ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : Vol.1 Ch.2 สัตว์ร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 Ch.2 สัตว์ร้าย

     

    “ใครก็ได้ช่วยด้วยค้า!!!” เมรินทร์ชักสีหน้าวิตก วิ่งเผ่นป่าราบ ฝีเท้าวิ่งแล่นสุดชีวิต อะดีนนาลีนสูบฉีด เกิดมาไม่เคยเร็วขนาดนี้มาก่อน ปึงปึง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวประหลาดจะตามมาไม่ห่าง

     

    “เรื่องอะไร!? เรื่องอะไร!? ฉันทำอะไรผิด” เมรินทร์ระบายอารมณ์โกรธเกรี้ยว คนที่ส่งเธอมายังที่นี่คือแสงสีขาวนั่นไม่ผิดแน่ เจ้านั่นทั้งไร้ความรับผิดชอบ และมักง่าย เธอขอสาปส่งมันจากใจจริง

     

    “มันจะไล่ทันแล้ว” อีกเพียงไม่กี่ก้าว เจ้าสัตว์ประหลาดสีดำจะถึงตัวเธอ ต้องหาทางทำอะไรซักอย่าง

     

    เมรินทร์ กระโดดไปทางซ้ายโดยเอาตัวกลิ้งลงเขา หากม้วนตัวลงคงไม่เจ็บมาก

     

    “โอ้ย” กิ่งไม้ใบหญ้าบาดผิวหนังเธอเป็นรอย เลือดไหลเยิ้มออกทั่วร่าง ทั้งทีคิดว่าตอนแรกเป็นการเอาตัวรอดที่ดี แต่กลับคิดผิด แรงกระแทกไปมาทำให้เจ็บร้าวทั่วทั้งร่าง

     

    ตึก เสียงหน้าท้องกระแทกเข้ากับก้อนหินด้วยความเร็วจนหยุดลง นอนแน่นิ่งตรงนั้น

     

    เมรินทร์พยายามลุกขึ้น แต่ก็แทบไม่ไหวติง เหมือนกระดูกหักทั่วร่างเลย

     

    “ฮึก ฮึก” น้ำตาเริ่มไหลรวยลินออกมา ประคองตัวยืนขึ้นโยนเยซ้ายขวา อย่างน้อยก็หนีจากเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาได้

     

    “มะ ไม่จริง” เมรินทร์เบิกตาโพลงเมื่อเจอกับภาพข้างหน้า ตัวแบบเดียวกันทว่ามีเป็นฝูง

     

    มันแยกเขี้ยว ขู่คำราม อย่าบอกนะว่าเธอกำลังจะถูกกินที่นี่ เท้าก็ขยับไม่ไหวแล้ว ทำยังไงดี ทำยังไงดี ไม่ไหว ร่างกายมันไม่ขยับเลย เมรินทร์หลับตา ปรี๋ เมื่อรู้ว่าไม่สามารถหนีได้อีก เธอกำลังจะตาย

     

    “ไป๋เตี้ยนหวู่(หมัดพิฆาตธรณี)!” แรงกระแทกอัดกระเด็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดสีดำ เมรินทร์ลืมตาเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าเจ้าสัตว์ประหลาดทมิฬนั่นบาดเจ็บสาหัส สาเหตุมันเกิดจากอะไร เธอขยับดวงตาไปทางซ้าย เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดจีนโบราณ ตั้งท่าคล้ายรำไทเก๊ก มองมาที่เธอแล้วยิ้มให้

     

    “ระวังข้างหลัง!” เมรินทร์ส่งเสียงเตือน สัตว์ประหลาดอีกตัวกำลังพุ่งเข้ามาขย้ำเขาจากด้านหลัง

     

    “เหวี๋ยนห่าว(เพลิงธรรมพิโรต)” เปลวเพลิงสีแดงพุ่งมาจากอีกฝั่งหนึ่ง แผดเผาร่างสัตว์ประหลาด เด็กสาวทรงผมเกล้ามวยมัดจุกสองข้างในชุดแบบเดียวกันยืนอยู่บนกิ่งไม้ข้างบน หัวเราะเบา “เจ้าดูแคลนอสูรพวกนี้ไปนะ” เธอกล่าวใส่ชายหนุ่ม

     

    เขาเพียงแค่ยิ้มพยักหน้ารับ แล้วเดินมาทางนี้ “ข้าคือเหลียงเค่อ ศิษย์เอกสำนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุผา) เจ้าคือผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมาใช่หรือไม่?”

     

    “คะ?. . . .” เมรินทร์ทำหน้ามึนงง ไม่รู้ความหมาย

     

    “หึ นางคงไม่รู้ตัว ทว่าการแต่กายเช่นนั้นต้องใช่แน่” เมริทร์หันมอง ชายอีกคนที่ตัวใหญ่ผิวสีเข้ม ขยับสายตาดุดันมาทางนี้ ก่อนรู้สึกตัวถึงสัตว์อสูรที่เข้าใกล้ “หลงเลี่ยเหว่ย(ลมปกรนำ)” ลูกเตะที่มีสายลมห่อหุ้ม ทำลายร่างสัตว์อสูรสีดำจากภายใน

     

    “ข้อเองก็เห็นสัญลักษณ์หวู่ต้า(ธาตุทั้งห้า)อยู่แถวนี้ ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นนาง” ชายหนุ่มผมสีน้ำเงิน ใบหน้าคางแหลมคม กล่าวด้วยรอยยิ้มเลศนัยเล็กน้อย

     

    “เจ้าเป็นอะไรไหม?” ชายหนุ่มผมสีน้ำกล่าว เดินมาทางนี้

     

    “พวกคุณเป็นใคร?” เมรินทร์กล่าวเสียงสั่น

     

    “ข้าคือซีฮัน ผู้หญิงคนนั้นคือถิงถิง คนตัวโตนั่นคือเนี่ยนเจิน” ซีฮันมองไล่ชื่อไปทีละคน “พวกเราคือศิษย์สำนักเก๋อเหลา(ชุมนุมหมื่นบุผา) รับภารกิจที่นี่เพื่อตามหาผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมาช่วยทวีปเจี้ยนเหริ่น(โลก)”

     

    “ดาวหางสีคราม? ฉันเหรอ?” ถ้าบอกว่าดาวหางสีครามคือเจ้าแสงสีขาวนั่น หมายความว่าเธอถูกส่งมาโดยที่ไม่รู้อะไรเนี่ยนะ

     

    ซีฮันขณะที่กำลังจะตอบก็ต้องเดาะลิ้นหัวเสีย อสูรสีดำเข้ามาจู่โจมจากด้านหลังจนเขาต้องกระโดดหลบ

     

    “ว่าแล้วภารกิจนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับพวกเรา! เจ้าสำนักตงหยางส่งพวกเรามาตาย” เนี่ยงเจินตวาดอย่างโกธา อสูรสีดำเข้ารุมล้อม พวกเขากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

     

    “ที่นี่มันยังไม่ใช่ที่ตายของเรา” เหลียงเค่อชักสีหน้า “ฮูหว่อเลี๋ยน(โหมกระหน่ำธรณี)” หมัดเหล็กระรัวเข้าใส่ฝูงอสูรหลายตัวที่กระโดดมาพร้อมกัน ทว่าแม้ฆ่าไปมากเพียงใด จำนวนมันไม่ลดลงแม้แต่น้อย

     

    ความตึงเครียดเข้าปกคลุม พวกเขากำลังโดนรุมล้อมโดยสัตว์อสูรจำนวนมาก ทั้งสี่คนเริ่มเกาะกลุ่มเข้าหาเมรินทร์ซึ่งอยู่ศูนย์กลาง

     

    ทันใดนั้นที่พวกมันทั้งหมดกระโจนมาพร้อนกัน มีบางสิ่งเกิดขึ้น

     

    “ซีหริ๋ว(ลมอสรพิษ)” ชายในชุดจีนเข้มคนหนึ่งสวมหน้ากากปิดใบหน้าครึ่งบน ขี่กระบี่มาจากบนฟ้าพุ่งทยานเข้ามายังกลุ่มสัตว์อสูร เพียงแค่เขาลอยผ่าน ร่างของเหล่าอสูรดำสีดำขาดวิ่นเป็นชิ้นๆ เพียงชั่วพริบตา อันตรายพลันจบลงอย่างรวดเร็ว

     

    “นั่นปรมาจารย์กู่!”

     

    “ปรมาจารย์กู่มาช่วยแล้ว!”

     

    “ปรมาจารย์กู่ครับ!”

     

    “ท่านปรมาจารย์กู่!”

     

    ปรมาจารย์กู่เคลื่อนกระบี่มายังตรงหน้า ลอยอยู่บนท้องฟ้า ลูกศิษย์ทั้งสี่คุกเข่าคารวะ เขามือไพร่หลังกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “นางคือคนที่ดาวหางสีครามส่งมา พานางมากับเรา”

     

    เมรินทร์อ้าปากค้าง กับฉากที่ราวกับหลุดออกมาจากหนังกำลังภายในจีน

     

    “เจ้ายืนไหวไหม?” เหลียงเค่อยื่นมือมาทางนี้ “ให้ข้าแบกเจ้าขึ้นหลังเถอะ”

     

    โดยที่อยู่บนหลังของเหลียงเค่อ ทั้งสี่คนก็เริ่มเดินทางช้าๆ ปรมาจารย์กู่ลอยตามประกบไม่ห่าง

     

    “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ” เหลียงเค่อหันหลังกล่าว

     

    “เมรินทร์” เธอตอบอย่างสะบักบอม

     

    “เป็นชื่อที่แปลกดีนะ” เหลียงเค่อหัวเราะในลำคอ

     

    “ใกล้ถึงแล้ว ทนอีกนิด” เหลียงเค่อกล่าว

     

    เมรินทร์แทบไม่ไหวติงจากพิษบาดแผล แต่ก็พยายามฝืนกลั้นใจมองข้างหน้า ปรากฏภาพตำหนักใหญ่โตโอ่งอ่าง ประดับประดาด้วยหยกสีเขียวสวยหรู

     

    “พานางไปรักษาที”

     

    เมริทร์โดนวางไว้กับเตียงนุ่ม ถิงถิงเข้ามาเปลี่ยนชุดให้ จากนั้นหมอยาคนหลายคนเข้ามาล้อมรอบ พวกเขาป้อนยาน้ำบางอย่างใส่ปาก เพียงไม่นานเธอก็หลับลงได้ จากการผ่อนคลายความเจ็บปวดของบาดแผล

     

    เช้าวันรุ่งขึ้นเธอถึงตื่นจากอาการหลับใหล

     

    “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” เหลียงเค่อเฝ้ามองไม่ห่าง

     

    “อืม ความเจ็บปวดเริ่มหายแล้วค่ะ” เมรินทร์งัวเงียจากฤทธิ์ยา แต่ยังคงสติได้อยู่ “ขอถามได้ไหมคะ? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?”

     

    “เจ้าคงยังไม่รู้เรื่องสินะ เดี๋ยวข้าอธิบายให้ฟัง” เหลียงเค่อกระแอมไอ “พวกข้าได้รับคำพยากรณ์จากเหล่าโหราศาสตร์ กำลังจะมีภัยมาเยือนยังทวีปเจี้ยนเหริ่น(โลก) ดาวหางสีครามซึ่งเป็นเทพพิทักษ์ของทวีปเจี้ยนเหริ่น(โลก)จึงส่งดาวตกมายังที่ใดที่หนึ่งเพื่อมอบผู้ที่จะมาช่วยพวกเรา”

     

    “ที่หมายถึงคือฉันเหรอคะ?” เมริทนร์เอียงคอสงสัย

     

    “ใช่ เมื่อวันที่เจ้าโผล่มา เราเห็นแสงดาวตก ลงมาจากฟากฟ้า จึงมุ่งตรงไปยังที่นั่นและพบกับเจ้า” เหลี่ยงเค่อมองข้างบน

     

    “อะไรกัน. . . .  ฉันก็แค่คนธรรมดาทำไม่ได้หรอกค่ะ” เมรินทร์กล่าวอย่างสั่นกลั่ว แค่แมลงสาปยังทำผวาไปแปดบ้านเลย

     

    “ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ” เหลียงเค่ออมยิ้ม “มาเถอะ จ้าวสำนักรอพบเจ้าอยู่”

     

    เขาพาเมริทร์มายังห้องโถงใหญ่ ที่นั่นมีคนผู้คนมากมาย รวมทั้งเหล่าคนที่มาช่วยเธอเมื่อวานด้วย ส่วนใหญ่ต่างมีสีหน้าตึงเข้ม

     

    “นางคนนี้เรอะ คือผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมา?” ชายร่างท้วมใหญ่โต พ่นวาจา

     

    “ขอรับท่านจ้าวสำนักตงหยาง” เหลียงเค่อคาราวะ

     

    “รีบทดสอบพลังลมปราณของนางซะ” ตงหยางกวักมือ เหล่าชายฉกรรณ์สองคนนำโต๊ะมาวางตรงนี้แล้วตั้งลูกแก้วลง

     

    “ไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอ ช่างไร้มารเจ้าตงหยาง” เนี่ยนเจินบ่นเบาๆ ข้างในฝูงกลุ่มคน

     

    “ไปตำหนินินทาจ้าวสำนักเดี๋ยวก็โดนดีหรอก” ถิงถิงหัวเราะ

     

    “ว่าเขาเถอะ เจ้าเองก็ชอบนินทามากกว่าชาวบ้านมิใช่หรือไง” ซีฮันหยอกเย้าเล่น

     

    กลุ่มศิษย์เอกทั้งสามคนต่างซุบซิบกันอย่างสนุกปาก ตงหยางเองก็พอรู้ตัว ทว่าทำอะไรมากมิได้ เพราะพวกนี้เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กู่

     

    “ให้ทำอะไรนะคะ?” เมรินทร์กล่าวอย่างงุงงวย

     

    “วางมือลงบนนั้นซะ นี่คือลูกแก้ววัดระดับพลังลมปราณเพื่อดูว่าเจ้ามีขีดจำกัดถึงขั้นไหน” ตงหยางกล่าวอย่างรำคาญ

     

    เมรินทร์วางฝ่ามือลงบนลูกแก้ว

     

    มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพียงชั่วครูบรรยากาศพลันเปลี่ยน ทุกคนต่างเอะอะโวยวายขึ้น

     

    “นางไม่มีลมปราณ!” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

     

    “นี่คือผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมาจริงๆ เรอะ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดเป็นแน่!”

     

    “ทำไมผู้ไม่มีลมปราณถึงมาอยู่ที่นี่!?”

     

    เสียงเอะอะดังลั่นจากทุกสารทิศ เมรินทร์ตกใจกลัวจนวิตกกังวล ปากสั่นผวา เธอทำอะไรผิด

     

    “ทุกคนเงียบ!” จ้าวสำนักตงหยางตะโกนลั่น เดินมาข้างหน้า

     

    “เมื่อเจ้าไม่มีพลังลมปราณก็จงออกไป ต่อให้เป็นผู้ที่ดาวหางสีครามส่งมาก็ไม่มีข้อยกเว้น” จ้าวสำนักตงหยางเบ๊ะปาก ร่างท้วมของเขาสั่นผับ

     

    “เอ๊ะ? ดะ เดี๋ยวอะไรนะคะ?” เมรินทร์แสดงสีหน้าตกตะลึง ให้ออกนี่หมายความว่ายังกัน หมายถึงปล่อยให้เดินเพ่นพ่านตามลำพังกับพวกอสูรสีดำอย่างนั้นเหรอ “ดะ.. ดะ..ได้โปร—”

     

    “รอก่อนท่านจ้าวสำนัก!” เหลี่ยงเค่อเข้ามาวางขวางหน้าทั้งสองไว้

     

    “เจ้าคิดจะทำอะไรเหลียงเค่อ!?” ตงหยางกล่าวอย่างหงุดหงิด

     

    “หากนางออกจากสำนักซึ่งภายนอกเต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้ายนางไม่รอดแน่ อย่างน้อยให้นางอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ” เหลียงเค่อก้มลงคารวะ

     

    “ข้าไม่สนใจทั้งนั้น กฎก็คือกฎ!” ตงหยางเดินเร็วตึงตังเข้ามา

     

    “““ท่านจ้าวสำนักพวกเราเองก็ขอร้องด้วย!””” ซีฮัน เนี่ยนเจิน ถิงถิง เข้ามาคารวะพร้อมกัน

     

    “พวกเรามิอาจปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์อันน่าสงสารต้องไปตายหรอกครับ” ซีฮันเงยหน้ากล่าว

     

    “ท่านจ้าวสำนักโปรดเมตตา” ถิงถิงคารวะก้มลง

     

    “มันไม่ใช่วิถีของผู้ฝึกตนคุณธรรมขอรับ!” เนี่ยนเจินกล่าวหนักแน่น

     

    “พวกเจ้ากำลังละเมิดกฎของสำนัก พวกเจ้าจงรู้ตัวซะ!” ตงหยางไม่สนใจสิ่งใด ง้างแขนเตรียมใช้ฝ่ามือลมปราณปัดทั้งสามคนให้พ้นทาง

     

    “ท่านจงอย่าทำเช่นนั้น” ปรมาจารย์กู่จับมือของตงหยางไว้

     

    “ปล่อยนะ!” กำมือถูกคลายออก ปรากฏรอยแดง ตงหยางจับด้วยความเจ็บปวด “เจ้าก็อีกคนรึ ปรมาจารย์กู่! คิดจะทำลายสำนักด้วยการทำลายกฎหรือไง ต่อให้เป็นเจ้าข้าก็ไม่ยกเว้น”

     

    “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” ชายในหน้ากากสีเงินเดินมาทางลูกแก้วทดสอบ วางฝ่ามือลงบนนั้น

     

    เมรินทร์ตกตะลึง มองเห็นสีขาวสว่างดวงใหญ่เปล่งแสง

     

    “เจ้าจะทำอะไร?” ตงหยางถามด้วยความมึนวย

     

    ปรมาจารย์กู่ปล่อยมือจากลูกแก้วและแสงก็มอดดับลง “ลองวางมือเจ้าอีกทีสิ” เขากล่าวหันมาบอกเมรินทร์

     

    “....ค่ะ” แม้ยังไม่เข้าใจเธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย มันไม่มีอะไรปรากฏอีกครั้ง

     

    “จะลองอีกกี่ครั้งมันก็เหมือ—” ตงหยางอ้าปากค้าง

     

    ปรมาจารย์กู่แตะที่หลังของเธอ กระตุ้นลมปราณ แล้วลูกแก้วก็มีเรืองแสงสีขาวสว่างจ้า แสบตาเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่

     

    “ข้าเพียงแค่กระตุ้นลมปราณให้นางเท่านั้น” ปรมาจารย์กู่กล่าว แล้วดึงมืออก ถึงอย่างนั้นลูกแก้วก็ยังคงเปล่งแสงสีสว่าง

     

    เมรินทร์ดึงมือออก แล้วจับลูกแก้วใหม่ ปรากฏว่ามันไม่มีสี เธอไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

     

    ราวกับรู้ถึงคำถามของคนที่นี่ดี ปรมาจารย์กู่อธิบาย “เหมือนกับเชื้อเพลิงต้องการเปลวไฟเพื่อจุดติด นางมีพลังปราณกล้าแกร่งยิ่งกว่าผู้ใดในที่นี้ เพียงแค่ยังไม่รู้วิธีก่อกองฟืนเท่านั้น” เขาเงยหน้าขึ้น “ข้าเพียงแค่เห็นนางครั้งแรกด้วยดวงตาหวู่ต้า(ธาตุทั้งห้า)ก็รับรู้ว่านางมีพลังอันยิ่งใหญ่ และมั่นใจว่าเป็นคนที่ดาวหางสีครามส่งมาอย่างแน่แท้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่พานางมาที่นี่หรอก หากนางเป็นคนธรรมดา ข้าคงพานางส่งยังเขตเมืองอันปลอดภัย”

     

    ตงหยางหน้าแดงก่ำ “แล้วยังไงปรมาจารย์กู่! ต่อให้เจ้ามีลูกเล่นเพียงใดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางนั้นไร้พลังปราณเป็นของตัวเอง” หลายคนล้วนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

     

    “ข้ามิได้ปฏิเสธ” ปรมาจารย์กู่เดินไขว้หลังมาขวางหน้าตงหยางกับเหล่าศิษย์ทั้งสี่และเมรินทร์ไว้ “เอาอย่างที่จ้าวสำนักว่า ข้าใช้ลูกเล่น และหากผู้ใดมีปัญหาก็ให้เข้ามา”

     

    ตงหยางสะดุ้ง เฮือก กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสของสำนักยังหวั่นเกรงเมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์กู่

     

    “ปรมาจารย์กู่เรื่องนี้เจ้าต้องชดใช้ภายหลัง!” ตงหยางและเหล่าคณะผู้อาวุโส รีบเดินหนีถอยห่างจากห้องโถง

     

    เมรินทร์มองตาค้าง มันจบแล้วเหรอ

     

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol. 1 Ch.2 สัตว์ร้าย จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×