก
“เอาล่ะเรามันเริ่มการฝึกตนของเจ้ากันดีกว่า” เหลียงเดินนำหน้า
“ค่ะ!” เมริทร์พยักหน้ารับด้วยความยิ้นดี
“ตำหนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุผา) ประกอบด้วยตำหนักทั้งห้าธาตุ คือ มู่(ไม้) ฮว่อ(ไฟ) ถู่(ดิน) จิน(โลหะ) สุ่ย(น้ำ)” เขากล่าวต่อ “การทลายประการนั้นหากเจ้าสามารถหาธาตุที่ถนัดได้จะรวดเร็วกว่า อย่างน้อยก็ต้องใช้ได้หนึ่งเคล็ดวิชา”
“พวกเราลองหาธาตุที่เจ้าถนัดกัน” เหลี่ยงเค่อพาเดินไปยังทิศใต้ของตำหนัก “เริ่มจากตำหนักมู่(ไม้) ที่นั่นมีผู้ชำนาญกว่าข้า คนคนนั้นจะฝึกเจ้าเอง”
“ว่าไง” ถิงถิงอมยิ้ม “เจ้ามาที่นี่เพื่อหาธาตุที่ถนัดสินะ”
เมริทนร์มองซ้ายขวาอย่างตื่นเต้น มีผู้ฝึกตนคนอื่นๆ อยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้หญิง
“เมรินทร์ลองทำตามข้าสิ” เหลียงเค่อทำท่าคารวะชนหมัด “นี่คือการแสดงท่าทางเคารพของผู้ฝึกตน เป็นท่าที่ให้เกียรติแก่กันและกัน อีกอย่างยังใช้สำหรับให้ผู้อาวุโสน้อยกว่าซึ่งต้องการคำแนะนำได้ด้วย พูดตามสิ รบกวนด้วยศิษย์พี่”
เมรินทร์ประสานมือคารวะ “รบกวนด้วยศิษย์พี่” เธอเขินอายเล็กน้อยที่ต้องมาทำท่าราวกับอยู่ในหนังจีน
“ได้เลยจ้า” ถิงถิงยิ้ม พยักหน้ารับ “ต่อจากนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง เหลียงเค่อเจ้ายืนดูอยู่ตรงนั้นซะ”
เหลียงเค่อก้าวถอยกลับ กลายเป็นคนดูแทน
“ข้าเดาว่าที่เหลียงเค่อพามาตำหนักมู่(ไม้)เป็นแห่งแรกเพราะเจ้าคือผู้หญิงสินะ” ถิงถิงยิงฟัน “สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่แล้วจะถนัดธาตุมู่(ไม้)ที่สุด ไม่แปลกใจเลย”
เมรินทร์พยักหน้ารับ เพราะสาเหตุนี้เองตำหนักมู่(ไม้)จึงมีผู้หญิงเยอะที่สุด
“เอาล่ะรับตะบองไม้นี้ซะ” ถิงถิงยื่นแท่งไม้ยาวให้ “นี้คือพรตลมปราณ พวกเราจะใส่ลมปราณเข้าไปในไม้นี้เพื่อฝึกการใช้ทลายจากภายใน”
ถิงถิงหมุนตะบองด้วยท่วงท่ารวดเร็ว แล้วกระแทกใส่หุ่นไม้ตรงหน้า ตึง หุ่นไม้ระเบิดแตกออกจากภายในแทนที่จะเป็นภายนอก
“นี่คือการใส่ลมปราณ ลองทำดูสิ” ถิงถิงกล่าว
“เอ๊ะ แต่จะทำยังไงล่ะ” เมรินทร์มองไม้เท้าสลับกันใบหน้าของถิงถิง
“ลองควงมันโดยการเพ่งสมาธิไปที่ด้ามจับดูสิ” ถิงถิงตั้งท่าเป็นตัวอย่างพร้อมทั้งขยับมืออย่างรวดเร็ว มันช่างเป็นการเคลื่อนไหวอันพลิ้วไหวราวสายน้ำ
เมรินทร์ลองทำตามโดยการหมุนช้า ค่อยๆ เพิ่มความเร็ว โดยพยายามตั้งสมาธิไปที่ปลายฝ่ามือด้วย โป๊ก
“โอ้ย!” ไม้นั่นเหวี่ยงเข้าที่ศีรษะของเธอ
ใบหน้าของทั้งเหลียงเค่อและถิงถิงถึงกับดูไม่จืดออกมา
“ลองใหม่อีกรอบสิ” ถิงถิงเหงื่อเย็นไหลยิ้มด้วยความลำบากใจ
“โอ้ย!” เป็นอีกครั้งที่เธอล้มเหลว
ถิงถิงเกาแก้ม “อันที่จริงแล้วหากเจ้าเพียงแค่ควงมันได้ ข้าจะบอกให้เจ้าลองเพ่งจิตดูหรอก แต่ว่า.....” มันค่อนข้างพูดยากทีเดียว
“เจ้าคงไม่ถนัดในธาตุมู่(ไม้)แล้วล่ะ” ถิงถิงกล่าวต่อ เธอพยายามใช้น้ำเสียงให้ดูอ่อนน้อมที่สุด
“ถิงถิง เจ้าไม่ควรปิดบังใดๆ ศิษย์น้องนะ หากนางไม่ได้รับรู้ความจริงนางยิ่งพัฒนาลำบาก” เหลียงเค่อทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายพูด
ถิงถิง เห็นเช่นนั้นรีบก้มหัวขอโทษ “ตามจริงแล้วเหล่าผู้ที่ถนัดธาตุมู่(ไม้)มักสัมผัสถึงลมปราณของกันและกัน” เธอขยับสายตาไปทางอื่น “แต่ข้าไม่เห็นอะไรจากตัวนางเลย เกรงว่านางคงไม่ถนัดธาตุมู่(ไม้)อย่างที่คาด”
“เพียงเจ้ากล่าวแค่นี้ก็จบเรื่อง” เหลี่ยงเค่อเดินนำขึ้นมา
เมรินทร์มองทั้งสองด้วยความงุนงง หมายความว่าเธอล้มเหลวงั้นเหรอ
“เราคงต้องไปยังตำหนักถัดไปเสียแล้วล่ะเมรินทร์” เหลียงเค่อกล่าว
เธอรู้ตัวถึงผลลัพธ์และพยายามแก้ไข “ดะ เดี๋ยวก่อนสิคะ ขอให้ฉันได้ลองอีกครั้งเถอะค่ะ”
“ขอโทษที่ต้องกล่าว แต่สำหรับผู้ที่ถนัดในด้านใดด้านหนึ่งจะแสดงความเก่งฉกาจธาตุนั้นออกมาทันที” เหลียงเค่อตอบด้วยน้ำเสียงนุ่ม “ไม่ต้องห่วงข้าเองก็ไม่พบธาตุที่ถนัดในตอนแรก เราเพียงแค่ออกค้นหายังตำหนักถัดไป”
“. . . .ค่ะ” เมรินทร์ตอบเสียงอ่อน
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป ถึงจะน่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถให้คำแนะนำแก่เจ้าด้านการฝึกตนได้” ถิงถิงพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้ายังอยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้า ไว้เราไปเที่ยวด้วยกันในเมืองนะ”
“ขอบคุณค่ะ” เมรินทร์ก้มหัวลง
“เอาล่ะ ทีนี้เราจะไปยังตำหนักสุ่ย(น้ำ) เป็นที่ต่อไป” เหลียงเค่อพานำ โดยมีถิงถิงโบกมือลาด้านหลัง
ตำหนักนี้เต็มไปด้วยน้ำตื้น มีต้นไม้หญ้า มอสใหญ่ปกคลุมอยู่ทั่วรอบ
“เจ้ามายังที่นี่เพื่อหาความถนัดธาตุสุ่ย(น้ำ)แล้วงั้นรึ” ซีฮันนั่งสมาธิเพ่งจิตกล่าว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ขอความกรุณาด้วยศิษย์พี่” เมรินทร์คารวะ เหลียงเค่อยืมยิ้มถอยห่างออกมา
“ฟังให้ดี จงดูลูกแก้วเหล่านี้ไว้” ซีฮันจีบมือนั่งสมาธิลมปราณ เขาค่อยๆ จดจ่อเข้าสู่พวังศ์
ลูกแก้วน้ำห้าลูกค่อยๆ สั่นสะเทินกับพื้นน้ำเกิดเป็นเกลียวคลื่นเล็ก
“นี่คือการทดสอบความถนัดสุ่ย(น้ำ)เพียงเจ้าเพ่งจิต ลูกแก้วเหล่านี้จะตอบสนองกับผิวน้ำ ลองดูข้าแล้วทำตามสิ” ซีฮันขยับมุมปากกล่าว
เมรินทร์นั่งขัดสมาธิทำให้คล้ายกับท่าทางของซีฮัน
“เมื่อเจ้ารวบรวมจิตน้ำเข้าด้วยกันจะเกิดเป็นลมปราณ ทำให้ใจให้นิ่งดั่งผิวน้ำสงบ” ซีฮันพยายามให้เธอนึกภาพในหัว
ความคิดประเดประดังเข้ามา เมรินทร์ไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย แต่เธอก็ลองข่มตาม โดยใช้เวลาสัก
ซีฮันเห็นเช่นนั้นเขาพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ขออภัยด้วยศิษย์น้อง ข้าเกรงว่าเจ้าไม่ได้ถนัดธาตุสุ่ย(น้ำ) เขาต้องขอให้เจ้าไปยังตำหนักถัดไป”
เมรินทร์พบความผิดหวัง “อย่าพึ่ง ได้โปรดขอร้องล่ะค่ะ”
เหลียงเค่อเข้ามาแตะหลัง ส่ายหน้า
“นี่คือความจริงศิษย์น้อง ข้าไม่อาจมองเห็นพรสวรรค์ใดๆ ในตัวเจ้าเลย คงต้องให้ผู้อื่นมองเสียแล้ว” ซีฮันก้มมอง แต่เขาก็หันมายิ้มให้ “ข้าเองก็อยากฝึกฝนให้เจ้า หากติดปัญหาอะไรก็สามารถมาถามข้าได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ” เมริทร์คารวะตอบ
“เจ้าไม่ต้องกังวลมากนัก มีหลายคนที่กว่าจะเจอธาตุของตัวก็ใช้เวลาเช่นเดียวกัน” เหลียงเค่อหันหลังมายิ้มให้โดยมีเมรินทร์ตามไม่ห่าง
“แล้วมีคนที่ไม่ถนัดสักธาตุไหมคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงสงสัยปนวิตก
เหลียงเค่อเงียบครู่หนึ่งก่อนเขาจะเอ่ย “มีเช่นกัน”
เมรินทร์สั่นสะท้านทั่วร่าง “ละ แล้วเขาทำยังไงต่อล่ะ”
เหลียงเค่อหยุดเดิน “พวกเขาก็ต้องออกจากที่นี่” รอยยิ้มของเขาจางหาย “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลมากนัก ข้าเชื่อในสายตาของปรมาจารย์กู่”
เมรินทร์เหงื่อไหล พยักหน้ารับ ย่องตาเงียบๆ
“เจ้าอยากทดสอบความถนัดธาตุถู่(ดิน)งั้นเรอะ! ฮ่าฮ่า” เนี่ยนเจิน ชายร่างโตผิวเข้มหัวเราะ
“รบกวนด้วยศิษย์พี่” พี่เมรินทร์คารวะอย่างแข็งขัน ครั้งนี้เธอจะไม่ทำพลาด
“ถู่(ดิน)คือความเป็นหนึ่งเดียวกับปฐพี เจ้าจะต้องใช้ร่างกายของเจ้าเพื่อรวมเข้ากับ ดิน!” เนี่ยนเจินอัดกำปั้นใส่ก้อนหินก้อนยักษ์ เกิดเป็นรูขนาดใหญ่บุ่มลงไปแต่ไม่ใช่การแตก
เมรินทร์ตัวสั่นผับๆ “ยะ อย่าบอกนะคะว่า”
“ก๊าก ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ ปล่อยหมัดลมปราณใส่เขาหินเพื่อเปลี่ยนรูปร่างมันอย่างนุ่มนวม” ชายร่างยักษ์ระเบิดเสียงขำ “ทำมันซะสิศิษย์น้อง”
เธอหันหลังหาเหลียงเค่อ เขาพยักหน้ารับ เมรินทร์แทบขาอ่อนระทวย ทั้งท่ากำปั้นหมัด
“แอร๊!” เสียงสูงลั่นราวกับนกร้อง พร้อมกับฝ่ามือเล็กที่สาวเข้ากับก้อนหินยักษ์ “เจ็บอ่ะ”
เมรินทร์จับมือทรี่แดงก่ำของตัวเอง สะบัดไปมา
“เจ้าทำอะไร!” เนี่ยนเจิงตวาดใส่ “ระรัวหมัดต่อไปซิ”
“เอาจริงเหรอคะ!?” เมรินทร์หันหน้าหาเหลี่ยงเค่อเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาพยักหน้ารับ เอ๋ หมายความยังไง ให้ต่อยไปจริงๆเหรอ
“ละ แล้วไม่มีพวกแบบให้ตั้งจิตหรือสมาธิอะไรแบบนี้เหรอคะ....” เสียงสั่นถาม
“ไม่มี!”
พอได้รับคำตอบมาอย่างหนักแน่น เธอก็หันหน้าเข้าหาหินก้อนใหญ่อย่างขวัญผวา
“เอ้!..... แอร้!.... อี้!..... อ.... อูย” จากเสียงความแข็งขันเปลี่ยนมาเป็นความอ่อนระทวย เต็มไปด้วยความเจ็บ
“เอาอีก!” เนี่ยนเจินตวาดใส่
เมริทร์ยังคงทำเสียงแบบเมื่อครู่
“เอาอีก!” เขาย้ำอย่างคำราม
จากสีหน้าขาวใส่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสีม่วงซีด
“เอาจริงนะข้าว่าเจ้าไม่เหมาะกับธาตุถู่(ดิน)ตั้งแต่หมัดแรกแล้วล่ะ”
“ทำไมพึ่งมาบอกเอาป่านนี้ล่ะคะ!” เมรินทร์ปล่อยโฮ เหลียงเค่อเอาผ้าพันแผลมาพันมือที่ซกเลือดของเธอไว้
“ข้าแค่อยากเห็นพลังใจของเจ้า!” เนี่ยนเจินกล่าวด้วยรอยยิ้มใหญ่ “ภายในของเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจกล้าแกร่ง อาจหาญ ถึงแม้บางครั้งเจ้าจะหวั่นไหวบ้าง ข้ายอมรับเจ้าเลย ว่างๆ แวะมาที่ตำหนักข้าล่ะฮ่าฮ่าฮ่า” ร่างกายเขาสั่นพับด้วยแรงกระเพื่อม
เมรินทร์ยิ้มเจื่อน “ขอบคุณที่ให้คำแนะนำค่ะ”
พวกเธอสองคนเดินกันมาต่อที่ตำหนักฮว่อ(ไฟ)
“เหลียงเค่อนี่ก็ผ่านมา 3 ธาตุแล้วนะ ฉันยังมีโอกาสไหม” เมรินทร์ถามด้วยความกล้าๆ กลัว
“แน่นอน ไม่ใช่คนเราจะพบเจอธาตุที่ถนัดกันง่ายๆ เสียหน่อย” เขาหันหลังกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ว่าแต่ที่นี่ไม่มีคนเลยนะ ไหนคนที่จะมาฝึกฉันล่ะ” เมรินทร์หันมองโรงฝึกกว้างอันว่างเปล่า ไร้ผู้คน
“พูดอะไรน่ะ คนนั้นก็คือข้านี่ไง” เหลียงเค่อหันกลับมายืนอยู่ตรงหน้า
เมรินทร์เบิกตาด้วยความตกใจ
“เราจะมาฝึกทดสอบธาตุฮว่อ(ไฟ)ด้วยกันที่นี่” เหลียงเค่อกอดอก “เอ้า! เจ้าลืมอะไรรึเปล่า”
เมรินทร์ทำหน้าเงอะงัน ก่อนนึกออก ตั้งมือคารวะ “รบกวนด้วยศิษย์พี่”
เหลียงเค่อตั้งสีหน้าจริงจำ เขารำท่าลมปราณ ให้ดูเป็นตัวอย่าง “นี่คือการรวมปราณจิตฮว่อ(ไฟ) มองการตั้งท่าของข้าและจดจำให้แม่นยำ”
“กระบวนท่าที่หนึ่ง ฟู่ว(ก่อเกิด)” ท่าปลายชันเข่า
“กระบวนท่าที่สอง หวู่เฟ่ย(เก็บรวม)” หันปลายมือด้านหลังแบบออก
“กระบวนท่าที่สาม เหว่อเรี๋ย(จุดประกาย)!” พลันที่สองมือหันมาชนกัน เปลวเพลิงต่างหมุนรอบตัวเขา เหลียงเขาสามารถควบคุมเปลวไฟเหล่านั้นราบกับลมพายุ
“ลองทำดูสิ” เหลียงเค่อพยักหน้ารับ
เมรินทร์พอมีพื้นฐานการรำมาบ้างจากที่เรียนน่าจะเอามาปรับใช้ได้
กระบวนท่าที่หนึ่ง ฟู่ว(ก่อเกิด) พยายามเลียนแบบท่าทางของเหลียงเค่อให้คล้ายคลึงที่สุด
“ตั้งมั่นจิตปราณของเจ้าให้รับรู้ถึงการกำเนิดขึ้นของเปลวเพลิง”
บางอย่างเข้ามาในหัว อากาศรอบข้างกำลังอุ่นขึ้น
กระบวนท่าที่สอง หวู่เฟ่ย(เก็บรวม) เป็นท่าที่ต้องใช้ความพยายามหน่อยแต่เธอก็ทำมันออกมาได้ดี
“นึกถึงการรวมกลุ่มของเปลวเพลิงซะ!”
พวกมันกำลังก่อตัว เกาะกลุ่มก้อน
กระบวนท่าที่สาม เหว่อเรี๋ย(จุดประกาย) มันเป็นท่าทางที่สมบูรณ์แบบที่สุดจากทั้งสามท่า
เหลียงเค่อคิ้วกระตุก “ตอนนี้แหละ ทำให้เปลวเพลิงของเจ้าติดขึ้นเดี๋ยวนี้!”
กระแสคลื่นความร้อนไหลเหวียน มันกำลังระเบิด ต่อจากนั้นประกายไฟสีแดงก็—
มันก็แค่ความผิดพลาด
เสียงแห่งความกังวลแล่นเข้ามาในหัว เมรินทร์ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้น มันคือความว่างเปล่า
เหลียงเค่อหลับตาลง “เมื่อครู่ข้าแค่คิดไปเองหรอกหรือ”
“เหลียงเค่อ ฉันทำมันพลาดอย่างนั้นเหรอคะ?” เมรินทร์ถามด้วยความใจหาย
เหลียงเค่อสายหน้า “เจ้าแค่ไม่ถนัดธาตุฮว่อ(ไฟ)เพียงเท่านั้น”
“เอาล่ะ วันนี้เจ้าพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาลองยังตำหนักสุดท้าย”
เมรินทร์แทบกลั้นความวิตกของตนไม่อยู่ว่านี้เป็นโอกาสสุดท้าย จนแสดงออกทางสีหน้า
ค่ำวันนั้นเธอเดินออกมาข้างนอกด้วยเพื่อคลายความเครียดของตัวเอง
ภายใต้แสงจันทร์ซึ่งส่องกระทบกับพื้นผิว ยังตำหนักกลางใหญ่ ชายคนหนึ่งในกากสีเงินครึ่งบนปรากฏภาพหันหลังให้ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอจะเดินมาตรงนี้
“ปรมาจารย์กู่” เมรินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสงสัย
“ตามข้ามา” เสียงอันนิ่งสงบราวกับผืนน้ำนิ่ง
เมรินทร์เดินตามมาอย่างเงียบๆ เขาพาเธอมายังสถานที่หนึ่ง เงาสีเงินบนท้องฟ้าสะท้อนหุ่นไม้จำนวนมาก อ่างน้ำตื้นขนาดเล็ก ก้อนหินใหญ่ขนาดมหึมา และเชิงเปลวเทียน
“เจ้ายังมีความกังวลที่ปิดบังไว้อยู่หรือไม่” ภายใต้หน้ากากสีเงินนั่นดูท่าจะปิดไว้ไม่มิด
“ค่ะ ปรมาจารย์กู่” เมรินทร์ตอบเสียงอ่อน
“เล่ามาสิ”
เบื้องหน้าชายคนนั้นหันมาทางนี้ รู้สึกได้เลยดวงตาสองคู่ภายในหน้ากากกำลังจับจ้องอยู่
“คะ คือว่า” เมรินทร์ทำเสียงอ้ำอึ้ง แต่เมื่อจ้องกลับไปยังเขาแล้ว รู้ว่ายังไงก็กลบไม่มิด “ดาวหางสีครามนั่น บอกกับหนูว่าที่มาที่นี่เพราะมันเป็นเพียงแค่ความผิดพลาด”
“นะ หนูเพียงแค่คนที่ไม่รู้เรื่องราวหลงเข้ามาเท่านั้นค่ะ” เสียงสะอื้นร้อง “เพราะฉะนั้น หนูไม่ใช่ผู้ช่วยเหลืออะไรนั่นหรอก”
ราวกับรอคำตอบที่บอกว่าผิดหวัง กลับได้ยินสิ่งไม่คาดคิด
“แค่นั้นเองหรอกรึ ความกังวลของเจ้า” ปรมาจารย์กู่เดินเข้าใกล้
“ดาวหางสีครามนั้นข้ามิสนใจว่าจะบอกข้อความอะไร” เขาหันหน้าทางซ้าย “ข้าเพียงแค่เห็นอะไรในตัวของเจ้า”
เมรินทร์เบิกตาโพลง
“ภารกิจ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก” ปรมาจารย์กู่เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า “เรื่องแค่นั้นข้าจัดการเองได้”
“แต่ที่สำคัญคือเจ้า”
“ข้าแค่อยากสร้างศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าข้า”
“ผู้ที่อาจสามารถทะลวงขั้นซีหลัว(ลิขิตสวรรค์)ลงได้”
“ผู้ที่ข้าเห็นแววคือ ถิงถิง เนี่ยนเจิน ซีฮัน เหลียงเค่อ”
“และเจ้าเมรินทร์ คนที่ข้าเห็นโอกาสมากที่สุด”
“มารับไม้ต่อจากข้า และปกป้องทวีปเจี้ยนเหริ่น(โลก)นำพายุคสมัยความสงบสุขมาสู่แก่ผู้คนเสียที”
เมรินทร์รับฟังอย่างตั้งใจ เธอมีความคิดอันหลากหลายอยู่ในหัว แต่กลับรู้สึกสงบอย่างแปลกประหลาด ราวกับความกังวลบางอย่างคลี่คลาย ภาระอันหนักอึ้งถูกปลดปล่อย
“ลองดูใหม่สิ” ปรมาจารย์กู่ชี้ไปที่ตะบองไม้ การทดสอบความถนัดมู่(ไม้)
“แต่หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ” เธอเคยลองพยายามแล้ว
“ตอนนี้เจ้าสงบยิ่งเสียกว่าสิ่งใด เพียงมองจากภายนอกใครก็รู้”
เมรินทร์หยิบไม้นั่นขึ้นมา เธอลองควงมันดู คราวนี้กับลื่นไหลอย่างแปลกประหลาด ความเร็วหมุนรอบที่มากกว่าถิงถิง บางอย่างมันก็กำลังเกิด
เมรินทร์กระแทกไม้ลงบนตัวหุ่น ปั่ง ปั่ง ปั่ง หุ่นไม้ระเบิดออก ไม่เพียงแค่นั้น ตัวที่อยู่ด้านหลังกว่าหลายสิบตัวพลันแตกกระจายพร้อมกันด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?” เมรินทร์กล่าวอย่างสงสัย
“ลองทดสอบสุ่ย(น้ำ)ดูสิ” ปรมาจารย์กู่ชี้ไปที่อ่างน้ำตื้น
เธอลองสังเกตดูมันมีเพียงแค่ผืนน้ำนิ่ง “แต่ตรงนั้นไม่มีลูกแก้ว”
“มันไม่จำเป็นสำหรับเจ้า”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเมรินทร์จึงนั่งสมาธิเพ่ง ไปยังแอ่งใจกลางน้ำ
ตู้ม คลื่นระเบิดมวนน้ำมหาศาลไหลเอ่อแทบหมด
เมรินทร์เบิกตาด้วยความแปลกใจยิ่งขึ้น
“ลองทดสอบถู่(ดิน)ดูสิ”
เมรินทร์ยืนขึ้นและกระแทกหมัดใส่ก้อนหินยักษ์มโหราฬ ตึ่ง มันบุบเข้าข้างในเป็นรูกว้างใหญ่โดยที่ไม่เสียหาย
“ลองทดสอบฮว่อ(ไฟ)ดูสิ”
กระบวนท่าที่สาม เหว่อเรี๋ย(จุดประกาย) ด้วยการลัดเพียงกระบวนท่าเดียว เปลวเพลิงหมุนรอบตัว เมรินทร์ลองปล่อยเปลวเพลิงนั้นใส่พื้น เกิดเสียง ฟู่ว กระทบพื้นดินจนตรงนั้นเกรียม
“ปรมาจารย์กู่คะ!” เมรินทร์โลดเต้นด้วยความดีใจ
เขาไม่ตอบสิ่งใด เพียงเดินเข้ามาใกล้ ชักกระบี่ของตนเองออก ยื่นมาทางนี้
“รับไปสิ”
เมรินทร์จับปลายกระบี่ พอเขาปล่อยแรงลงทุกอย่างมันก็ดิ่งลง กระบี่เล่มนี้หนักอึ้งจนต้องใช้สองมือประคอง แทบล้มแหล่มิแหล่
“นี่คือการทอสอบจิน(โลหะ) เพ่งสมาธิ แล้วเจ้าจะควบคุมน้ำหนักของกระบี่เล่มนั้นได้”
เมรินทร์ฟังคำอธิบาย หลับตาลง ไม่นานนักมันก็เบาขึ้น จนดึงด้วยมือเดียวได้ เธอลองกวักแกว่งดู ราวกับปุยนุ่น
ไม่นานนักเธอก็คิดอะไรบางอย่างออก เมื่อควบคุมน้ำหนักได้น่าจะลองทำดู
เมรินทร์เหยียบปลายด้ามจับของกระบี่นั้นด้วยขาข้างเดียว และยืนขึ้น เหยียดแขน ทั้งกระบี่และตัวเธอกำลังลอยอยู่บนฟ้า
“หืม ดูเหมือนเจ้าจะทำได้มากกว่าที่ข้าคาดการณ์” น้ำเสียงนั่น แม้เพียงเล็กน้อยแต่ปนด้วยความแปลกใจ
“ปรมาจารย์กู่คะ หนูทำไ—” เพียงแค่ชั่วแว๊บเดียวกระบี่และตัวเธอก็ตกลงมา
ในทันทีที่ใกล้ตกสู่พื้น ปรมาจารย์กู่ก็ดึงคอเสื้อของเธอไว้
“ระวังด้วย หากจิตใจเจ้าไม่มั่นคงเจ้าจะควบคุมมันไม่ได้อีก” เขากล่าวค่อยๆ หย่อนเมรินทร์ลงพื้น
“อย่างที่คิดไม่ผิด เจ้าถนัดธาตุทั้งห้าเหมือนข้า” ปรมาจารย์กู่มือไพร่หลัง เดินหน้า
“คงใช้เวลาสักหน่อยกว่าที่จิตใจเจ้าจะคงที่ จึงจะฝึกเคล็ดวิชาแรกสำเร็จ ฉะนั้นเจ้าจงพยายามให้หนัก”
“ค่ะ! ปรมาจารย์กู่” เมรินทร์ใช้มือคารวะ
ในเงามืดของเมืองใหญ่ที่ทีเพียงแค่เสียงแสงตะเกียงนั้น บัดนี้กำลังชะโลมด้วยเลือด
“กรี๊ด! ใครก็ได้ช่วยด้วย” เสียงหญิงสาวกรีดร้อง เธอค่อยๆ ถูกปิดศาจกัดกินเนื้ออย่างช้าๆ
ทั่วทุกหนแห่งของมุมเมืองต่างเต็มไปด้วยความโกลหล
“ท่านจ้าวสำนักหายไปไหน!?” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งกล่าว เมื่อมองจากระยะทางไกล
“ท่านจ้าวสำนักตายแล้ว” สหายของเขาที่หนีออกมาได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
“บ้าน่าท่านจ้าวสำนักเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นหกลิ่วหลัว(ทลายนภา)เลยไม่ใช่หรือ!?” เขากล่าอย่างลดลาน
“ใช่ เขาถูกมันฆ่าตายและกินไปจริงๆ ข้าเห็นกับตา” ชายคนนั้นกล่าวด้วยดวงตาหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“แล้วใครจะช่วยพวกเราได้ล่ะ?” ผู้ฝึกตนอีกคนโผลพูดขึ้น
“ติดต่อขอความช่วยเหลือไปทางทิศตะวันออก สำนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุบผา)ที่นั่นมีคนที่สามารถช่วยเราได้อยู่ รีบไปเร็ว!”
ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 Ch.3 ผู้เป็นเลิศ จบ
ความคิดเห็น