ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #29 : Vol.1 Ch.29 ยามเมื่อพระอาทิตย์สว่างไสว

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.29 ยามเมื่อพระอาทิตย์สว่างไสว

     

     

    ปลายภูเขาสุดลูกหูลูกตา พระอาทิตย์ขยับพ้นขอบฟ้าเพียงครึ่งซีก แสงแดดอ่อนลาง เจือส่องกระทบยังผืนดิน ปริญเหลียวมองหลัง หน้าของสาวน้อยที่เคยสดใส กลับอึมครึมหดหู่กว่าทุกที

     

    “ยังกังวลเรื่องนั้นไม่หายอีกเหรอ?” เด็กหนุ่มถามปนเสียงกังวล

     

    เมรินทร์พยักหน้า “อือ”

     

    ธีร์ที่เดินตามเบื้องหลังยิ้มอ่อน “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แผนของเธอต้องได้ผลอยู่แล้ว”

     

    “ใช่ใช่” คริสวิ่งนำ รีบโผเข้าให้กำลังใจด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า

     

    “ขอบคุณนะทุกคน” เธอยิ้มเสียงอ่อนตอบ

     

    ทว่าก็ปิดบังความเคลือแคลงในตนเองไม่ได้อยู่ดี

     

    หลังจากการปกป้องเมือง ดยุคเฮมดัลเข้าควบคุมสถานการณ์จนกลับสู่สภาวะสงบ จากความเสียหายมากกว่าเกินจะยอมรับ ทั้งผู้คนและทรัพย์สิน เขามอบตัวกับพระราชาแอนดิสทันที พร้อมเล่าเบื้องหลังทุกอย่างรวมทั้งการคิดก่อกบฏของตนด้วย

     

    แม้ไม่จำเป็นต้องกระทำถึงเช่นนั้น แต่เมรินทร์ก็รับรู้ได้เลยว่าดยุคเปลี่ยนไป สายตาของเขาหลังจากรับฟังคำพูดของปริญอาจทำให้เขากลับตัว

     

    แน่นอนว่าแพะรับบาปทุกอย่างถูกโยนให้กับดยุคเฮมดัล เขากล่าวสำนึกผิดและยอมรับทุกข้อกล่าวหา กระทั่งส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาก็ตาม

     

    โทษออกมาแทบในทันที คือจับประหารชีวิต ด้วยการเปลื้องผ้า จับฟาดแส้ประจานทั่วเมือง และตึงศพไว้กับไม้กางเขนกลางลานกว้าง

     

    ทว่าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้น ปริญเข้าพูดแทรกขออภัยโทษให้กับดยุคเฮมดัล ว่าเขาสามารถกลับตัวได้และวิธีการป่าเถื่อนเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับในโลกที่พวกเราจากมา

     

    พระราชาแอนดิสจับคางครุ่นคิดด้วยสีหน้าลำบากใจ พร้อมกับเสียงคัดค้านประเดประดังจากเหล่าขุนนางจำนวนมาก

     

    ถึงไม่ต้องทำตามที่ขอ ผู้กล้าเหล่านี้ก็ไม่มีทางทอดทิ้งพวกตนอยู่แล้ว แต่นั่นจะเป็นการแล้งน้ำใจเสียเปล่า ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เกิดการสั่นคลอนอำนาจ หากเกิดสงครามกลางเมืองในเวลานี้เพราะความไม่แน่นอนของระบบยุติธรรม มนุษชาติจบเห่แน่

     

    ท่ามกลางบรรยากาศร้อนระอุใกล้ปะทุ ความเห็นเล็กๆ หนึ่งแว่วเสียงเข้ามา ประโยคที่ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับอย่างเป็นกลางมาเยือน

     

    “ฉันเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะประหารเขาอย่างโหดร้าย” เมรินทร์พูดเสียงใส “แต่ก็ยอมไม่ได้เหมือนกันที่เห็นคนผิดลอยนวล”

     

    “ฉะนั้นอย่างน้อย ช่วยเปลี่ยนเป็นการขังเขาตลอดชีวิตด้วยเถอะค่ะ ให้เขาได้สำนึกผิดที่นั่น”

     

    เธอคิดในแง่ดีสัตย์จริง ว่าในสักวันผู้คนจะกลับมายอมรับเขา และปลดปล่อยออกจากสถานคุมขัง ออกเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ก็ยังมีความหวัง

     

    ทันใดนั้น พลันสีหน้าของเหล่าขุนนางและปริญที่รับฟังในโถงพระราชฐานต่างพากันคลายความตึงเครียดลง พระราชาแอนดิสเห็นโอกาส เขารีบฉวยมันไว้ ออกประทานตัดสินบทลงโทษตามข้างต้น

     

    ภายหลังพระราชาแอนดิสเรียกเธอเข้ามาเป็นการส่วนตัว

     

    “ขอบคุณสำหรับความเห็นอันชาญฉลาดของเจ้า อาณาจักรของเรามีข้อครหาเรื่องบทลงโทษอันโหดเหี้ยมจากเหล่าปัญญาชนมานาน ข้าจักนำบทลงโทษนี้มาตรายังกฎหมายใหม่”

     

    เมรินทร์ส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ สิ่งนี้แค่เป็นเรื่องที่โลกเดิมของเราทำกันค่ะ”

     

    ปัญหาอันน่าปวดหัวของการเมืองภายในจบลง ถึงเวลาที่ต้องหันเหคมดาบยังต้นตอของความโกลาหลจริงๆ เสียที

     

    จอมมาร

     

    การ์กอยล์ที่อ้างตัวว่าเป็นจอมมารนั่นดูเหมือนจะสิงร่างของมอนสเตอร์ได้ด้วย มันใช้ตัวแทนในการสู้มาโดยตลอด พวกเธอแทบไม่รู้ตัวเลย ทว่าก็พอสัมผัสได้

     

    เหล่ามอนสเตอร์ที่เคยประมือมาจนถึงตอนนี้ เรดก็อบลิน การ์กอยล์ หรืออื่นๆ ต่างรับมือยากกว่าเดิมเรื่อยๆ ราวกับพวกมันเริ่มคุ้นชินกับพวกเราทีละน้อย อย่างกับว่าตอนที่พวกเธอพัฒนาฝีมือ พวกมันเองก็เรียนรู้ในการต่อสู้เวลาเดียวกัน

     

    ขณะที่พวกเธอพักหลังมานี้ตื้อตันกับการเพิ่มทักษะอุปกรณ์เวทของตัวเอง มอนสเตอร์กลับไล่ตามฝีมือใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

     

    ที่สุดต้องพ่ายแพ้เข้าสักวัน

     

    เหล่าผู้กล้าทั้งห้าจึงตัดสินใจบุกปราสาทจอมมาร ต้นกำเนิดของมอนสเตอร์ ถ้าไม่กำจัดจอมมารกับแหล่งกบดานของมัน มอนสเตอร์ชนิดใหม่จะถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น

     

    ท่าดาบของปริญแม้จะแข็งแกร่งแต่ก็มีจุดอ่อนอันใหญ่หลวง นั่นคือการทำลายตัวเองหลังการใช้งาน ถึงภายหลังรับรู้ว่าดาบสามารถซ่อมแซมตัวเอง ทว่าเวลาในการฟื้นฟูจนกว่ากลับมาสภาพเดิมอีกครั้งก็กินเวลาถึงห้า-หกวัน

     

    ควรเก็บเป็นไม้ตายสุดท้ายยามจำเป็น

     

    อีกนัยหนึ่ง นั่นอาจไม่เพียงพอกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่กำลังมาถึง จอมมารเห็นทุกอย่างผ่านสายตาของมอนสเตอร์ ไม่แน่ว่ามันอาจเตรียมรับมือกับดาบของปริญไว้แล้ว

     

    สำหรับเรื่องนั้นเมรินทร์เองก็ซ้อนแผนเหมือนกัน แต่นั่นอาจไม่ได้ผล หรือผิดพลาดเช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เมืองดยุค การสูญเสียชีวิตของผู้คนหลายหมื่น มันฝังลึกยังจิตใจของเธอทุกค่ำคืน

     

    “พักกันหน่อยไหม?” ปริญเข้าทัก

     

    เขามองหน้าเด็กสาวขอบตาดำคล้ำจากการนอนน้อย

     

    “ม ไม่ต้องหรอก ฉ ฉันยังไหว” เมรินทร์รับรู้แล้วว่าตอนนี้ทำคนอื่นเป็นห่วงแค่ไหน

     

    “เอาหน่า นอนพักเพิ่มซักคืนสองคืนคงไม่เป็นไรหรอก” ปริญวางสัมภาระกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงพื้นดังตึง ส่งสัญญาณภาษากาย ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็จะไม่เปลี่ยนใจ

     

    เด็กสาวแสดงอาการห่อไหลตก ท้อแท้กับตัวเอง

     

    ธีร์เดินเข้ามาแตะหลัง “ฉันเองก็คิดเหมือนกัน นอนเยอะๆ จะดีกว่านะ ใกล้จะถึงแล้วด้วย”

     

    “ฮิฮิ รอเวลาอาบน้ำอุ่นจากชิลินไม่ไหวแล้ว” คริสหัวเราะอุบอิบหยอกล้อสาวน้อยมืดหม่นใกล้ๆ

     

    เธอรีบเบือนตัวออกห่าง คริสคอตกเนืองๆ ทำไมอ่า

     

    เมรินทร์จดจ้องเพื่อนร่วมทาง เมื่อความเห็นเป็นสี่ต่อหนึ่งก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุการณ์แบบนี้มักเกิดขึ้นซ้ำๆ มาหลายวันแล้วยิ่งช่วงหลังของการเดินทาง ทำกำหนดการเดิมถูกเลื่อนออกมาเป็นสัปดาห์

     

    ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่เสียอย่างเปล่าประโยชน์นี้ จอมมารจะสร้างมอนสเตอร์ได้ซักเท่าไหร่กัน แค่คิดก็หนาวแล้วสำหรับความยากที่เพิ่มพูนขึ้น

     

    เมรินทร์นั่งเหม่อลอย ผิงไฟอุ่น คืนนี้คงนอนไม่หลับอีกตามเคย

     

    มันคืออะไรกันความกังวลนี้ มันดังก้องกังวานมาจากหัวของเธอไม่หยุดหย่อน ยิ่งรู้ตัวว่าเข้าใกล้ภัยหายนะเบื้องหน้ายิ่งหวาดกลัว ทั้งที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแท้ๆ ทว่าทำไมกัน ร่างกายกลับสั่นไม่หยุด

     

    “นี่เมรินทร์”

     

    เธอแหงนหน้ามอง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเรือนผมสีพระอาทิตย์อ่อนสะท้อนกับดวงตา

     

    “ทำไมเหรอ?” เมรินทร์ถาม พลางส่งเสียงแหบแห้ง ตั้งใจตอบตามปรกติแท้ๆ ร่างกายกลับย่ำแย่ลงทุกที

     

    “ผมสำรวจรอบๆ น่ะ อยากให้เธอมาดูเป็นเพื่อนหน่อย” เขาอมยิ้มมุมปาก

     

    เมรินทร์พยักหน้า ย่างก้าวตามราวกับร่างไร้ชีวิต

     

    พุ่มไม้หนาบาดเข้าตามตัว “ระวังนะ” เขาเตือน

     

    เมรินทร์หยิบขวดสีเขียวขึ้นเหนือหัว บีบแตกเพื่อรักษาบาดแผลขีดข่วนเล็กน้อย

     

    ท่ามกลางความสงสัยที่ก่อตัวขึ้น เนินเขาชันที่เดินขึ้นมาเรื่อยๆ ปรากฏแสงพระอาทิตย์เจิดจ้า ก้าวสุดท้ายมาถึงยอด ลมแรงตีปะทะหน้า เธอเอามือมาป้อง ก่อนปรับตัวมองลอดทิวทัศน์นั้น “นี่มัน....”

     

    “สวยใช่ไหมล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง สาธยายภาพตรงหน้า

     

    สุดเส้นขอบฟ้า คือทิวทัศน์อันงดงามตระหง่าตา ไอก้อนเมฆลอยล่อง แสงแดดยามเย็นสีสดสะท้อนฟุ้งขาว ทะเลหมอกเหนือธรรมชาติแท้จริงมองให้เห็น พลางจิตใจสงบลงตามคลื่นลมเหล่านั้น

     

    “กระทั่งภาคเหนือของพวกเรายังไม่ได้เท่านี้เลย” เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ “มานั่งดูตรงนี้ใกล้ๆ สิ ทำเหมือนกับเป็นนักท่องเที่ยวไง” ปริญตบโขดหิน

     

    เธอนั่งตามที่เขาบอก เย็นสบายจัง “สวยมากๆ เลย” กล่าวเสียงทุ้มต่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าเผยอเล็กน้อยหลังจากที่ห่างหายเนิ่นนาน “ถ้ามีกล้องถ่ายรูปก็ดีสิเนอะ”

     

    “ใช่เลย แต่มือถือของพวกเราดันแบตหมดซะแล้วนี่สิ”

     

    ทั้งคู่หัวเราะ

     

    “นี่ขอถามด้วยสิ” หลังจากปล่อยตัวเองเพลิดเพลินกับธรรมชาติมาครู่หนึ่ง เธอเอ่ยขึ้น

     

    “ว่ามาสิ” ใบหน้าของเด็กหนุ่มปนความอ่อนโยนผุดขึ้น

     

    “อาจเสียมารยาทหน่อยแต่ฉันอยากรู้จริงๆ” เมรินทร์ย้อนหวนนึกถึงความหลัง

     

    “ทำไมนายถึงพยายามมากขนาดนี้เหรอ?” เธอเอานิ้วจิ้มปาก เอียงคอสงสัย

     

    “ถึงพวกเราจะอยากกลับบ้านเหมือนๆ กัน แต่พวกเราทุกคนต่างรู้ดีเลยล่ะ ว่านายทั้งทุ่มเท ทั้งมุ่งมั่นกว่าคนอื่น ทำไมกันอย่างนั้นเหรอ?” เขาเสียสละมากกว่าใครใดๆ อย่างน้อยนั่นก็เป็นความเห็นลึกๆ ของกลุ่มผู้กล้า

     

    “…...อืม” ปริญจับคางครุ่นคิด

     

    “คงเพราะครอบครัวล่ะมั้ง” เขาตอบเสียงใสเชิงทีเล่นทีจริง

     

    “ครอบครัวเหรอ?”

     

    “ใช่ ผมมีครอบครัวอยู่คนหนึ่งน่ะ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ต้องกลับไปให้ได้”

     

    เขาเงยหน้ามอง ช่างน่าคิดถึงจริงๆ

     

    “แต่ก็ไม่คิดจะใช้วิธีโหดร้ายหรอกนะ” ปริญหันจ้องกลับ ทำสีหน้าจริงจังคิ้วขมวด

     

    “เพราะคนคนนั้นต้องร่ำไห้แน่ หากรู้ว่าผมทำอะไรลงไปบ้าง” ปากของเขาสร้างลักยิ้ม

     

    “และผมจะกลับไปให้ได้ เพื่อครอบครัวคนนั้น......”

     

    “เพื่อเธอคนนั้น”

     

    คำตอบนั่น คลายข้อสงสัยหลายๆ อย่าง ราวกับไขปมข้อสงสัยต่อเขา และตัวเธอ

     

    อีกอย่างหนึ่งเธอพอจับความรู้สึกนั่นได้แล้ว ตอนที่เจอกับเขาครั้งแรก ความรู้สึกอันแปลกประหลาดต่อเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่แล่นเข้ามา นั่นคือความรู้สึกเดียว ราวกับเคยเห็นมาก่อนนั่นเอง ทว่ากลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

     

    เมรินทร์สะบัดหน้า ป่านนี้จะมัวแต่คิดมากไม่ได้ ต้องทำตัวให้ผ่อนคลายที่สุด

     

    หลังจากกลับมาจากพลบเย็น คืนเดียวกันเธอหลับสนิทยิ่งกว่าวันไหนๆ ความกระวนกระวายนั่นจางหาย ไม่กี่คืนร่างกายกลับมาปรกติ ขอบตาไม่ดำ เรี่ยวแรงฟื้นฟูเต็มร้อยยิ่งกว่าทุกที ทำเอาทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนแอบไปทำอะไรกันนะ

     

    เมริทนร์หน้าแดง สรรหาคำบรรยายแก้ต่างให้คริสฟังตอนที่โดนล้อไม่หยุด

     


     

    “อ่า..... มาถึงซีกที”

     

    ปริญคิ้วขมวดเข้ม จ้องปราสาทน่าเกรงขามตรงหน้า ซึ่งแผ่ออร่าดำทมิฬแห่งความตายออกมาทั่ว

     

    “ที่ผ่านมาไม่เห็นมอนสเตอร์ตัวอื่น” ธีร์ดันแว่น “หรือว่าเจ้าจอมมารนั่นจะพร้อมจัดหนักจัดเต็มกันยนะ?” เขาหัวเราะพ่นลม

     

    “เราไม่ควรประมาทนะ” ปริญเตือนระวัง

     

    “รู้แล้ว ฉันไม่พลาดท่าง่ายๆ หรอก” ธีร์กำทวนใหญ่ในมือแน่น

     

    เมรินทร์กับคริสและชิลินที่รั้งท้าย มองซ้ายขวาอย่างระวัง พวกเธอเองก็ไม่ประมาทเช่นเดียวกัน

     

    “นั่นอะไรน่ะ!?” ปริญชี้จุดสีดำเหนือปราสาท

     

    วัตถุบางสิ่งกำลังเข้ามาใกล้ มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งใหญ่กว่าตัวคน “ระวัง!!!”

     

    เด็กหนุ่มตะโกนเตือน มันคือมอนสเตอร์ลักษณะคล้ายอีกาขนาดยักษ์ จะงอยปากแหลมยาวพุ่งตรงมายังแนวหลัง มันเร็วจนเขาโจมตีสวนไม่ทัน

     

    “เอื๊อก—อ๊ากกก!!!” เสียงกรีดร้องเจ็บปวดของธีร์ดังขึ้น

     

    ปริญเหลียวหลังกลับ พบกับร่างกายอาบเลือดท่วมอย่างน่าสยดสยอง อวัยวะภายในบางส่วนโผล่ออกมาภายนอก

     

    มอนสเตอร์อีกาโฉบผ่านควันสีม่วง ลอบแทงซึ่งหน้าอย่างเหี้ยมโหด

     

    ใบหน้าบิดเบี้ยวของปริญผุดขึ้น “ย๊ากกกก!!” กวัดแกว่งดาบสีทองด้วยความโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าครั้งไหน

     

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.29 ยามเมื่อพระอาทิตย์สว่างไสว จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×