ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #22 : Vol.1 Ch.22 ปราการด่านสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.22 ปราการด่านสุดท้าย

     

     

     

    ธีร์มองตาแทบเหลือก ปลายสายทางคือก็อบลินสีแดงตัวหนึ่งถือหน้าไม้หนา เมื่อกี้คือฝีมือของเจ้านั่น

     

    “เฮ้ พวกนายรู้อะไรไหม?” เขาถามโอก้าที่ล้มเข่าสั่นขวัญผวา

     

    “ม ไม่ เจ้านั่นไม่ใช่มอนสเตอร์ที่เรารู้จักพวกมันอย่างมากก็ใช้แค่หนังขว้างหิน” เขากรีดร้องออกมาเมื่อเห็นพวกมันรุมล้อมเข้ามาใกล้ “ว๊าก!!! ท ท่านผู้กล้าช่วยด้วย” ชายนักล่ากอดเข่าของธีร์แน่นขนัน

     

    “โธ่เอ้ย! ไหงเป็นงี้เนี่ย” ธีร์บ่นอุบอิบ เป็นฝ่ายนี้ไม่ใช่เหรอที่อยากขอความช่วยเหลือ

     

    “พี่ธีร์อย่าพึ่งสนใจเขาเถอะค่ะ” เมรินทร์ดูเชิง พวกก็อบลินผิวสีแดงเองเช่นกัน ยังไม่เข้าจู่โจม ทว่าตัวที่ถือหน้าไม้กำลังขึ้นลำศรลูกใหม่ “ทำตามที่บอกเมื่อครู่ก่อน”

     

    “เข้าใจแล้ว” ธีร์พยักหน้ารับ

     

    “ผมต้องขอให้ช่วยรับมือทางซ้ายนะครับ!” ปริญตะโกน

     

    “เออ! ตามนั้น” ผู้ใช้ทวนเหล็กใหญ่กล่าวรับ

     

    ชายหนุ่มผู้มีสีผมพระอาทิตย์อ่อน สังเกตก็อบลินสีแดงห้าตัวที่กระโดดพุ่งโยกตัวซ้ายขวาไปมาเข้ามาใกล้รวดเร็ว หากเป็นเมื่อก่อนล่ะก็เขาคงมองตามไม่ทัน ตอนนี้เขาทำมันได้แน่

     

    “ย๊า!!!” แสงสีทองฟาดออกจากเปลวดาบ คลื่นดาบตวัดทั้งห้าร่างขาดวิ่น

     

    ธีร์เบิกตาโพลง “ไม่เลวนี่” เขาหันกลับมามองฝูงก็อบลินทางเขาบ้าง “ตาชั้นบ้างล่ะ!” ตั้งท่าถือตัวเหล็ก พุ่งทยานเป็นแนวเส้นตรง เพียงแค่สัมผัสกับลมหมุนของทวน ร่างของพวกมอนสเตอร์ต่างโดนฉีกกระชากราวกับเครื่องปั่น

     

    “ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็พวกเราเอาชนะมันได้ไม่ยากแน่ครับ” ปริญกำหมัดแสดงความดีใจ

     

    เพล้ง—

     

    เสียงแตกของขวดแก้วโดนหัว “เอ๊ะ” วินาทีถัดมาลูกศรเหล็กปักเข้าจุดเดียวกัน ด้วยฤทธิ์ของน้ำยาเพิ่มความแข็งแกร่งนั่น ทำให้ส่วนที่โดนนั่นแข็งราวเหล็กกล้า ลูกศรแตกกระจายออก

     

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเล็งมาที่มุมอับตอนเราเผลอหยั่งงั้นเหรอ สัมผัสความตายเข้ามาใกล้ ประมาทไม่ได้เลย

     

    ปลายสายตาของเมรินทร์สบตาเข้ากับก็อบลินซึ่งใช้หน้าไม้ มันเดาะลิ้นด้วยความหัวเสีย เหยียบคันศรขึ้น เป้าหมายคือเธอผู้ก่อกวนการโจมตีของมัน

     

    “แย่แล้ว” หลบไม่ทันแน่ ถึงมองการเคลื่อนไหวออก แต่การขยับตัวเชื่องช้าเหลือเกิน หรือจะใช้น้ำยาสีฟ้ากับตัวเองดี ทว่าเดาไม่ถูกเลย อีกฝั่งจะเล็กหัวหรือหัวใจ ปอด เส้นเลือดใหญ่ หรือม้าม จุดตายเยอะเกินไป

     

    เมรินทร์ไม่มีทางเลือก เธอเอาแขนซ้ายมาป้องตัวเองไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โดนจุดสำคัญ ถึงต้องเสียสละบางส่วนก็ตาม “อึก” เธอกัดฟันกรอด ทำใจกับความเจ็บปวดที่กำลังมาถึง

     

    ครืด—

     

    กำแพงหินผุดขึ้นจากพื้น ป้องกันศรธรูดอกนั้น

     

    “ชิลิน!” เมรินทร์ยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ ในที่สุดเธอก็ยอมทำตามแล้ว

     

    สาวผู้มืดหม่นพยักหน้าให้ “ดูเหมือนต้องพึ่งเธอแล้วล่ะ” เธอชูไม้เท้าขึ้น จากนั้นกำแพงหินรูปครึ่งวงกลมปรากฎ “เอาไงต่อ ว่ามาเลย”

     

    “ช่วยเอากำแพงหินตรงนั้นออกที แค่นิดเดียวนะ ขอช่องเล็กๆ พอ” เมรินทร์พูดชี้ โดนหันหลังให้

     

    ชิลินไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะพึ่งสร้างกำแพงแท้ๆ กลับให้ปลดออก ทว่าเธอก็ยอมทำตามแต่โดยดี รอยโหว่ขนาดกล่องลังปรากฏ

     

    เมรินทร์ขว้างขวดยาสีดำเข้มทรงกลมผ่านช่อง โดยไม่ทันตั้งตัวเกิดระเบิดขึ้นเบื้องหน้าของก็อบลินแกมโกงตัวที่ใช้หน้าไม้ขณะมันกำลังดึงคันศร

     

    ร่างของมันแตกกระจายตามแรงระเบิด เลือดสีม่วงเข้มสาดกระเซ็น

     

    “ไว้ใจได้เลย เกมโยนห่วงลอดขวดเนี่ย เจ้าของร้านถึงกับต้องขอร้องให้ฉันเลิกเล่นทั้งแอบจ่ายเงินให้เพราะกลัวของหมดแผงเลย” เธอยิ้มเยาะนึกถึงความหลังอันแสนคิดถึง

     

    คริสมองกระสับกระส่าย “หวา หวา” การที่อยู่นิ่งๆ เอาแต่ยืนดูเพื่อนทำเธอกังวลไม่น้อย “ทำอะไรดีเรา” พอก้าวขาข้างหนึ่งก็โดนตวาดกลับมา

     

    “คริสคะ! อย่างพึ่งขยับจากตรงนั้นสิคะ!” เมรินทร์เสียงดังใส่

     

    “ขอโทษค่า” เธอก้มหน้ารับความผิด ก่อนสังเกตเห็นถึงความผิดปรกติ

     

    ก็อบลินตัวหนึ่ง สวมหมวกเหล็กทรงสูงต่างจากตัวอื่นเดินแหวกเข้ามาใกล้ ข้างหลังมันมีฝูงใหญ่ของก็อบลินสีแดงตามหลังมา ทุกคนต่างหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นจำนวนของพวกมัน สิบ ร้อย หรือ พันกันนะ

     

    “โจ้—ว” ก็อบลินสวมหมวกเหล็กชี้นิ้วมาทางนี้อย่างใจเย็น ส่งภาษาสัญญาบางอย่างแก่พรรคพวกของมัน จากนั้นพวกมันต่างแห่กรูกันเข้ามา

     

    “อะไรน่ะ!?” ปริญหน้าเจื่อน เขาไม่อาจใช้คลื่นดาบสีทองติดต่อกันได้บ่อยนัก ทั้งยังรู้สึกกินแรงมากกว่า จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้การฟันด้วยดาบธรรมดาแทน

     

    เหมือนจะสู้ได้เช่นกัน ทั้งยังประหยัดพลังกาย “รู้งี้น่าจะตรวจสอบพลังของตัวเองให้ดีตั้งแต่แรก” เขาบ่นอุบอิบ กระโดดฟันก็อบลินสีแดงสามสี่ตัวที่กระโจนเข้ามา ไม่ให้พวกมันฝ่าแนวหลังมาได้

     

    ธีร์เห็นเช่นนั้นเขาก็ทำเช่นกัน เปลี่ยนมาเป็นการแทงทวนสวน ความเร็วในการฆ่าของพวกเขากำลังตกลงแต่ก็ไม่มีทางเลือก

     

    เพล้ง— เพล้ง—

     

    เสียงแตกของขวดแก้วดังกลางหลังของทั้งคู่ น้ำยาสีน้ำเงินสัมผัสโดนร่างกาย เปลี่ยนเป็นพลังงานทีละน้อย

     

    “ช่วยบริหารแรงด้วยค่ะ” เมรินทร์ตะโกนจากด้านหลัง “พวกเราจะปล่อยให้มันอัดแน่นขนัดกว่านี้ไม่ได้”

     

    ปริญยิ้มมุมปาก “ตกลง” ฝั่งธีร์เองก็ยกแขนปาดเหงื่อ ดูเหมือนตำแหน่งผู้นำกลุ่มจะตกเป็นของเธอโดยปริยายแล้วสิ ความคิดเห็นของทั้งคู่ต่างเป็นเสียงเดียวกัน

     

    คลื่นดาบสีทองและเกลียวทวนสลับกันหมุนโค้งขจัดมอนสเตอร์ ซากมหาศาลกองพะเนินขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ไม่หมดเลยพวกมัน!” คริสร้องด้วยความหวั่นวิตก

     

    เมรินทร์คิด ต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อลดจำนวนมันให้เร็วกว่านี้ พลางขยับสายตามองก็อบลินสองตัวที่ปีนขึ้นมาบนกำแพงหิน ปั่ก ปั่ก หินรูปลิ่มเล็กปักใส่ใจกลางร่างอย่างแม่นยำ ปลิดชีพมอนสเตอร์ล่วงหล่นเบื้องล่าง เพราะชิลินร่ายไว้รอจึงมีเวลาเล็ง

     

    เธอหยิบขวดแก้วสีเทาอ่อนขึ้นมา ขว้างลงพื้นเบื้องหน้าไกล แตกออก น้ำยาภายในกระจาย พวกก็อบลินลื่นล้มลงทันทีเพื่อสัมผัสกับของเหลว เดินยากลำบาก ทำให้ต้องหลบเลี่ยงเพื่อให้ไม่เหยียบของเหลว

     

    “ดีล่ะ” เธอยิ้มเหงื่อเย็นไหล เพล้ง— ขว้างขวดน้ำยาอย่างต่อเนื่อง พวกมันเริ่มหัวเสียแต่ก็ต้องหลบเลี่ยง รวมตัวกันวิ่งกรูตรงกลางเบียดเสียดราวกับฝูงมด

     

    “ชิลิน! ช่วยปาบอลเพลิงหรืออะไรก็ได้ที่เป็นการโจมตีวงกว้างตรงกลางที!” ใช้เสียงดังบอกคนด้านข้าง

     

    “เข้าใจแล้ว” ชิลินใช้เวลาประมาณสิบวินาทีเพื่อเรียกบอลเพลิงขนาดใหญ่กลางอากาศ ก่อนปล่อยมันสู่เบื้องล่างด้วยความเร็ว

     

    “กี๊—!!!” ในที่สุดก็อบลินตัวที่สวมหมวกซึ่งคาดว่าเป็นจ่าฝูงก็รู้ตัว มันรีบส่งเสียงเล็กแหลม ทว่าสายไป เหล่าก็อบลินที่กรูกันอย่างหนาแน่น ต่างพันแข้งพันขาล้มกันระเนระนาด หลบลูกไฟก้อนมหึมาไม่พ้น

     

    บรึ่ม—!!!

     

    เปลวเพลิงลุกโชดิช่วง สองคนนอกที่เห็นภาพนรกตรงหน้าต่างหวาดกลัว นี่หรือคือพลังของผู้กล้าในตำนาน

     

    ก็อบลินหมวกเหล็กอยู่นอกรัศมีวงทำลายล้าง ขบฟัน โมโหเกรี้ยวกราด

     

    ชิลินที่พึ่งปล่อยเวทลูกใหญ่ไปเหนื่อยหอบหนัก เพล้ง— ขวดยาปามาทางนี้ ของเหลวสีน้ำเงินเข้มไหลสัมผัสตัวเธอ การหายใจเริ่มกลับมาคงที่

     

    “เหลือตัวสุดท้ายแล้ว!” ปริญจ้องก็อบลินสวมหมวกเหล็ก เขาพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

     

    “ปริญหยุดก่อน!!!” เธอตะโกนห้าม

     

    เท้าเขาหยุดกึก สีหน้าตกใจ ก่อนทันสังเกตเห็นกลุ่มลูกศรหน้าไม้จากหลายทิศทางเข้ามาใกล้ เขาตวัดดาบ แรงอัดอากาศปัดธนูแหลมเหล่านั้นล่วงหล่น เมื่อกี้ถ้าช้าอีกนิดเดียวด้านหลังพรุนเป็นเม่นแน่ “ลูกเล่นเยอะจริง!”

     

    “ฟ่อออ—” ก็อบลินหมวกเหล็กอารมรณ์เสีย ขู่ฟอดๆ มันห้ามความโกรธไว้ก่อนหันหลัง

     

    “จะให้มันหนีไม่ได้นะคะ!!!” เมรินทร์หยิบขวดน้ำยาสีน้ำตาลอ่อน มันคือน้ำยาเหนียว “พี่ธีร์ช่วยปาใส่มันให้หน่อย!” เธอโยนมันให้กับธีร์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ

     

    “โอเคร” เขารับมัน ด้วยแรงอันเหนือมนุษย์ของผู้ใช้ทวน ทำให้สามารถปาขวดได้ไกลกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว

     

    เพล้ง—! ขวดน้ำยาแตกออกตรงส่วนข้อเท้า ก็อบลินหมวกสวมหมวกเหล็กร้อนรน “กี้! กี้!” ขาขยับไม่ได้ ส่งเสียงเรียกร้องให้ตัวอื่นเข้ามาช่วย

     

    พลันมองเห็นกลุ่มควันไฟพวยพุ่ง ชิลินแผดเผาเหล่าก็อบลินที่ซ่อนตัวใต้พุ่มไม้วอดวาย เสียงกรีดร้องอันหน่าขยะแขยงของเหล่ามอนสเตอร์หวยโหน ตอนนี้เหลือเพียงแค่ตัวจ่าฝูงเพียงตัวเดียว

     

    มันขบฟันกรอด เงยหน้าจ้องมองเด็กหนุ่มผมเรือนพระอาทิตย์อ่อนบนหัว สีหน้าข้างบนปูดปูนพร้อมล้างแค้นที่มาลอบโจมตีผุดเต็มรอบดวงตา

     

    ฉับ—! เหล็กเสียดสีกับเนื้อ หัวบนบ่าหลุดออก เขากำจัดก็อบลินตัวสุดท้ายลง

     

    เมรินทร์มองวินาทีนั้นไม่กระพริบ หันรอบซ้ายขวา ไม่มีวีแววของสิ่งมีชีวิตน่าสงสัย ที่ซ่อนตัวอยู่ก็โดนกำจัดเกลี้ยง ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวตอนนี้คือไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ

     

    ฟู่— ชิลินเสกมวลน้ำมหาศาลดับกองเพลิง เหลือเพียงขี้เถ้าสีดำตอตะโกน กับเศษซากโครงกระดูกก็อบลิน

     

    ธีร์หลี่ตามอง ศพของนักล่ามอนสตอร์ อูล ก็โดนลูกหลงไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน

     

    “จบแล้ว……สินะ?” น้ำเสียงปนความสงสัยของเขาดังขึ้น เหลียวหลังมองครูฝึกนักล่าสองคนที่จ้องมาตาค้างมาตั้งแต่เมื่อครู่ ถอนหายใจยาวเยียดเหนื่อยหน่าย เฮ้อ—

     

    “ยังไม่จบหรอกค่ะ”

     

    ทุกคนหันหน้ามองต้นเสียง คำพูดของเมรินทร์ทำเอาทุกคนต่างประหลาดใจ

     

    “ยังเหลือที่ฐานกบดานของพวกก็อบลินอีกไม่ใช่เหรอคะ?” สาวน้อยเดินเข้าหาชายวัยกลางคนทั้งสอง พวกเขามีสีหน้าสั่นกลัวอย่างเด่นชัด

     

    “ม ไม่ไหวหรอก” นอร์นน้ำเสียงสั่นเครือ

     

    “พวกมันไม่ใช่ตัวตนที่พวกเรารู้จัก ทั้งจำนวน ทั้งความฉลาด” โอก้าชายตัวโตสุดปิดหน้า

     

    ปริญส่ายหน้า “ยังไงพวกเราก็รายงานเรื่องนี้กับพระราชาแอนดิสก่อนเถอะ” เขาแตะบ่าเธอ

     

    เมรินทร์ขบริมฝีปากแน่น “ก็พวกเขาพูดเองนี่.....ยังเหลือคนที่พวกเราต้องช่วยอีกไม่ใช่เหรอ”

     

    ธีร์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ อึก— “ฟังที่ปริญเขาพูดก่อนเถอะอย่างน้อยพวกเราต้องขอกำลังเสริมจากพระราชา”

     

     “ไม่ได้ประโยชน์ค่ะ” เธอเบือนหน้า “พวกเขาคือคนที่เก่งที่สุดของอาณาจักรแล้ว” มองเหล่าชายสองคนที่ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น “จะให้โลกนี้....ผู้คนของที่นี่ถูกทำลายและสูญเสียมากกว่านี้ไม่ได้” เธอกำมือแน่น ความรู้สึกภายในอันครุมเครือบอกแก่ตัวเองเช่นนั้น

     

    ทั้งสี่คนมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยหลากอารมณ์

    ปริญเงยหน้ามองฟ้า ช่างสดใสจังนะ เขาหลับตาลง “ผมเห็นด้วยนะ”

     

    เธอสะดุ้งจ้องกลับยังเด็กหนุ่ม

     

    “ผมเองก็ไม่อยากเห็นคนตายเหมือนกัน” ดวงตากลมโตสีน้ำตาฉายแววเจิดจรัสหันมอง “ยังไงพวกเราลองมาช่วยผู้คนกันดูเถอะ ผมเองก็ขอร้องอีกคนหนึ่ง”

     

    ธีร์กัดฟันยิ้มเจื่อน ครุ่นคิดอย่างยากลำบาก

     

    “ฉันเองก็เอาด้วยคนนะ” คริสยกมือขึ้นสูง “ทางนี้อีกยังไม่ได้แสดงฝีมือเลย”

     

    ชิลินมองดูเงียบๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “……..แล้วแต่เธอเลย ยังไงขอแค่ฉันได้กลับบ้านเร็วที่สุดก็พอ”

     

    ธีร์ดันแว่นตัวเอง พลางคิด เสียงสี่ต่อห้าเหรอเนี่ย เหลือแค่เราที่ต้องออกความเห็น “อ่า ว่าไงก็ตามกัน”

     

    ในที่สุดทั้งห้าคนก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ธีร์เตะเบาแก่โอก้าที่นั่งหัวหดบนพื้น “แล้วพวกนายจะเอายังไง?”

     

    เขานั่งด้วยความสงบซักพัก ยืนขึ้น สีหน้าเคร่งขึมต่างจากเมื่อครู่ “กระทั่งคนภายนอกยังมีสปิริตมากกว่ารึเนี่ย” นั่นทำให้เขาคิดได้ นักล่ามอนสเตอร์ผู้องอย่างพวกเขากลับมาทำตัวขี้ขลาดถึงเช่นนี้

     

    “พวกเราจะนำทางแกะรอยฐานของพวกมันให้เอง”

     

    เมรินทร์จ้องนอร์ดด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่พวกเขายังเอาแต่นั่งสั่นกับพื้นอยู่เลย

     

    “นั่นคือฝีมือของเธอ” ปริญส่งเสียงจากด้านหลัง “ต่อจากนี้เธอคอยแนะนำพวกเราด้วยนะ”

     

    เธอผุดรอยยิ้มกว้าง พยักหน้าขึ้นลงสุดแรง “อือ!”

     

    ด้วยการนำทางของนอร์นและโอก้า ทั้งห้าคนพบกับหมู่บ้านของก็อบลินผิวสีแดงในเวลาไม่นาน พวกเขาลอบโจมตีด้วยการเปิดฉากเวทเพลิงของชิลิน หมู่บ้านที่ทำจากกองฟางอย่างลวกๆ ถูกเพลิงโหมกระหน่ำ คงเพราะกลุ่มที่ลอบโจมตีพวกเธอเมื่อครู่คือนักรบ พวกก็อบลินในหมู่บ้านจึงแทบไร้การโต้กลับ

     

    ท่ามกลางกองไฟ ปริญและธีร์ไล่ล่าสังหารพวกก็อบลินอย่างต่อเนื่อง

     

    เมรินทร์ที่ดูสถานการณ์ไม่ห่างนั้น พบเข้ากับบางสิ่งที่สะดุดตา พุ่มไม้กองหนาราวกับต้องการซ่อนบางสิ่งไว้ เธอให้ชิลินช่วยเผากองหญ้านั่น ภาพต้องหน้าที่ปรากฏถึงกับทำให้พวกเธอต้องตกตะลึง

     

     

    “คริส! ช่วยมาดูทางนี้หน่อยค่ะ มีคนเจ็บตรงนี้!” เมรินทร์ตะโกนเรียกคริส เธอถือคฑาวิ่งว่องไว

     

    ผู้คนของโลกนี้ หญิงกระทั่งชายร่างใหญ่ พวกเขาถูกจับมัด ล่ามโซ่ ในสภาพที่กึ่งเป็นตาย บาดแผลทั่วตัว บางคนแม้รักษาแล้วยังมีดวงตาเลื่อนลอย ราวกับถูกพรากวิญญาณไป เธอเองก็ช่วยให้น้ำยาฟื้นฟูกับพวกเขาด้วย ถึงแม้ผลลัพธ์จะไม่เท่าคฑาของคริสก็ตาม

     

    “สภาพของพวกเขาดูไม่ได้เลยนะ” ธีร์ดันแว่นตัวเองมองเหงื่อแตก

     

    เมรินทร์พยักหน้า “ใช่......ช่างน่าสงสารค่ะ” ใบหน้าเธอเจ็บปวด

     

    “พวกเราพาพวกเขากลับไปไม่หมดแน่” ปริญพูดขึ้นเสียงดัง

     

    “ฉันกับธีร์และคุณนอร์นจะกลับไปเรียกคนมาช่วยเองค่ะ” เธอกล่าวแข็งขัน

     

     

    “ตกลง ผมกับคริส ชิลิน คุณโอก้าจะเฝ้าพวกเขาไว้เอง” เขาพยักหน้ารับ

     

    “ฝากด้วยนะคะ” เธอตอบรับ ต้องรีบเดินทางให้เร็วที่สุด นี่คือการแข่งกับเวลา

     

     

     

     

    “เรดก็อบลินงั้นรึ?” พระราชาแอนดิส นั่งบนบังลังก์จับคางตัวเอง

     

    หลังจากฝังเรื่องของเมรินทร์และนอร์น ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว “จอมมารคราวนี้ไม่ใช่ธรรมดา” ดวงตาของเขาโศกเศร้า “มิน่าทำไมถึงมีผู้กล้าที่แข็งแกร่งมากเพียงนี้”

     

    เมรินทร์คุกเข่ามองแอนดิสด้วยความประหลาดใจถึงสิ่งที่พระราชาเบื้องหน้ากล่าว เขารู้อะไรอย่างนั้นเหรอ

     

     

    ราวกับตอบข้อสงสัยนั้น เขาพูดต่อ “ปรกติแล้วระดับของจอมมารสามารถดูได้จากสมุนที่ถูกส่งมา” ดวงตาของเขาย้อนรอยยาวนาน “ที่พวกเราเจอก่อนหน้านี้คือพวกมอนสเตอร์จากยุคเก่าของจอมมารรุ่นก่อนที่ถูกขับไล่จากถิ่นอาศัยเดิม” เขาลุกขึ้น สายตาเป็นกังวล

     

     

    “เจ้านั่นคือเรดก็อบลินไม่ผิดแน่ ตามตำนานโบราณพวกนั้นเคยถูกเจอเป็นพวกท้ายๆ ก่อนกำจัดจอมมาร ทว่าการที่พวกมันโผล่มาในระลอกแรกแบบนี้ คิดได้อย่างเดียวคือจอมมารนั้นแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมา”

     

    เมรินทร์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ อึก—

     

    “ยุคสมัยข้าอาจเป็นยุคที่เลวร้ายที่สุด” เขามือไพร่หลังกล่าวอย่างเป็นกังวล “มันอาจเป็นจุดจบของโลกใบนี้”

     

    ดวงตาเป็นห่วงใยของเข้าจ้องเข้ามายังภายในเมรินทร์ “เหล่าผู้กล้าอย่างพวกท่านต้องพบเจอกับความยากลำบากเสียแล้ว”

     

    เขาก้มหัวลง “มันอาจดูเห็นแก่ตัว แต่ข้าต้องฝากความหวังไว้กับพวกท่าน บัดนี้รายงานของพวกเรดก็อบลินถูกส่งมาถึงข้าจากทั่วทุกสารทิศ”

     

    เธอแทบหยุดหาย เหงื่อเย็นไหลเฉียบ

     

    “ไม่มีใครปราบมันได้นอกจากพวกท่านแล้ว หากพวกท่านไม่ตัดสินใจลงมือ พวกเราคงถึงจุดจบ ณ ตอนนี้ เพียงแค่มอนสเตอร์ตัวเล็กนั่น” มันคือความจริงที่ยากกล่าว พวกเธอคือปราการด่านสุดท้ายไม่มีอื่นใดอีก

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.22 ปราการด่านสุดท้าย จบ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×