ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #14 : Vol.1 Ch.14 ความตายอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.14 ความตายอีกครั้ง

     

     

    “มองตาครูนะ” ครูหนุ่มพูดขึ้น เมรินทร์สะดุ้งเฮือก ทำอย่างไรดี เหมือนกำลังถูกสอบปากคำอยู่เลย สายตาเธอล็อคแล็คไปมา เหลียวซ้ายแลขวา เผยออ้าปากหุบขึ้นลง กระนั้นยังคงไร้น้ำเสียงผ่าน ติดอยู่ในลำคอ คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นผลุดออกมาเต็มหัวไปหมด

     

    เวลานั้นเองเกิดมีเสียงตะโกนดังลั่นของหญิงสาวขึ้นมา “กรี๊ด! ครูคะ มีคนเป็นลมค่ะ!”

     

    ความอึกกระทึกโวยวายมาสู่หมู่นักเรียน ตามด้วยความวุ่นวาย ครูผู้ชายตรงหน้าเธอขยุมหัวตัวเอง เขารีบวิ่งยังจุดเกิดเหตุ กันไม่ให้คนมามุง เรียกรถพยาบาลมาทางนี้

     

    “ใครเป็นอะไรน่ะ?......” เธอพูดล่องลอยด้วยน้ำเสียงปนความวิตกกังวล ถือว่าโชคดีที่เรื่องนี้ผ่านอย่างง่ายดาย รู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุ แต่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

     

    เมรินทร์ยังคงมองมือตัวเอง ค้างคาใจ ทำไมกันล่ะ ถึงใช้มันได้ พลังนี้ควรอยู่เฉพาะโลกความฝันสิ “……ทุกคนก็เห็นมัน” ความจริงอันยากปฏิเสธ ตอกย้ำถึงเหตุการณ์เลวร้าย ทั้งที่ควรจบลงเพียงฝันร้ายแท้ๆ ตามมาหลอกหลอนเรื่อยๆ เลย

     

    สลับมองภาพโกลาหลตรงหน้า ฝีมือของตัวเอง นักเรียนวิ่งวุ่นกันหมด สีหน้าทุกคนต่างเคร่งเครียด หวั่นวิตก ร้องไห้หาพ่อแม่

     

    แน่นอนเสียงนั่นอย่างกับระเบิด ไหนยังเจาะพื้นเป็นรูอีก สำหรับเด็กวัยเรียน นั่นมันเพิ่มจินตนาการอันเลวร้ายให้กับพวกเขา ดวงดีที่ตอนตอนนั้นหันมือลงพื้น มิเช่นนั้นโศกนาฏกรรมคงบังเกิด

     

    เมื่อรับรู้สิ่งที่ตัวเองก่อ แขนขาเกิดสั่นขึ้นมา อีกนิดเดียว เกือบแล้ว เธอเกือบทำให้เพื่อนของเธอต้องบาดเจ็บสาหัสเข้าแล้ว “ฉ ฉันต้องควบคุมมัน.....” ในที่สุดต้องตัดสินใจ ต้องหาวันหรือเวลาว่างเพื่อทดสอบทุกอย่างดู

     

    สายตาเหลือบมอง เตียงพยาบาลเข็นนักเรียนคนที่หมดสติ ใบหน้าอันคุ้นเคยปรากฎ “ไม่จริงน่ะ...... เฟรย์” ดวงตาเบิกค้าง เหงื่อไหลซกหน้าผาก เป็นถึงนักเรียนหญิงที่ชอบแข่งกีฬาเลยไม่ใช่เหรอ เธอปิดปากตัวเอง น้ำตาคลอเบ้า พึมพำถ้อยคำเบา

     

    “ขอโทษนะ.....”

     

    บ่ายวันนั้นเอง ทุกคนถูกสั่งให้กลับบ้าน โรงเรียนหยุดหนึ่งวันเพื่อให้ตำรวจได้สอบสวนถึงสาเหตุ เมรินทร์เองก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เช่นเดียวกันเมื่อรอฟังผลอยู่ที่บ้าน โดยเก็บตัวเองอยู่แต่ในห้องจนจบวัน

     

    ในที่สุดเมื่อเว็บเพจของโรงเรียนประกาศผลสืบสวนและสาเหตุเบื้องต้น เกิดมาจากบริเวณนั้นมีท่อน้ำประปาฝังอยู่ อุณหภูมิภายนอกประกอบกับความเก่าของมัน อาจทำให้เกิดแรงดันแตกกระจายจนเกิดระเบิด ให้ปิดห้องเรียนต้นเหตุชั้นบน-ล่างซ่อมบำรุงชั่วคราว ไม่มีอันตรายใดๆ อื่นอีก ทุกคนสามารถกลับมาเรียนในวันจันทร์

     

    เธอโล่งอกถอนหายใจออกมา เฮ้อ— รอดตัวอย่างหวุดหวิด

     

    พรุ่งนี้วันเสาร์ ต้องหาสถานที่หนึ่งเพื่อทดสอบความสามารถโดยละเอียด ต้องเป็นสถานที่โล่ง กว้างร้างไร้ผู้คน แต่นี่มันในเมืองคงไม่มีหรอก ให้ใกล้เคียงสุด คงเป็นแถบตึกร้าง ชานเมืองที่ถูกทิ้งไว้เมื่อช่วงเกิดวิกฤษเศรษฐกิจ

     

    เธอลองค้นในเน็ตดู พบว่ามีสถานที่ดังข้างต้นพอดี

     

    “ไปก่อนนะคะแม่” เมรินทร์สวมชุดไปร์เวท กางเกงยีนส์สั้น สวมหมวกแก๊ป หอบเป้ใบหนึ่งสะพายหลัง โบกมือลา

     

    “โชคดีจ๊ะลูก” คุณแม่วัยกลางคนถอนหายใจ มองลูกสาววิ่งลับหายรวดเร็ว อะไรจะรีบร้อนปานนั้น น่าเป็นห่วงที่ช่วงนี้ทำตัวแปลกๆ แต่ให้สูดอากาศข้างนอกบ้างคงดีไม่น้อย

     

    รองเท้ากีฬาเหยียบย้ำถนน ตรงดิ่งยังรถไฟฟ้าเกือบไม่ทัน ประตูปิดลง ค่อนข้างไกลจากบ้านมากทีเดียว ไปกลับตั้งสี่ชั่วโมงแน่ะ คงเหนื่อยน่าดูกว่าจะจบวัน

     

    ระหว่างทางที่เดินออกมาบนถนน และใกล้เข้าสู่จุดหมายบนกูเกิ้ลแมพ สายตาพลันเหลือบมองยังร้านข้างทาง มีบางอย่างเด่นสะดุดตาสำหรับเธอ เป็นร้านขายของเก่า ของโชว์ที่วางหราสะท้อนกับดวงตาสีดำกลมโต กระบี่จีนสนิมเขรอะเล่มหนึ่ง ดูท่าผ่านอายุการใช้งานมานานพอควร

     

    คิ้วกระตุก ฝีเท้าหยุดกึก หรือว่าไม่แน่บางที “เถ้าแก่คะ อันนี้ราคาเท่าไหร่คะ” ชี้นิ้วยังกระบี่ถามผู้ชราหนวดขาวเฟิ้มเจ้าของร้าน

     

    เขายิ้มมุมปาก ราวกับเหยื่อติดกับแล้ว “มันคือของโบราณน่ะ เอาเป็นสองหมื่นละกัน”

     

    “เอ๋ แพงขนาดนั้นเลยเหรอคะ!?” เธอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจหน้าตั้ง

     

    สายตาเฉียบคมของผู้ผ่านประสบการณ์ค้าขายโชกโชน บอกว่าเด็กคนนี้สนอกสนใจของเก่าๆ โล๊ะร้านนี่อย่างมาก แขนก็บอบบาง ผิวพรรณดูแลรักษามาดี ลูกคุณหนูชัดๆ ใช้โอกาสนี้โก่งราคาเสียหน่อย

     

    “แพงจัง ไม่เอาหรอกค่ะ” สิ้นเสียงเด็กสาว เจ้าของร้านพลางเกือบหงายหลัง

     

    ไม่ต้องถึงกับเป็นกระบี่ก็ได้ แท่งโลหะธรรมดาๆ คงพอใช้งานได้ละมัง ยังไม่แน่ใจด้วยสิ

     

    ขณะที่กำลังหันหลังกลับวิ่งต่อ ชายแขนเสื้อถูกจับดึงไว้ เป็นเจ้าของร้านโบราณ หน้าเหงื่อแตกพลั่ก ปนด้วยรอยยิ้มหวานเจื่อน เมรินทร์ปากตึงคิดในใจ อะไรของเขาเนี่ย

     

    “หกพันจ๊ะ นะๆ ถือว่าช่วยคนแก่ผู้น่าสงสารเถอะ” แขนแทบเกาะขาเธอไว้แน่นอยู่แล้ว ออกแรงจนเหนื่อยก็ยังไม่ยอมปล่อย

     

    “ปล่อยนะคะ” ขยับขาเหวี่ยงไปมา หกพันก็ไม่ไหวสำหรับนักเรียนจนๆ ค่า พลันผุดข้ออ้างดีๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินเก็บอันน้อยนิด “หึย สองพันเป็นไงคะเถ้าแก่” แบบนี้ล่ะ ต้องยอมถอยแน่ ราคาลดมาตั้งเท่าตัว

     

    “โอเครจ๊ะแม่สาวน้อย” เถ้าแก่รีบตรงดิ่ง นำกระบี่เก่าแก่ใส่กล่องไม้อย่างว่องไว ในเวลาอันสั้น เขาห่อด้วยผ้าไหมผูกโบว์ฟางสวยสดงดงาม

     

    “ห๊ะ” เธออ้าปากค้างหวอ ไม่คิดจะซื้อจริงๆ ซักหน่อย “ค คือว่าเมื่อกี้หนูพูดเล่—...” ปากขยับพะงาบๆ ท่าทีเก้งกังลำบากใจ

     

    “ฮือออออ โฮฮฮฮ— หลานของเถ้าแก่เองก็ป่วยติดเตียง หลังขดหลังแข็งเจ็บไปหมด แค่เดินนิดเดียวเถ้าแก่ก็ปวดจะแย่อยู่แล้วหนูเอ้ย” ไม่ทันพูดจบ เสียงร้องไห้โฮของชายชราตรงหน้าดังขึ้น พลางทำท่าดามหลังราวกับคนที่กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดี ทั้งที่เมื่อกี้ยังกระปรี้กระเป่าอยู่เลยแท้ๆ

     

    อารมณ์ลำบากใจกลืนกิน ต้องใจแข็งเข้าไว้ “เอ่อ.... คือว่าหนูไม่พกเงินสดมากขนาดนั้นหรอกค่ะ พอมีสแกน—”

     

    “หน้าร้านเลยจ๊ะ” เสียงร้องไห้อ้อนวอนหยุดทันที นิ้วชี้ไปที่แผ่นคิวอาร์โค้ด

     

    สีหน้าของเธอซีดเผือก ไร้เลือด ไม่น่าเชื่อว่าร้านเก่าขนาดนี้มีให้โอนเงินอีก ทำไงดี ต้องใจแข็งเข้าไว้ ต้องใจแข็งเข้าไว้ เงินนี่ทำอะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ

     

    เมรินทร์เดินออกจากร้าน ถอนหายใจยาวเยียด เฮ้อ— “ซื้อมาจนได้” เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้วยิ่งมาเจอไม้เด็ดตีหน้าซื่อ ต่อมสงสารย่อมทำงาน

     

    เธอชูกระบี่ห่อด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินผูกโบว์ฟางอย่างดี ยกขึ้นสูง น้ำหนักเยอะพอประมาณเกือบต้องถือด้วยสองมือ ถึงไม่เท่าของปรมาจารย์กู่แต่จับง่ายดี พกพาไปไหนมาไหนสะดวก

     

    “แล้วจะเอาติดตัวทำไมล่ะ?” พูดคนเดียวพลางเอานิ้วจิ้มแก้ม โลกทุกวันนี้มันสงบสุขจะตาย นานๆ ทีมีเรื่องใหญ่หน แล้วหนึ่งในนั้นก็เป็นสิ่งที่ดันก่อเมื่อวันก่อนอย่างไม่ตั้งใจด้วย

     

    “ตรงนี้มันดูน่ากลัวหน่อยๆ อะ” ส่วนชานเมืองที่ถูกทิ้งร้าง เป็นศูนย์รวมของพวกคนไร้บ้านเพียบ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้กำลังมีโครงการรื้อถอนเพื่อบูรณะครั้งใหญ่ เลยมีการไล่โฮมเลสออก เอารั้วลวดหนามมากันคนไว้ไม่กี่วันก่อน

     

    ยังไงก็ตามแต่ เป็นแค่โครงการลอยๆ ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะริเริ่มเมื่อไหร่ ทั้งยังมีข่าวลือด้วยว่าการขับไล่ของเจ้าหน้าที่รัฐรุนแรงจนพลาดพลั้งทำคนตายหลายคน กลายเป็นที่ซุบซิบของเหล่าคนระแวกเพื่อนบ้านแถวนี้ด้วยว่ามีผีสิง ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าใกล้

     

    เมรินทร์ไม่เชื่อเรื่องผี ถึงแม้ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์แปลกประหลาดจนชักไม่แน่ใจว่าโลกนี้มีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอื่นอีกหรือไม่ ทว่านัยหนึ่ง หากให้เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวนั่งรถออกนอกเมือง จนถึงทุ่งนาโล่งก็อาจเกินไป เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น ไหนจะต้องกลับมาให้ทันภายในวันเดียวอีก

     

    เธอคลานผ่านรั้วลวดหนามจุดลับสายคน

     

    ปลายสายตาจ้องมองตึกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเหล่าตึกหมู่มากที่ถูกทิ้งรกจนสภาพทรุดโทรม มันดูคล้ายอพาร์ทเม้นต์ เธอเดินขึ้นชั้นสอง ร่องรอยขีดเขียนบนผนังเต็มไปหมด กระทั่งเตียงยังมี ดูเหมือนมันถูกใช้งานมาก่อนหน้า ข่าวลือท่าจะเป็นจริง

     

    “ตรงนั้นน่าจะใช้ได้” เมรินทร์ขยับหมวกแก๊ปของตัวเอง หันด้านข้าง กำแพงคอนกรีตเก่ามีรอยพ่นสีรูปร่างคล้ายคนไว้ เอามาใช้เป็นเป้าได้พอดี รอบด้านตัวตึกไม่มีการเทปูนปิดกำแพง อากาศจึงโล่งปลอดโปร่ง แสงสว่างส่องชัดเจน

     

    มือหนึ่งกำไว้ในท่าปล่อยหมัด ลองแบบไม่ใช้พลังทำลายมาก “เค่อ(วารี)!”

     

    ปั่ง! เสียงกระแทกคอนกรีต เป็นรอยร้าวเล็ก กะแล้วเชียว ความแข็งต่างกับไม้จริงด้วย เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้

     

    “ทำได้จริงๆ ด้วยสิ” ไม่ว่าจะลองกี่ครั้งต่อกี่ครั้งท่ามวลน้ำบิดหมุนเกลียวยังใช้ได้ จนหมดแรงเหนื่อยหอบ ประมาณสิบห้าครั้ง คือขีดขำกัดของเธอ เหมือนในโลกนั้นเลย ทว่าความรู้สึกแปลกๆ กับตงิดขึ้นมาในใจ แบฝ่ามือขึ้นมา มองดูมันอย่างฉงน “ทำไมถึงได้แค่นี้ล่ะ.....”

     

    เธอสะบัดความคิดนั้นทิ้ง ปล่อยให้คำตอบยังคงค้างคา ลองทดสอบอย่างอื่นต่อไป

     

    มือข้างหนึ่งถือกระบี่ที่ถูกห่อหุ้มไว้ คลายปมออก ชักใบมีดสนิมเขรอะ เธอเพ่งสมาธิ ควบคุมโลหะ สะบัดด้ามดาบรุนแรง หวืด— เสียงเสียดสีกับลมลอยผ่าน สนิมเหล่านั้นหลุดออก ปรากฏดาบโลหะสีเงินแวววาว คมกริบ 

     

    นี่เป็นวิธีที่เธอเรียนรู้มาจากปรมาจารย์กู่ ผู้ใช้ธาตุโลหะสามารถขจัดสิ่งปนเปื้อนบนใบดาบของพวกเขา ทว่าเพียงแค่สนิมที่เกาะกินเท่านั้น หากใบมีดยังบิ่นทื่อ นอกเสียจากวิธีธรรมชาติอย่างใช้หินลับมีดก็ไม่มีวิธีอื่นอีก

     

    “กระบี่นี่ของดีพอสมควร ขอบคุณนะคะเถ้าแก่” เมรินทร์มีรอยยิ้มบนใบหน้า เป็นลวดลายที่สวยสดงดงามทีเดียว สภาพดั้งเดิมก็ดูไม่เลว คนยุคเก่าช่างมีกรรมวิธีที่ประณีตโดยแท้ ของดีราคาถูกมาอยู่ในกำมือซะแล้วสิ

     

    เธอลองตวัดดาบ มันเบาราวกับขนนก เสียงฉบับ เฉวง ครูดลมดังลั่นต่อเนื่อง มีเสาเหล็กคานตึกตรงนั้น ลองฟันดูดีกว่า

     

    เคร้ง—

     

    เสาแท่งยาวถูกตัดขาด มันหล่นโครมดังตึงตัง ตอนฟันเหมือนปาดเค้ก ทว่าแรงสะท้อนค่อนข้างหนัก เจ็บมือพอควร ต้องระวังหน่อยแล้ว

     

    “คราวนี้ก็เหลืออย่างสุดท้าย. . . . .” เธอเหงื่อเย็นไหลบนหน้าผาก ยังไม่ได้ลองเลย คงน่าจะทำได้ละมัง

     

    ตั้งฉากกระบี่กับพื้น มันเบาลง ลอยขึ้นเหนือฟ้า ยังสั่นไหวอยู่เลย จิตใจไม่นิ่งหรือเนี่ย เธอหลับตาลงตั้งสมาธิ ผ่อนคลายเรื่องในหัว คำพูดของปรมาจารย์กู่วิ่งแล่นวนเวียน ทำใจให้สงบ

     

    ผ่านมาสองสามนาทีลืมตาตื่น หัวโล่ง กระบี่ตั้งตรงอย่างแน่วแน่ เธอค่อยๆ ใช้มือหนึ่งจับปลายด้าม เท้าซ้ายค่อยๆ เหยียบ ยืนขึ้นทรงตัว ยากพอสมควร แต่เคยทำมันได้แล้วในโลกนั้น ลองนึกความรู้สึกนั่นดีๆ

     

    กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้น เธอกำลังลอยเหนือพื้น “ขี่กระบี่ได้แล้ว” เหมือนที่ปรมาจารย์กู่ทำ

     

    เธอเปลี่ยนทิศทางกระบี่ใต้ฝ่าเท้าคล้ายสเก็ตบอร์ด เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว กำลังบินอยู่

     

    ความเร็ว การปรับทิศทาง ยังห่างไกลจากปรมาจารย์กู่ ต้องฝึกการควบคุมอีกมากทีเดียว แต่นี่ก็ดีแล้วสำหรับมือใหม่อย่างเธอ

     

    “อึก เกือบแล้ว” พอนึกถึงปรมาจารย์กู่ที่ตายจากในอดีต จิตใจกลับหวั่นไหวขึ้นมา จนเกือบพลัดหล่นลงสู่พื้น ตอนนี้ก็กำลังบินอยู่นอกตัวตึกชั้นสอง ถ้าตกมานี่คงเจ็บตัวมากทีเดียว

     

    ระหว่างที่เธอบินโฉบเฉียว ความต้องการลองวิชาหมัดน้ำหมุนเกลียวเพื่อทดสอบความแม่นยำขณะกำลังบินบนอากาศผุดขึ้น “เค่อ(วารี)” มวลน้ำเร็วพุ่งจากฝ่ามือ

     

    “อ เอ๋?” ขณะเดียวกันเธอสูญเสียการควบคุมกระบี่ใต้ฝ่าเท้า “จะตกแล้ว!” มือทั้งสองป้องใบหน้า “กรี๊ด—!” ขาสองข้างไถลขูดกับพื้นเป็นระยะทางยาว เกิดบาดแผลตื้น ถลอกปลอกเปลือก เลือดไหลซิบ

     

    “อูย” เธอจับขาด้วยอาการเจ็บปวด แสบแผล โชคดีตอนตกเป็นช่วงลดระดับ เลยบาดเจ็บไม่มาก “เกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เสียสมาธินี่น่า” ค่อนข้างมั่นใจว่าระหว่างใช้ท่า ตัวเองสามารถคุมสติอยู่ ทำไมกันล่ะ

     

    “หรือว่า!?” ความคิดหนึ่งแล่นเข้าหัว ในเวลานั้นเหมือนโดนตัดขาดการควบคุมกระบี่โดยสิ้นเชิง เธออยากทดสอบสมมุติที่คิดขึ้นมาเอง

     

    มือข้างซ้ายจับกระบี่หนักไว้ ควบคุมน้ำหนักให้มันเบาลง คือข้างขวากำแน่น…..

     

    “เค่อ(วารี)!” น้ำหมุนเกลียวบิดออก พร้อมกันกับที่กระบี่หนักขึ้น “ว่าแล้วเชียว”

     

    “พลังของแต่ละโลกใช้ได้ทีละครั้ง” เธอยกโลกที่เจอกับพวกเหลียงเค่อว่าโลกที่หนึ่ง โลกที่เจอกับเหรี๋ยนซานคือโลกที่สอง เมื่อใช้พลังของโลกใดโลกหนึ่งจะไม่สามารถใช้พลังของอีกโลกได้พร้อมกัน นั่นคือสาเหตุว่าทำไมการควบคุมกระบี่จึงถูกตัดขาด

     

    แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ค้างคาตั้งแต่เมื่อครู่ “ลองดูซักหน่อย”

     

    เธอนั่งลงขัดสมาธิ นึกถึงตอนที่ฝึกตรงน้ำตกกับเหรี๋ยนซาน การรวบรวมจิตละมัง เขาไม่เรียกอะไรด้วยสิ เมรินทร์ขอถือวิสาสะตั้งชื่อเรียกให้

     

    ครึ่งชั่วโมงเลยผ่าน ยังคงนั่งสงบนิ่ง

     

    ดวงตาเปิดออก “ไม่รู้สึกอะไรเลย”  สีหน้าเศร้าหมอง ตอนที่ฝึกกับเหรี๋ยนซานยังรับรู้ถึงบางอย่างที่คล้ายกับพลังงานลึกลับหรืออาจเรียกว่าลมปราณเลยแท้ๆ

     

    เธอถอดใจ ยืนขึ้น ตั้งท่าการฝึกใหม่ นึกถึงคำสอนของเหลียงเค่อและทุกคนในสำนักเก๋อเหลา กระบวนท่ามากมายถูกร่ายรำ ถ้าเป็นตอนนี้ต้องทำได้แน่ บัดนี้ความลังเลถูกขจัดออกแล้ว

     

    “………ทั้งที่คิดว่าอย่างนั้นแท้ๆ” เธอลองทุกสิ่งทุกอย่างในหัวที่เคยจดจำ มันถูกต้องแม่นยำ ทั้งวิธีการและขั้นตอนแน่นอน ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงพัฒนาการใดๆ เลย ต่างจากตอนอยู่สำนัก แม้เพียงนิดหน่อยก็ยังรู้สึก

     

    “ฉันฝึกหรือพัฒนากระบวนท่าเพิ่มไม่ได้” เธอผิดหวังต่อความจริงตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกทอดทิ้งไว้เพียงเบื้องหลังเหล่าโลกที่ถูกทำลาย เงื่อนไขการคือต้องอยู่ในลูกโลกมิติอย่างนั้นหรือ

     

    เมรินทร์เดินคอตก เห็นรั้วลวดหนามตรงหน้า ฟันมันทิ้ง ขาดออกอย่างง่ายดาย ทำเกินไปหรือเปล่านะ อาจเพราะอารมณ์โมโหกลายๆ

     

    “เหมือนตอกย้ำกันเลย” กระบวนท่าครึ่งๆ กลางๆ ยิ่งกลบตัวตนของเธอให้ดำดิ่งลง ราวกับจะบอกว่านี่คือผลลัพธ์ของความล้มเหลว

     

    เธอห่อกระบี่มิดชิด กันผู้คนแตกตื่นจากการเห็นเด็กสาวเดินเล่นถืออาวุธอันตรายกลางถนน คงจบไม่สวยหากต้องนั่งบนโรงพัก

     

    แวะร้านโชว์ห่วยข้างทาง ซื้อพลาสเตอร์มาแปะขาที่เป็นแผลไว้ “ถ้าแม่สังเกตเห็นจะทำอย่างไรนะ” คงกังวลหนักกว่าเดิมแน่ มีทางเดียวคือต้องโกหกส่งๆ ว่าหกล้ม ถ้าไม่โดนถามว่าสะดุดเท้าอีกแล้วเหรอคงดีไม่น้อย

     

    เมรินทร์หัวเราะเสียงแหบแห้ง ส่วนหน้าตากลับตรงกันข้าม ไม่แจ่มใส พลางคิดระหว่างนั่งบนรถไฟฟ้า พลังนี่จะเอาไปทำอะไรได้ล่ะ เป็นซูปเปอร์ฮีโร่ออกช่วยเหลือคนงั้นเหรอ ยิ้มมุมปาก ไม่ไหวหรอกช่วยใครไม่ได้เลยนี่นา กับเมืองที่สงบสุขแบบนี้อาชญากรรมร้ายแรงก็ไม่ค่อยมี

     

    หนำซ้ำจะสู้ปืนได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ขนาดปรมาจารย์กู่เองก็...... การแทงฝ่ามือของอสูรสีดำที่เธอมองไม่วางตา มันไม่ได้รวดเร็วขนาดเท่ากระสุน เขายังตั้งรับมันไว้ไม่ทัน

     

    ทั้งลองนึกย้อนดู เทียบกับท่าที่รุนแรงที่สุดของปรมาจารณ์กู่หรือพวกหลงสั่ว จากประสบการณ์ที่เคยเห็นในหนังสงครามนิดหน่อย พวกขีปนาวุธของทหารยังดูรุนแรงกว่าเยอะ

     

    พลังนี่กว่าจะได้มายากแสนยาก สุดท้ายมันแค่ช่วยให้เธอเก่งกว่าพวกผู้ชายนิดหน่อยเอง

     

    “พลังที่ราวกับปาฏิหาริย์.....” ดวงตาตกลง หยดน้ำตาอาบแก้มซ้าย “แต่กับสร้างปาฏิหาริย์ไม่ได้” พำพัมด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “เป็นที่พลังหรือตัวฉันเองนะ”

     

    เมรินทร์บิดกลอนประตูบ้าน กลับมาทันค่ำพอดิบพอดี สีหน้าเหม่อลอยบ่งบอกอาการค่อนข้างแย่ แม่ของเธอวิ่งหน้าตั้งมาตรงหน้า

     

    สังเกตเห็นแผลที่ขาแล้วรึเปล่า ทำไมถึงทำหน้าตกใจแบบนั้น ไม่สิสายตาของแม่ไม่ได้มองข้างล่างด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้นนะ เธอคิดอย่างสงสัย ก่อนได้คำตอบน่าตกตะลึง ตื่นตะหนก

     

    “เมรินทร์! หมอโทรมาบอกแม่เมื่อสักครู่ พ่อเขาอาการแย่ลง.....”

     

    เคร้ง มือซ้ายที่ถือผ้าห่อกระบี่โลหะตกหล่นกระแทกพื้น เกิดเสียงกระทบ สีหน้าพลันบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกโพลง หายใจหอบถี่ ก กำลังมีคนสำคัญจะตายอีกแล้วเหรอ ไม่เอานะ อยากปิดหู อยากร้องไห้ แต่ร่างกายมันแข็งทื่อไม่ขยับเลย

     

    “เราต้องรีบไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”

     

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.14 ความตายอีกครั้ง จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×