ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #15 : Vol.1 Ch.15 ปาฏิหาริย์

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.15 ปาฏิหาริย์

     

     

    เมรินทร์ตัวแข็งค้าง พยายามประคับประคองสติตัวเองให้มากที่สุดโดยไม่ล้มลง หน้ามืด ไม่ไหวติง ภาพการล้มหายตายจาก จินตนาการเลวร้ายโผล่ขึ้นมาหลอกหลอน

     

    “ค่ะแม่” น้ำเสียงที่ออกมานั้นแผ่วเบา บังคับตัวเองให้ทำตัวปรกติ เธอเข้าห้อง รีบเปลี่ยนมาสวมใส่กางเกงยีนส์ขายาวเพื่อปิดบังรอยแผลพลาสเตอร์บริเวณหัวเข่า มือนั่นสั่นไหว ล้างหน้าเพื่อปลุกตัวเอง พอออกนอกบ้านก็พบว่าแม่เรียกแท๊กซี่รอด้านนอก

     

    “………..” ความเงียบน่าฉงน กระทั่งโชเฟอร์ยังเหงื่อเย็นไหลกับบรรยากาศของสองแม่ลูก เธอเองก็คิดว่าเมรินทร์จะถามอะไรออกมาบ้าง ทว่าใบหน้าที่กำลังเจ็บปวดแสดงอย่างเด่นชัด บางทีการที่พาลูกมาด้วยอาจเป็นความคิดที่ผิด ไม่น่าบอกเธอเลย

     

    ฝูงชนครุกครุ่น ความวุ่นวายของโรงพยาบาลตรงหน้า กลิ่นยาเหม็น รู้สึกไม่ดี ทางไปห้องพักฟื้นของพ่ออยู่ไหนกันนะ ปานนี้เรื่องนั้นกลับจำไม่ได้ จนเพียงแค่เดินตามแม่ติดๆ อย่างรีบร้อน

     

    ในที่สุดก็มาถึง ห้องของพ่อ ห้องผู้ป่วยเดี่ยว มีหมอพยาบาลอยู่สองสามคนพูดคุยกันด้วยความร้อนรน แพทย์ชายสังเกตเห็นพวกเธอ เขาเดินมาทางนี้ มือหนึ่งถือเอกสารอะไรมาด้วย ยื่นมาให้พร้อมกับปากกา

     

    “เซ็นต์ชื่อตรงนี้ด้วยครับ” น้ำเสียงเย็นเยือก ลั่นเข้าหู ภาพพร่ามัว มองไม่เห็นตัวอักษร เขายื่นกระดาษอะไรให้แม่

     

    “คะ?” แม่ของเธอเลิกคิ้วขึ้น นี่ไม่พูดหรืออธิบายสักหน่อยเหรอ “เอกสารนี่.....คืออะไรคะ?”

     

    “ไม่มีเวลาแล้วครับ โปรดเซ็นต์ชื่อด้วย เอกสารนี่คือการรับรองผ่าตัดของญาติ หากผู้ป่วยเสียชีวิตทางโรงพยาบาลจะรับผิดชอบโดยจ่ายวงเงินตามที่กำหนดครับ” หมอผู้ชายขยับแว่นหนาของตัวเอง

     

    ไม่รู้ตัวเหรอว่าเรื่องที่กำลังพูดคือความเป็นความตายของคนหนึ่ง ทำไมถึงมีสีหน้าเรียบเฉยขนาดนั้น เมรินทร์จ้องมองเขม็ง

     

    “ส สามหมื่น จำนวนนี่มัน!?” เธอเองก็อึ้งกับคำอ่านออกเสียงของแม่ เงินแค่นั้นกับชีวิตของหัวหน้าครอบครัว พวกเขากำลังเดิมพันด้วยจำนวนเงินอันน้อยนิด

     

    แพทย์ชายเท้าสะเอว เดาะลิ้นอย่างน่ารำคาญ “ทางโรงพยาบาลเองก็ไม่อยากถูกบริษัทประกันชีวิตฟ้องร้องหรอกครับ” เขาเกาแก้มตัวเอง “อย่างน้อยนี่ก็สำหรับค่าทำศพเผื่อกรณี—”

     

    “คุณหมอคะ!” พยาบาลสาววัยกลางคนที่ยืนด้านข้างตวาดใส่ “สุภาพกับญาติคนไข้ด้วยค่ะ” ทำหน้าเบื่อหน่าย ถอนหายใจ เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำกับหมอคนนี้

     

    “ขอโทษๆ ครับ” เขาปัดมือด้วยน้ำเสียงขอไปที “แต่กรุณารีบด้วย ระบบอวัยวะของคนไข้หลายส่วนล้มเหลว ต้องการการผ่าตัดตอนนี้ และมันมีความเสี่ยงมากเกินกว่าจะรอดชีวิต ขอให้ทำใจไว้ด้วย”

     

    แม่ยังคงลังเลเพราะกิริยาของแพทย์ชาย แต่เมื่อพยาบาลผู้หญิงกลางคนก้มหัวโค้งด้วยความสุภาพกล่าว “ทางโรงพยาบาลต้องขออภัยอย่างสูงค่ะ เนื่องจากมันเป็นกฎระเบียบบังคับจากหน่วยงานรัฐค่ะ”

     

    สีหน้าของแม่พลันผ่อนคลายลง

     

    จำใจหยิบปากกาขึ้น เซ็นต์ลายมือชื่อตัวเองตวัด เร่งรีบ พอหมอสำรวจเอกสารครบถ้วน เขาก็เดินกลับเข้าห้องผู้ป่วย พวกเราสองแม่ลูกต่างแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน หมอคนนั้น เป็นอะไรของเขา

     

    พยาบาลทันสังเกตเห็น สีหน้าปนความรู้สึกผิดผุดขึ้น “ขอโทษด้วยกับญาติคนไข้ค่ะ ถึงหมอจะเป็นคนอย่างนั้น แต่เรื่องการรักษาเขาเองก็มีฝีมือไว้วางใจได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ”

     

    คำพูดของนางพยาบาลทำให้เราวางใจลงเปราะหนึ่ง แต่ก็แค่นิดเดียว ความกังวล วิตกไม่จางหายลงจากหัวใจของเราทั้งคู่เลย

     

    เมรินทร์เหลียวมองซ้าย แม่ของเธอมีอาการซูบผอมอย่างเห็นชัด “แม่คะ” ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “แม่กินข้าวหรือยังคะ”

     

    ดวงตาอันเหน็ดเหนื่อยของแม่มองมาทางนี้ “อืม จริงด้วยลืมซะสนิทเลย” น้ำเสียงแหบแห้งกว่าที่เคย สภาพของพวกเราไม่ต่างกันเลย

     

    “เดี๋ยวไปซื้อข้าวให้นะคะ” ฝืนปั้นรอยยิ้มไม่ให้แม่ต้องเป็นกังวล

     

    “ขอบใจจ๊ะลูก นี่เงินจ้ะ” มือข้างหนึ่งหยิบแบ๊งห้าร้อยล้วงจากในกระเป๋า มันมีเพียงใบเดียว สำหรับการใช้จ่ายตั้งแต่ต้นเดือน น่าเศร้านี่คือเงินทั้งครอบครัวของเราแล้ว

     

    เธอรับมันไว้ด้วยนิ้วอันสั่นเทาของตัวเอง

     

    “เดี๋ยวลูก” เมรินทร์หันหลังกลับ มองแม่ตัวเองที่ทักเข้าจากด้านหลัง รอยยิ้มนั่นของแม่ ฝืนยิ้มเฉกเช่นเดียวกับเธอ “ลูกไม่ต้องลาออกจากโรงเรียนก็ได้นะ แม่จะจัดการค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เอง”

     

    ตกลงค่ะ “ไม่เป็นไรค่ะ แม่” เธอส่ายหัวปฏิเสธ ใช้คำตอบตรงกันข้ามกับความต้องการจากใจจริง “อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเกิดของหนูแล้ว หนูจะออกมาช่วยแม่เองค่ะ” ปีนี้ก็จะพ้นอายุตามกฎหมายแรงงานเด็ก ออกมาทำงานหาเงินเสียที นัยหนึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าภาระหน้าที่ควรกระทำ

     

    “. . . . . .ขอบใจจ้ะลูก”

     

    เมรินทร์รีบเหลียวหลัง ย่างกรายฝีเท้าด้วยความรวดเร็ว ไม่อยากเห็นเลย ไม่อยากเห็นภาพแม่ที่กำลังปิดตาตัวเองร้องไห้อยู่ด้านหลัง และกำลังกล่าวโทษตัวว่าไม่สามารถกระทั่งปฏิเสธลูกที่ฝืนใจจริงเพื่อช่วยเหลือครอบครัว

     

    ไม่ว่าใครก็มองดูออกหมด ว่าตัวเธอเองเมื่อก่อนก็อยากเป็นเด็กปรกติตามวัย คุยเล่นกับเพื่อนวันๆ ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยกระทั่งจบมหาวิทยาลัย

     

    ทว่าสองปีก่อนทุกอย่างกลับลงเอยน่าเศร้า เกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้นกับพ่อ จนนอนเป็นผักใช้เครื่องช่วยหายใจจนทุกวันนี้

     

    พวกหมอเองก็หาคำตอบแน่นอนไม่ได้ พวกเราสองแม่ลูกจนปัญญา ได้แต่นั่งหาเศษเงินอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อเยื้อชีวิตพ่อ โชคดีที่ทำประกันชีวิตไว้ แต่เมื่อมันเกินวงเงินรักษาเท่านั้นแหละ ปัญหาทุกอย่างพันกันแน่นดั่งเช่นปัจจุบัน

     

    เฮ้อ— เมรินทร์ถอนหายใจยาวเหยียด เมื่อไหร่จะครบๆ วันเกิดซะทีนะ

     

    เธอมองต่ำลงพื้น เหม่อลอย กระทั่งเงาคนตรงปรากฏ “โอ้ย” ชนกับใครบางคน เขกหัวเข้าอย่างจัง ทั้งคู่ล้มลงก้นจุ่มพื้น

     

    ““ขอโทษค่ะ!”” สองเสียงพูดพร้อมกัน

     

    เมรินทร์เงยหน้าขึ้น หน้าตาของเด็กผู้หญิงที่อายุอ่อนกว่าราวสองสามปีตรงหน้า เรือนผมบ๊อบสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาเทาเข้มชวนน่าสงสาร สบตากับเธอ

     

    “เพราะหนูไม่ได้มอง ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ” เธอรีบก้มหัวชิงขอโทษก่อน พอหันมองรอบด้าน มันเป็นโถงทางเดินกว้างยาว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้มองทางเหมือนกัน

     

    “ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้มองเหมือนกัน” เมรินทร์ยืนขึ้น ยกมือห้ามปรามการขอโทษขอโพยของเด็กสาว

     

    “น หนูเป็นฝ่ายผิดเองค่ะ” สายตาเธอกระวนกระวายซ้ายขวา “เพราะเอาแต่กังวลเรื่องพี่ชายเลยเหม่อลอยไปหมด” เธอเริ่มพึมพำพรรณนา น้ำตาคลอเบ้า เด็กสาวอายุอ่อนกว่าคนนี้คงเก็บกดพอสมควร ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรก็เริ่มปล่อยโฮออกมา

     

    เมรินทร์ยิ้มกว้างปลอบใจ “พี่เองก็กังวลเรื่องครอบครัวจนไม่มองทางเหมือนกัน”

     

    เด็กสาวคนนั้นเหลือบมองบน พอสังเกตให้ดี พี่สาวตรงหน้าต่างมีบรรยากาศที่คล้ายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก

     

    “พวกเรามาคุยกันหน่อยไหมล่ะ” ราวกับกำลังเจอเพื่อนใหม่ กับคนที่กำลังเจอสถานการณ์เลวร้ายเฉกเช่นเดียวกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเวลาแบบนี้คงช่วยปลอบประโลมจิตใจให้ดีขึ้นสักเล็กน้อย

     

    เด็กสาวอ้าปากเล็ก พยักหน้ารับอย่างว่องไว “ค่ะ น หนูชื่อมินนานะคะ” เงยหน้าโน้มตัวเข้ามาใกล้

     

    “พี่สาวชื่อเมรินทร์ เอาเป็นค่อยมานั่งคุยตรงนั้นเป็นไง” เธอชี้ยังม้านั่งว่างโถงด้านนอก ในช่วงกลางคืนคนไม่ค่อยพลุกพล่าน มีความเป็นส่วนตัวนิดหน่อย

     

    หลังจากซื้อข้าวกล่องมาฝากแม่เสร็จ เมรินทร์ขอตัวสักครู่ ระหว่างนี้แม่คงอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องพักฟื้นส่วนตัวของพ่อ

     

    เธอก้าวมายังภายนอกตึกโรงพยาบาล แสงสะท้อนพระจันทร์สีเงินเข้มสว่างสไว ไฟริมทางสลัว เสียงจิ้งหรีดหวีดร้อง ใกล้กันเป็นป่า ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านนอก

     

    มินนานั่งคอย เธอกำลังตั้งใจจดจ่อรอฟังเรื่องเล่าของเมรินทร์ เด็กคนนี้สมกับเป็นเด็กจริงๆ เมรินทร์หายใจออกยาว

     

    “พี่เมรินทร์!”

     

    เสียงกล่าวทักทายแว่วดังใกล้ เธอโบกมือตอบกลับ

     

    นั่งจุ่มลงข้างๆ กัน “ดูจากสีหน้าพวกเราแล้ว กำลังผ่านเวลาที่ยากลำบากทั้งคู่ใช่ไหมนะ?” เธอพูดอย่างติดตลก บรรยากาศอึมครึมรอบตัวของพวกเธอ ให้สัมผัสคล้ายคลึงกันจนน่าตกใจ

     

    “เวลาหนูมองพี่เหมือนส่องกระจกเลย” หลังจบประโยค พวกเธอทั้งคู่หัวเราะลั่นพร้อมกัน

     

    เมรินทร์ใช้นิ้วปาดน้ำตาข้างซ้าย “เธอก็เก่งนะเนี่ย ทำพี่ขำท้องแข็งเลย” สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “มาต่อกับเรื่องเมื่อกี้กันเถอะ เรื่องพี่ชายของเธอ” ดวงตาจดจ้องมองอ่อนโยนลง คล้ายกับกำลังกลับมาเป็นคนเดิมเลย คนที่เคยมองโลกในแง่ดีเสมอ “อยากระบายมันออกมาใช่ไหมล่ะ? เรื่องที่กลุ้มใจ” ตาเหลียวมองลง “พี่เองก็เหมือนกัน”

     

    มินนาดวงตาเปล่งประกาย เพราะมันค่อนข้างอึดอัดที่จะคุยกับคนอื่น อีกทั้งยังพลอยสร้างบรรยากาศเสียด้วย แต่กับคนคนนี้ที่เพิ่งรู้จักกัน ให้ความรู้สึกราวกับพูดคุยได้ทุกเรื่องเลย

     

    “พี่ชายของหนูเขาเข้าโรงพยาบาลมาสามปีแล้วน่ะค่ะ” เมรินทร์ให้ความสนใจกับบทสนทนา ถ้าเป็นเรื่องเวลา สำหรับพ่อของเธอก็คือเมื่อสองปีก่อน

     

    “ช่วงที่พี่เขาเล่นกีฬาฟุตบอล เผอิญสะดุดล้ม หัวเขากระแทกกับพื้น” สีหน้าพลันหมองลง “ทั้งที่ผลสแกนสมองบอกว่าเป็นปกติแท้ๆ” เธอปิดปากตัวเองลงพลันสะอื้น “พี่เขากลับยังไม่ตื่นมาเลยจนถึงวันนี้ค่ะ” น้ำตาเริ่มไหลริน

     

    เมรินทร์ลูบหัวเด็กสาวด้วยความอ่อนโยน “พวกเรามีอะไรที่คล้ายคลึงกันนะ”

     

    “ทุกคนก็อยากให้พี่เขาถอดเครื่องหายใจแม้แต่พ่อแม่ อ้างว่าเพื่อปล่อยให้พี่ไปสู่สุขคติ” นิ้วมือหยิกแขนเสื้อเมรินทร์แรงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “น หนูน่ะ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม ต่อให้ต้องทำงานหาเงินมายื้อชีวิตพี่ หนูก็จะทำค่ะ!”

     

    ใบหน้าของเมรินทร์ตกลง ความโศกเศร้าเกาะกิน ราวกับโรคติดต่อ ปูมหลังในอดีตที่เธอเคยใช้ขีวิตกับพ่อผุดขึ้นมาในหัว พวกเรามีความทรงจำที่ดีต่อกันมากมาย ยากเกินกว่าปล่อยมันทิ้ง

     

    น้ำตาพลันเอ่อไหลนอง กลายเป็นคนบ่อน้ำตาแตกง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

     

    มินนาดวงตาเบิกโต “ข ขอโทษค่ะพี่เมรินทร์” เผลอทำตัวเสียแย่ๆ จนได้ ทำยังไงดีล่ะ พี่เขาเริ่มร้องไห้แล้ว

     

    ฮึก เสียงสะอื้นเข้าจมูก น่าขายหน้าจัง “ไม่เป็นไรหรอก” มือโบกซ้ายขวา “ลองฟังเรื่องของพี่ไหมล่ะ”

     

    ดวงตาจดจ่อ คิ้วเลิกขึ้น “ค่ะพี่เมรินทร์ พี่เองก็ระบายกับหนูได้เลยนะคะ” สองมือชักศอกสู้ตาย

     

    เมรินทร์ขำให้กับภาพไร้เดียงสาตรงหน้า “มันก็ไม่ค่อยน่าฟังนักหรอก” มือสองข้างประกบกัน “ยังไงดีล่ะ เมื่อสองปีก่อนพ่อของพี่เขาดับวูบลงน่ะ แบบนั่งพิมพ์งานหน้าจอคอมก็สลบไปเลย”

     

    มินนาตั้งใจฟังอย่างใจจดจ่อ

     

    “นอนติดเตียงอยู่โรงพยาบาลราวกับโรคเจ้าชายนิทรา หมอเองก็หาคำตอบไม่ได้” สีหน้าเหนื่อยหน่าย จุดนี้คือตรงส่วนที่ยากลำบากที่สุด “เมื่อปีก่อนค่ารักษาเกินวงเงินประกันชีวิตไปแล้วน่ะสิ” เธอหันมองหน้ามินนา

     

    “ปีนี้พี่ก็จะเลยอายุสิบห้าแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกหางานทำแล้วล่ะ”

     

    ดวงตาของเด็กสาวตรงข้ามสั่นเครือ ช่างคล้ายกันอะไรอย่างนี้ “หนูเอาใจช่วยพี่นะคะ พี่อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่าหนูอีก”

     

    เมรินทร์ยืนขึ้น เดินข้างหน้าหันหลังกลับมา ดวงจันทร์ลอยส่องแสงอยู่เบื้องหลัง “พวกเราทั้งคู่มาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปด้วยกันเถอะ”

     

    มือซ้ายแบออก ยื่นเข้าหา

     

    “ในตอบจบมันต้องลงเอยด้วยดีสำหรับพวกเรา” รอยยิ้มเจือจางบนใบหน้าของเมรินทร์ มันเป็นรอยยิ้มอันขมขื่น

     

    “ค่ะ พี่เมรินทร์” นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้รับคำปลอบประโลมหรือเห็นใจแบบนี้

     

    มินนาพยักหน้าอย่างมีความสุข เป็นเวลาเดียวกับที่เมรินทร์ขอตัวอย่างน่าเสียดาย “วันนี้พี่ต้องไปแล้ว” ป่านนี้พวกหมอคงมีความคืบหน้าบ้าง “ไว้โอกาสหน้าเธอเล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังอีกเยอะๆ นะ”

     

    “อือ พี่เมรินทร์” เธอก้มหัวลา ทั้งสองต่างต้องวนเวียนกันในโรงพยาบาลบ่อย พี่ชายของเธอที่ป่วยก็ดูเหมือนอยู่ห้องตรงกันข้ามกับพ่อด้วยสิ อีกไม่นานคงต้องเจอกันอีกแน่

     

    เมรินทร์เดินผ่านโถงทางเดิน นั่นเหรอพี่ชายของเธอ มองลอดผ่านหน้าต่างรอยต่อผ้าม่าน ไม่ค่อยชัดเลย เขาสวมเครื่องช่วยหายใจต่อสายยางเหมือนพ่อ “น่าสงสารจัง” อายุน่าจะพอๆ กับเธออยู่เลยแท้ๆ

     

    “แม่คะ?” เมรินทร์เรียกแม่ของเธอที่นั่งรอฟังผลหน้าห้องไอซียู

     

    “หมอกำลังจะออกมาเลยลูก มานั่งตรงนี้เร็ว” เธอตบเก้าอี้ด้านข้าง เมรินทร์รีบนั่งลง มองประตูห้องอย่างใจจดจ่อ เต้มตุ้ม-ต่อมไม่เป็นจังหวะ

     

    แพทย์ชายคนเดิมโผลงออกมา รู้สึกไม่ดีเลย ถ้าครอบครัวของเรามีเงินล้นเหลือคงไปโรงพยาบาลเอกกชนเพื่อขอเปลี่ยนตัวหมอ ตัวเลือกคงมากกว่าปัจจุบันเป็นไหนๆ

     

    เมรินทร์พ่นลมหายใจออก กังวลกับเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ก็เสียเวลาเปล่า

     

    “ญาติผู้ป่วยครับ” หมอวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าไม่รู้ร้อนหนาว เดาอะไรไม่ออก “คนไข้อาการปลอดภัยแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายรบกวนเชิญด้านล่างครับ”

     

    สีหน้าของแม่ซีดลง เมื่อกล่าวถึงเรื่องเงิน

     

    “ล แล้วสามีของดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” แม่ลุกขึ้นยืน ชะเง้อหน้าถามใกล้ “เขาพอมีหวังตื่นขึ้นมาไหมคะ?”

     

    แพทย์ชายถอนหายใจ เฮ้อ— เกาหัวแกรก แกรก “ผมก็บอกคุณแล้วนะครับคุณผู้หญิง” สีหน้าไม่แลเหลียว “ในทางการแพทย์แล้วสามีของคุณถูกลงความเห็นว่าเสียชีวิต” น้ำเสียงเบื่อหน่ายของเขาชวนน่าขยะแขยง “มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละที่จะทำให้คนไข้ฟื้นขึ้นมา”

     

    แม่แทบเข่าทรุดเมื่อสิ้นเสียงประโยคนั้น

     

    เมรินทร์ตาค้าง ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “อ อะไรกัน พอไม่มีคุณพยาบาลอยู่แล้วเป็นแบบนี้เลยเหรอคะ!” น้ำเสียงดังลั่นตวาดออก

     

    “เมรินทร์” แม่เธอหันมองมางทางนี้ด้วยความเป็นห่วง “ลูก แม่ว่าลูกกลับก่อนเถอะ”

     

    หมอวัยกลางคนที่ไม่เอาอ่าว เหงื่อไหลซก เมื่อมองดูรอบข้าง พบว่าผู้คนให้ความสนใจทางนี้แล้ว

     

    “อะไรๆ ก็ไม่มีหวังบ้างละ ไหนจะเรื่องเงินบ้างละ” หน้าตรงดิ่งเข้าใกล้ “ปาฏิหาริย์ใช่ไหม!? อยากได้มันมากนักใช่ไหมคะ!”

     

    “จ ใจเย็นก่อนหนู” หมอวัยกลางคนยกมือห้ามปราม

     

    “เมรินทร์ลูกพอเถอะ” แม่จับหลังแขนเบามือ

     

    “ไม่ค่ะแม่!” เธอสะบัดมือออก คำรอบข้างต่างทำท่าแปลกใจ ระแวดระวัง เข้าใกล้มาเพื่อปรามเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท

     

    ทว่าทุกคนกลับผิดคาด สาวน้อยหันหลังกลับ ตรงดิ่งทิศตรงกันข้าม “หนูขอตัวกลับก่อนค่ะแม่ เดี๋ยวหนูขึ้นรถบัสกลับเอง ไม่ต้องห่วง”

     

    แม่ของเมรินทร์มึนงง  เธอพยักหน้ารับเบา ตอนแรกกะว่าจะขอลูกมานอนพักเฝ้าไข้ด้วยกัน ทว่าพอเห็นสภาพอันย่ำแย่ของลูกสาว ให้พักผ่อนอยู่บ้านคงดีสุด

     

    มือกำแน่น กัดฟัน “......ปาฏิหาริย์ จะเอาพลังปาฏิหาริย์แบบไหนกันล่ะ มันต้องมีสิ” แม้ว่าจะต้องเจอเรื่องน่าเจ็บปวดมากแค่ไหน ทว่าการที่มันอยู่เพียงแค่ในอีกโลกหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ามีจริงๆ แต่แรกหรือเปล่า ย่อมสามารถทำใจและกลับมายืนหยัดอีกครั้ง การที่เธอยังมีชีวิตอยู่ดีตรงนี้คือหลักฐาน

     

    เมรินทร์กลับถึงบ้าน เปิดห้องของเธอ ค้นยังมุมหนึ่งของห้อง ลังเก็บของนั่นยกวางกระแทกแรงตรงหน้า ตึง เปิดมันออก โมเดลลูกโลกยังคงอยู่ที่เดิมในที่ที่ของมัน ขุดคุ้ยกล่องเก็บป้ายแผ่นกระดานไม้ มันต้องมี มันต้องมีอันไหนที่ใช้การได้บ้างสิน่า

     

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.15 ปาฏิหาริย์ จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×