คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : Vol.1 Ch.26 ก่อนลมกรรโชกโหม
ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.26 ก่อนลมกรรโชกโหม
ดวงตะวันลอยส่องผ่านช่องรอยต่อของอิฐ กระทบกับผิวปูนแห้งกร้าน ความมีชีวิตชีวาของผู้คนทำเอาลืมนึกถึงเลยว่าที่กำลังจะเกิดศึกใหญ่ในไม่ช้า พวกเขายังคงสัญจรตามปรกติ เดินขมักกันแน่น เสียงหันเราะของเด็กน้อย เสียงของคนค้าขายแว่วผ่านเข้าหู
“ชาวเมืองพวกนี้พวกเขาไม่ตื่นตระหนกกันเลยเหรอ” ปริญเอ่ยถาม น้ำเสียงแปลกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“น่าตกใจจริง ภัยใกล้ตัวยังทำตัวปรกติได้” ธีร์ดันแว่นตัวเอง
“พวกเขาคงยังไม่เคยเห็นมอนสเตอร์อย่างที่ว่าจริงๆ” คริสพูดอย่างน้ำเสียงเศร้าหมอง
เมรินทร์มองดูเหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาเฉยเมย ให้ความสนใจพวกเธอน้อยกว่าหมู่บ้านหรือในเมืองหลวงที่ต่างเล่าลือถึงเรื่องตำนานโบราณ แต่เธอไม่ค่อยให้น้ำหนักมากนักหรอก ยังไงก็มาเพื่อปกป้องพวกเขา
“เชิญทางนี้ครับท่านผู้กล้า ท่านดยุคเฮมดัลกำลังรอพวกท่านอยู่” ทหารยามนายหนึ่งที่รออยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า นำทางพวกเธอไปยังปราสาทใจกลางเมืองซึ่งเป็นของผู้ปกครองเมือง
บานเหล็กเปิดออก แสดงให้เห็นถึงห้องทำงานหรูหราสไตล์ยุคโบราณ มีกระทั่งหนังสือที่เป็นของล้ำค่าของคนยุคนี้เรียงรายบนชั้นวางมากมาย
“นี่หรือคือผู้กล้าที่เขาล่ำลือกัน?” ชายหนวมเฟิ้มอ้วนพุ ลูบเคราของตัวเอง “ยังเด็กอยู่เลยนี่? ไม่ไหว ไม่ไหวจะพึ่งได้ยังไงกัน”
ทั้งห้าคนไม่ค่อยสบอารมณ์กับคำพูดของชายวัยกลางคนตรงหน้ามากนัก ทว่าก็ไม่ได้เก็บไปคิดอะไร เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนกล่าวกระทำเช่นนี้
“ถึงจะเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไว้จำพวกผมได้นะครับ” ปริญก้าวข้างหน้า โค้งตัวแนะนำ
“เฮ้อ—” ชายอ้วยถอนหายใจ “นี่เป็นคำสั่งของพระราชาเฉยๆ หรอกนะ ถึงจะให้ดูเป็นกรณีพิเศษ”
เขาย่างเท้าออกจากห้องทำงาน “ตามมาทางนี้สิ”
ดยุคเฮมดัล เดินอย่างช้าๆ ขึ้นบันไดวนสู่จุดสูงสุดของปราสาทที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของทั้งเมืองอย่างครอบคลุม
ภาพของทุ่งหญ้าลานกว้างด้านนอกสะท้อนแก่สายตาเมรินทร์ กองทัพนับหมื่นตั้งเรียงแถวกันอย่างขะมักเขม้น
“นี่คือกองทัพที่แข็งแกร่งของข้า ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรนี้” เฮมดัลพ่นลมหายใจ กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“ท่านต้องการให้พวกผมร่วมรบกับพวกทหารเหล่านี้อย่างนั้นเหรอ?” ปริญถามเหงื่อไหล ครั้งแรกที่พวกเขาต้องต่อสู้ร่วมกับคนอื่น นอกเสียจากพวกเขาด้วยกันเอง
เฮมดัลคิ้วกระตุก หัวเราะร่านเหมือนกับว่าพึ่งได้ยินมุกตลกคาดไม่ถึง
ปริญหน้านิ่ว พูดสงสัย “ท่านหัวเราะอะไรกันครับ?”
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” เฮมดัลยิ้มกว้าง “พวกเด็กน่ะแค่ยืนดูเฉยๆ ก็พอ ทหารของข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง” แววตาของเขาฉายแววเลศนัย
ธีร์เห็นเพียงแว่บเดียวก็อ่านออกเลยว่าชายตรงหน้าต้องการอะไร
ปริญค้านหัวชนฝา “อะไรกันครับจะให้พวกเราคอยเฉยๆ แบบนี้มั—!!!”
ธีร์ยกมือห้ามปรามคำพูด “อย่าพึ่งขัดเขาเถอะ อย่างน้อยชายคนนี้ก็คือผู้มีอำนาจของเมือง ถ้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าจะขัดแย้งกันเองเปล่าๆ ” น้ำเสียงค่อยลงเพื่อให้ได้ยินกันแค่กลุ่มห้าคน
แต่ดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นจะไม่พ้นเข้าหูอันดิบดีของชายอ้วนผู้มีบารมีอำนาจ ทว่าเขาไม่ออกอาการใดๆ เพียงแค่ยิ้มมุมเก็บความคิดเงียบงันไว้
“หึหึ ท่านผู้กล้า หนึ่งในพวกท่านก็รู้ตัวดี” เฮมดัลหัวเราะในลำคอ “เช่นนั้นก็เชิญพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ ตามรายงานของทหารลาดตระเวน กองทัพมอนสเตอร์จะมาถึงในพรุ่งนี้ พวกท่านช่างมาทันพอดิบพอดีกับการแสดงแสงยานุภภาพของกองทัพข้า”
เมรินทร์ขมวดคิ้ว กองทัพของเขาไม่ใช่กองทัพของอาณาจักรอย่างนั้นเหรอ หมายความยังไงกันแน่นะ
ในขณะที่หลายคนยังคงเคลือบแคลงสงสัย ธีร์คนแรกพูดโพล่งขึ้น “เข้าใจแล้วครับท่านดยุคเฮมดัล พวกเราจะเป็นผู้ชมที่ดีของท่าน”
“ขอบใจมาก เจ้าดูเป็นคนที่ฉลาดสุดนะ ฮ่าฮ่า” เฮมดัลหัวเราะ หน้าท้องอันใหญ่โตของเขาสั่นพั่บๆ
ในมุมหลังฉาก ทั้งห้าคนนัดพบกันพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์น่าสงสัยที่เกิดขึ้น
“ธีร์นายไม่ควรยอมเขาเร็วแบบนี้” ปริญออกความเห็นคนแรก
“ใช่ค่ะ อย่างน้อยขอเข้าร่วมกับเขาก็ยังดี” เมรินทร์คิดเช่นเดียวกัน เธอยังไม่อยากให้เกิดความสูญเสียที่เปล่าประโยชน์
“ใจเย็นๆ สิทั้งสองคน” ธีร์ยกสองมือห้ามปราม “ผมมีเหตุผลอยู่นะ” จากนั้นเขาเริ่มอธิบายสิ่งที่อยู่ในหัว
“อย่างแรกเลยคือฉันไม่ไว้ใจดยุคนั่นกับกองทัพของเขาอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมถึงยังตกลงล่ะ?” ปริญเอียงคอสงสัยกับความขัดแย้งที่กล่าว
“เห็นชัดว่าดยุคนั่นไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับปัญหาจอมมารเลย ดูจากการตื่นรู้ของชาวเมืองใต้ปกครองของเขา” ทันใดนั้นทุกคนต่างตั้งใจฟังเขาอย่างใจเย็น “เรื่องที่พวกเราไล่ปราบเรดก็อบลินดังจะตาย แม้แต่กับหมู่บ้านเล็กๆ ยังรู้เรื่องของพวกเรา”
ธีร์แบมือสองข้าง ใช้ภาษากายประกอบกับคำพูด “ถ้าไม่ถูกปิดบังความลับก็โดนล้างสมองว่าผู้กล้าไม่มีจริง นี่คือสิ่งที่ขัดกับคำสั่งของพระชาประเทศนี้อย่งแท้จริง”
เขายิ้มมุมปาก “ถ้าพวกนายเคยดูละครย้อนยุคก็รู้ดีว่านี่มันหมายความยังไง”
บรรยากาศอึมครึมเริ่มเกาะกินทั้งกลุ่ม พอจินตนาการตามประโยคข้างต้น
“ขุนนางใต้อาณัติกำลังคิดก่อกบฏไง่ล่ะ”
“นายกล้ากล่าวหาเขาทั้งที่ไม่มีหลักฐานเนี่ยนะ?” ปริญมีปฏิกิริยาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่อาจชวนเข้าใจผิด “เราควรไปถามดยุคเฮมดัลถึงความจริง”
“อย่าทำอย่างนี้เลยหน่า” ธีร์ยกมือขึ้นมาปิดหน้าผากของตัวเอง กลัดกลุ้มใจอย่างหนักตต่อเพื่อนร่วมกลุ่ม “ฉันรู้ว่านายมั่นใจในดาบของตัวเองมาก” เขาส่ายหน้าแรง “แต่ว่านะ ต่อให้เราไปถามเจ้าตัวเขาคงไม่ตอบความจริงหรอก”
“อีกอย่างถ้าทำแบบนั้นมีหวังพวกเราอาจเข้าร่วมกับเรื่องที่ยุ่งยากกว่าเดิม อย่างพวกสงครามกลางเมืองอะไรงี้”
“จากการต่อสู้กับลูกสมุนจอมมาร จะกลายเป็นเข่นฆ่ากันเองระหว่างมนุษย์เสียมากกว่า ยิ่งพวกเราไม่เคยฆ่าคนมาก่อนด้วย นี่ต้องเป็นศึกที่ลำบากแน่” แววตาของธีร์แสดงความห่วงใย “พวกเราอย่าราดน้ำมันลงในกองเพลิงเลย คอยดูห่างๆ ก็พอ รอเวลาที่พวกเขาพลาดพลั้งแล้วค่อยเข้าช่วยเหลือจะเป็นการดีสุด”
สายตาของเขาเหลือบมองยังเมรินทร์ “ใช่ไหมเมรินทร์?”
พลางทุกคนจ้องมองทางนี้เป็นตาเดียว สาวน้อยสะดุ้งเฮือก พวกเขากำลังต้องการคำตัดสินใจของคนที่พากลุ่มรอดมาถึงทุกวันนี้
เมรินทร์หลับบตา ความคิดหลากหลายประเดประดังเข้าหัว หากทำตามแผนของธีร์นั่นหมายถึงผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียมากมาย เธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย
“ค่ะ ตามที่ว่าเลย”
เมรินทร์ตอบตรงกันข้ามกับที่คิด ไม่ใช่ว่าเธอจะถูกซะทุกเรื่อง อย่างตอนที่คริสเกือบตายนั่นก็เป็นความผิดพลาดของเธอ ครั้งนี้หากลองทำตามคนอื่นบ้างอาจส่งผลดีกว่าที่เธอตัดสินใจเองก็ได้
ธีร์ที่ทำหน้าเคร่งขรึมยืนจ้องเฝ้ารอคำตอบนาน เขามีรอยยิ้มที่อ่อนโยนลง “อย่าฝืนทำหน้าอย่างนั้นสิ ฉันรู้สึกผิดเลยนี่” เขาเกาหัวตัวเอง แกรก แกรก “เอาเป็นว่าเราคอยจับตามองพวกทหารอย่างใกล้ชิดละกัน ถ้าเธอประเมินว่าพวกเราควรเข้าร่วมเมื่อไหร่ ค่อยออกไปทันทีเลยว่าไง?”
เมรินทร์พยักหน้าขึ้นลงรุนแรง ยิ้มกว้างหน้าบาน “ค่ะ!”
ไม่ว่าอย่างไรนี่คือสิ่งทีเธอได้เลือกไปแล้ว จะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
“อึ่ย” เมรินทร์หน้าเจื่อน เมื่อสาวใช้ของปราสาทนำทางเธอมายังห้องรับรอง
สภาพของมันดูทรุดโทรมอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความไม่ต้อนรับของเจ้าบ้าน ถ้าให้บอก ที่หมู่บ้านธรรมดายังดูดีกว่าเลย
“ช่วยไม่ได้” เธอบ่นลำพึง ไม่มีทางเลือกมากนัก ดีกว่าต้องนอนข้างนอกให้หนาวเหน็บร่างกาย พวกผู้ชายก็นอนอยู่ห้องถัดไปไม่ไกล ถึงไม่คิดว่าดยุกจะเล่นตุกติกอย่างการลอบสังหาร แต่อดห่วงไม่ได้เลย
“นอนไม่หลับ......” เมรินทร์ที่ตาค้างกลางดึก ตัดสินใจออกมาเดินเล่นรอบๆ เพื่อให้รู้สึกอยากนอนสักนิด
ท่ามกลางแสงสลัวสะท้อนของโคมไฟ เธอหยุดย่างก้าวยังที่แห่งหนึ่ง “วิวสวยจัง” เป็นระเบียงโถงกว้างดาดฟ้า ปลูกดอกไม้สวยงามและได้รับการดูแลอย่างดีจากคนรับใช้
“เอ๊ะ ปริญ?” เธอตกใจเมื่อพบกับเด็กหนุ่มผมสั้นเรือนพระอาทิตย์อ่อน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซก มือข้างหนึ่งถือดาบสีทองหวดลมแรงๆ หลายที
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นเธอก็หยุดการกระทำลง “สวัสดี เธอเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?” เขาปาดเหงื่อลักยิ้มทักทาย
“ก็ใช่หรอก แต่นายทำอะไรน่ะ อย่าบอกนะว่ามาฝึกในเวลาอย่างนี้?” เมรินทร์ตาเบิกโต
เขาหัวเราะแห้ง “เธอเดาถูกเผงเลย”
“โธ่ ไม่ดีนะ พรุ่งนี้จะเจอศึกใหญ่แท้ๆ” เธอพองแก้ม ทำท่าทีว่ากล่าวสักนิด
เขาเกาหัว ก้มลงสำนึกผิด “โทษทีๆ แต่ว่ามันคาใจน่ะ......”
“คาใจ? เรื่องอะไรเหรอ?” เธอสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่เขาต้องกวัดแกว่งดาบอย่างเอาเป็นเอาตายกลางดึกแบบนี้
“อืม.....” หัวเขาก้มต่ำลง แววตาหย่อนลง “มันเป็นเรื่องที่พระราชาแอนดิสบอกกับผมคนเดียวน่ะ เพราะกลัวว่าอาจทำให้ผิดใจกับคนในกลุ่ม”
“เอ๋? ถ้ามันเป็นอะไรที่ทำให้พวกเราบาดหมางฉันก็ไม่อยากรู้หรอก” เมรินทร์รีบโบกมือห้าม
เขายิ้มเจื่อนๆ “มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เพียงแค่ว่ามันเป็นความสามารถของผู้ใช้ดาบคนก่อนน่ะ”
“ผู้ใช้ดาบคนก่อน?” เมรินทร์นั่งลงตรงขอบริมระเบียงฟังอย่างสนอกสนใจ
“ใช่” เขาเงยหน้ามอวกลุ่มดาวบนท้องฟ้า หวนนึกถึงคำพูดของราชาแอนดิสที่เรียกไปคุยเพียงลำพังเมื่อครั้นวันแรกๆ “เป็นท่วงท่าการใช้ดาบที่มีชื่อเรียกของตน เมื่อเอ่ยขานนามกระแสแห่งดาบที่รุนแรงที่สุดกว่าอุปกรณ์ใดๆ จะปรากฏขึ้น เมื่อนั้นความชั่วร้ายทุกสิ่งจะพานมลายหาย”
เธอเอียงคอให้กับประโยคสุดตื่นตะลึงนั่น “เหมือนกับพวกท่าไม้ตายของฮีโร่ในทีวีเหรอ?”
ปริญยิ้มแหย “ประมาณมั้ง ผมเองก็ไม้เคยเห็นเหมือนกัน ฮ่ะฮ่าฮ่า” เขาหัวเราะกลบเกลื่อนความเศร้าโศก
เมรินทร์สัมผัสได้ถึงความกังวลภานใต้น้ำเสียงนั่น “แล้วนายลำบากใจเรื่องอะไรกันล่ะ?”
เขานิ่งชั่วครู่ก่อนตอบ “.....ผมใช้มันไม่ได้น่ะสิ”
เมรินทร์เบิกตากว้าง “นายเลยมาฝึกอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” เธออุบปากหัวเราะเบา “น่าตลกจัง”
เขาเกาหัว หลบหน้าด้วยความเขินอาย “อย่าพูดอย่างนั้นซี่ ผมกลุ้มใจมากเลยนะ”
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจว่านายหรอก” เธอเลิกนั่งตรงมุมระเบียงเดินเข้ามาใกล้ “ถึงนายจะใช้ท่าอะไรนั่นไม่ได้ ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเราว่านายหรอก โดยเฉพาะฉัน” ดวงตาตกลง เพราะผู้ใช้กระเป๋าอย่างเธอมีหลายครั้งที่เป็นตัวถ่วง กลับกันปริญต่างหากที่คอยช่วยเหลือทุกคนในยามคับขันตลอดเป็นที่พึ่งพาของคนอื่นเสมอ
“. . . . . . .ขอบคุณนะ” มีหลายคำพูดที่เขาอยากกว่า ทว่าหากเลือกมันไม่ดีรังแต่จะทำให้บรรยากาศแย่ลงเสียเปล่า จึงเลือกตอบเพียงประโยคสั้นๆ
“แต่ยังไงผมว่าพวกเราก็ขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้” ปริญเดินจับขอบระเบียงหินอ่อน มองกว้างยังทิวทัศน์โดยรอบ “เพราะพวกเราเป็นสหายที่สำคัญของกันและกัน และในท้ายที่สุด......พวกเราจะกลับบ้านโดยครบทุกคน.......กลับไปหาครอบครัวของทุกคน”
เมรินทร์มองลึกเข้ายังนัยน์ตาของเด็กหนุ่ม มีเพียงความสัตย์จริงอยู่ในนั้น “อือ เพื่อตัวของพวกเราเอง”
ตอนจบของพวกเราต้องลงเอยด้วยดี หากความทรงจำเหล่านี้ถูกเก็บไว้เมื่อถึงบ้าน มันจะกลายเป็นเรื่องเล่าที่หวนนึกถึงเสมอ เธอต้องทำให้มันกลายเป็นอดีตที่สวยงามให้ได้
ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.26 ก่อนลมกรรโชกโหม จบ
ความคิดเห็น