ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #10 : Vol.1 Ch.10 ประกาศศึกล้างแค้นอสูรกินคน

    • อัปเดตล่าสุด 26 เม.ย. 67


    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.10 ประกาศศึกล้างแค้นอสูรกินคน

     

     

    หม้อระอุเดือดปุดๆ เป็นอีกวันที่เมรินทร์จ้องมองกระทะร้อนกับซุปเห็ดซ้ำๆ ซากๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เกือบครบอาทิตย์แล้วที่เธอมาถึงยังที่นี่ อาหารคือซุปเห็ดกับแกงสมุนไพร นานทีหนทีถึงจะมีเนื้อหมูป่ามาใส่บ้างพอให้มีสีสัน แต่ดูเหมือนคุณเหรี๋ยนซานจะชอบผักเป็นพิเศษจนนึกว่าเป็นพวกมังสวิรัติ

     

    เธอขยับสายตานั่งเหล่มองทางชายร่างยักษ์ที่วันๆ เอาแต่ฝ่าฟืนกับฝึกฝนร่างกายด้วยการชกลมอยู่อย่างนั้นทั้งวันแทบไม่คุยกันเลย แม้พยายามทักทายทักทายขนาดไหน เขากลับทำเพียงแค่พยักหน้ารับมองอยู่อย่างนั้น

     

    ทำอย่างไรจึงจะได้กินอย่างอื่นที่มีรสชาติแปลกใหม่บ้างนะ เธอหลับตาเบ้ะปากคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่รอแกงเห็ดสุก จนในที่สุดก็อ้าปากตกใจกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว ตัวเองก็พอมีฝีมือทำอาหารนี่นา น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง

     

    พอตระหนักรู้ดั่งข้างต้นแล้วจึงรีบวิ่งปรี่ พุ่งเข้าหาเหรี๋ยนซาน “นี่นี่ คุณเหรี๋ยนซานคะ เก็บพวกวัตถุดิบไว้ที่ไหนเหรอ?” เธอหน้าตั้งยกแขนลุกลี้ลุกลนกล่าวด้วยความตื่นเต้น เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ตอบ เพียงแค่ชี้นิ้วยังตรงส่วนหลังบ้าน เมรินทร์พยักหน้ารับ ตรงดิ่งยักส่วนตรงนั้น พบตู้ไม้เก่าๆ พอเปิดดูก็พบเข้าเครื่องเทศ ผัก เห็ด สมุนไพรต่างๆ รกระทั่งพริกไทยเม็ดบดก็ยังดี “โห นี่เขารวบรวมพวกมันมาจากในป่าเหรอเนี่ย”

     

    เธอแววตาเปร่งประกาย สภาพของพวกนี้ดูไม่ใช่ของที่เก็บไว้นาน เหมือนกับเป็นของสดที่พึ่งเด็ดมาจากต้นในเวลาไม่นาน สุดยอดเลยวัตถุดิบพวกนี้ต้องเป็นมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยมแน่ พอนึกออก เธอรวบรวมมันมากองไว้ในกำมือเดียว ตู้ข้างๆ เก็บอุปกรณ์ทำอาหารไว้ ทั้งจานชาม กระทั่งครกก็ยังมี ถึงจะเป็นครกหินจีนทรงโบราณที่ไม่คุ้ยเคยก็เถอะ แต่นี่ก็น่าจะใช้การได้

     

    “ฮึ หึ ฮือ~” สาวน้อยฮัมเพลงในปาก ใส่เม็ดพริกแดง พริกไทยกระเทียม ลงในครก ทุบๆ ละเอียดทีนี้ก็ได้เครื่องพริกแกงแล้ว เธอเงยหน้าขึ้น เหลือบเห็นเนื้อตากแห้งอยู่บนนั้น เยี่ยม ทีนี้ก็พอมีอะไรให้ขบเขี้ยวหน่อยเสียที

     

    ภาชนะทำอาหารในบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หม้อต้มใบใหญ่ แต่ยังมีแบบอื่นอีกเยอะแยะ เช่นพวกกระทะกลมเหล็กทรงลึก หินปิ้งย่าง กระทั่งตาหลิวก็มี ทว่าเหรี๋ยนซานคงไม่ต้องการความยุ่งยาก เขาเพียงโยนทุกสิ่งที่หามาได้ใส่ในหม้อต้มประกอบอาหาร ดูจากสภาพเก่าๆ ของเครื่องครัว

     

    แค่ล้างน้ำพวกมันก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เหมือนปลุกขึ้นมาจากการหลับใหลเลย เธอก่อกองฟืนขึ้นมาอีกกองโดยนำฟืนเก่าที่กำลังต้มในหม้อมาจุดประกายไฟ วางหินใหญ่ไว้รอบๆ เพื่อตั้งกระทะ จากนั้นนำมันหมูที่ถูกหั่นออกมาคั่วเป็นน้ำมัน ใส่เครื่องพริกแกงลงไป และผัดกับเนื้อตากแห้ง

     

    “ค แค่ก” ตอนเธอทำ กลิ่นฉุนของเครื่องพริก ทำเอาคัดจมูกเล็กน้อย แต่นี่แหละความอร่อยของมัน ใช้ตาหลิวผัดคั่วกลิ้งให้ทั่วถึง ใช้เตาฟืนทำอาหารแบบนี้ก็ให้อารมณ์แตกต่างจากกระทะไฟฟ้าพอควร ความหอมของฟืนไม้ธรรมชาติช่วยทำให้ดูน่ากินขึ้นอีก

     

    อีกมุมหนึ่งขณะที่เหรี๋ยนซานกำลังฝึกวิทยายุทธ รูจมูกใหญ่ของเขาฝึดฟิดเสียสมาธิเล็กน้อย เขารวมรวบสติกลับมาได้ในเวลาไม่นาน และแน่วแน่ต่อ ทว่าภายในใจลึกๆ กลับเกิดความน่าประหลาดใจอยู่เนืองๆ

     

    ในเวลาใกล้พลบค่ำ เหงื่อเขาไหลซก ใช้ผ้าไหมทอผืนเก่าเช็ดเหงื่อของตน พลางหาอะไรกินเพื่อดับความหิวของตน ทันใดนั้นก็เห็นเมรินทร์ เธอยิ้มให้มาทางนี้ พร้อมยื่นชามแบนที่ไม่เคยคิดจะแตะ “คุณก็ลองกินดูสิคะ” สีหน้าดูสดใสไม่เคยเห็นมาก่อน

     

    เขาเหลือบมองหม้อใบเล็กอีกอันหนึ่ง มันมีกลิ่นหอมหวนชวนน่าพิศวงอย่างแปลกประหลาด ทันใดนั้นโดยไม่รู้ตัว ท้องกลับส่งเสียงร้องจ๊อกดังกึกก้อง พร้อมกับน้ำลายที่ไหล เขาเช็ดมาด้วยแขนเสื้อ เธอหัวเราะออกมา “ลองกินดูสิ คุณต้องประทับใจกับรสชาติของมันแน่ค่ะ”

     

    เหรี๋ยนซานไม่ตอบกลับ เขาหยิบจานที่ถือมาให้ด้วยกิริยาห้วนๆ เมรินทร์เข้าใจดี เขาไม่ได้เสียมารยาท เพียงแค่การเข้าสังคมของเขามันถูกลืมเลือนต่างหาก ใช้ทัพพีช้อนใหญ่ตักๆ ใส่ของตน ปริมาณที่ทำนั้นมีเยอะพอสมควร อย่างน้อยก็กะไว้ให้เยอะกว่าปริมาณที่กินปรกติสองเท่า มันน่าจะพอนะ เธอคิด

     

    เขาดมกลิ่นฟุดฟิดด้วยความสงสัย มันคือกลิ่นก่อนน่านี้เป็นแน่ หากให้ทายสิ่งที่อยู่ภายในหัวของเขาตอนนี้ คงประมาณว่าไอ้ของฉุนขนาดนี้มันจะกินได้จริงเหรอ เขาเหลือบหันมามองเธอ คงลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ลองเอามันเข้าปากดูก่อนคำแรก

     

    หน้าแดงกึกจนถึงหูด้วยความเผ็ด ตาเบิกโต สัมผัสของรสชาติที่แตกต่าง มือระเลงรัวคำต่อไปเข้าปากอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีจานนั้นว่างเปล่าลง เขาตักจากหม้อกลมมาเพิ่มอีก และในอีกไม่กี่คำมันก็หมดลง ตักเพิ่ม กิน วนซ้ำอยู่หลายรอบ

     

    เมรินทร์ที่มองอยู่ข้างๆ พลันยิ้มมุมปากด้วยความสุข “แบบนั้นคงเรียกว่าอร่อยสินะคะ ดีใจจัง” ไม่เสียเปล่าเลยที่อุตส่าห์เรียนวิธีทำอาหารมาจากในเน็ต เพราะแม่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน ข้าวกล่องแช่แข็งที่ต้องอุ่นด้วยไมโครเวฟมักไม่ถูกปากเธอ จึงลองเริ่มทำเองดู ตอนแรกไม่อร่อยหรอก ทั้งเกรียม เหม็นไหม้ กล้ำกลืนฝืนทนกิน ทว่าพอลองทำสักสองสามปีรสชาติก็ใช้ได้ขึ้นมาอย่างที่เห็น

     

    เหรี๋ยนซานกินเกือบทัพพีสุดท้าย เขาหยุดมือลง ท่าทางไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ เธอกะปริมาณผิดซะแล้วสิ ช่างน่าเสียใจ เธอเหลือบมองยังส่วนที่เหลือ “เอ๋ นี่เก็บไว้ให้ฉันเหรอคะ?” พอมองหน้าถามเขาก็พยักรับ “ขอบคุณค่ะ” ลองนึกดูแล้วก็ไม่ได้ตักส่วนของตัวเองเอาไว้เลย เขาช่างมีน้ำใจงามจริงๆ

     

    คราวนี้ขณะที่เมรินทร์ตักกับข้าวของตัวเองมา เขาก็รับประทานอาหารอย่างช้าๆ อาจเพื่อใช้เวลาร่วมโต๊ะกันอย่างยาวนานมากขึ้น หากเป็นคนที่คุยเก่งกว่านี้คงชวนพูดเรื่องยาวเยียดจนอาหารจืดชืดเป็นแน่แท้ น่าเสียดายจริงๆ อยากรู้เรื่องของเขามากกว่านี้ เมรินทร์พลันคิดทำหน้าเศร้าสร้อย

     

    เธอค่อยๆ ตักพริกแกงหมูนั่นเข้าปาก “อืม ถ้ามีข้าวคงดีกว่านี้” เหมือนจะเคยเห็นต้นข้าวป่าขึ้นอยู่ข้างทางตอนที่ไปน้ำตกด้วยสิ วันหลังเอาไว้ชวนคุณเหรี๋ยนซานเก็บมันมาด้วยกันดีกว่า เธอเคี้ยวเนื้ออย่างมีความสุข

     

    หลังจากกินคำแรกเวลาก็ผ่านมาค่อนข้างยาวนานสำหรับตัวเธอ ความเงียบก่อตัวขึ้นจนน่าอึดอัด “ค คุณเหรี๋ยนซานคะ คุณมาจากไหนเหรอ” แถวนี้เองก็ไม่เห็นเมืองหรือผู้คนด้วยสิ เขาไม่น่าจะอยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรก ด้วยความสงสัยเธอจึงถามออกไป ถึงจะไม่คาดหวังคำตอบก็เถอะ

     

    เหรี๋ยนซานมองหน้าเธออยู่ซักพักราวกับกำลังค้นหาคำพูดภายในหัวอย่างสุดชีวิต เมรินทร์เฝ้าคอยด้วยความใจจดจ่อ ท้ายที่สุดน้ำเสียงจากร่างยักษ์ก็เปล่งให้ได้ยินเสียที

     

    “ตรงนู้น” เขาชี้ยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา มันคือทางลาดเอียงลง เป็นทางที่แม่น้ำสายใหญ่พัดตก เมรินทร์ดวงตาโต น่าทึ่งยิ่งกว่าคือเขาพูดออกมา บางทีหากเป็นทุ่งหญ้าลงจากนี่อาจมีบางสิ่ง ไม่นานประโยคถัดไปก็ออกมา “หมู่บ้านของข้า ครอบครัวของข้า” คำอธิบายเพียงน้อยนิดกล่าวความหมายหลายสิ่ง

     

    หมายความว่านั่นที่ที่เขาจากมาก็อยู่ไม่ไกลอย่างนั้นหรอกเหรอ “แล้วทำไมคุณถึงออกมาอยู่คนเดียวเหรอคะ” เมรินทร์ถามต่อด้วยความอดสงสัยไม่ได้ เธออยากรู้จริงๆ ว่าทำไมคนอ่อนโยน อย่างเขาเปลียกวิเวกออกมา

     

    “แม่ เกรงกลัวข้า” เมรินทร์เมื่อได้ฟังดังนั้นเธอคิดตาม น้ำตาคลอเบ้า เธอถามอะไรที่น่าจะตอกย้ำจิตใจของเขาเสียแล้ว แม้ภายนอกยังดูปรกติ ทว่าบรรยากาศกลับแตกต่างออก เป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

     

    “.....ขอโทษนะคะ” เธอกล่าวอย่างสำนึกผิด คอตกลง เขามีร่างกายที่ใหญ่โตน่าเกรงขาม แค่เห็นเขาวินาทีแรกก็แทบหยุดหายใจ ตัวเราเองก็ยังกลัวจนอยากวิ่งหนี หากสภาพยังดีอยู่ไม่บาดเจ็บ เธอคงกลั้นใจตายเอาดาบหน้าแทนการอยู่กับเขา ช่างน่าเศร้าที่เหรี๋ยนซานคงมีสภาพร่างกายเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก คงมีคนไม่น้อยที่รับไม่ได้ ยิ่งในยุคสมัยที่ไร้วิทยาศาสตร์ ผู้คนคงพลานกันนึกว่าเป็นปีศาจเข้าสิงเสียกระมัง

     

    พระอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์เสี้ยวเริ่มปรากฏ เมรินทร์หยุดใช้ช้อนตักอาหารของตน พอเห็นดังนั้นเหรี๋ยนซานยืนขึ้น ร่างอันใหญ่โตสะท้อนกับเงาของดวงจันทร์ “ข้าแข็งแกร่ง” ราวกับคำพูดปลอบประโลมที่สื่อให้อีกหลายความหมาย นี่คงเป็นข้อความที่เขาคัดออกมาดีที่สุดแล้ว

     

    เมรินทร์มองเขาด้วยความตกตะลึง รูม่านตาขยาย ให้ความรู้สึกราวกับคุณพ่อที่อยากปกป้องลูก ความอบอุ่นภายใต้ร่มเงานั้นคลายความกังวลอย่างน่าแปลกประหลาด ถ้าให้คิดคำพูดที่ดีอีกอย่างคงหมายความว่า ไม่ต้องห่วง ให้อารมณ์เช่นนั้นเลย “ขอบคุณค่ะ” เมรินทร์ส่งรอยยิ้มที่กว้างที่สุดออกมา

     

    ทว่าภายใต้ความสบายใจกลับมีเรื่องวิตกที่ควรกังวล หากอยากใช้ชีวิตต่อจากนี้ เธอต้องสนใจคำเตือนนั่น “คือว่า มีเรื่องหนึ่งที่อยากบอกอยู่ค่ะ” คำพูดของแสงสีขาวนั่นยังก้องภายในหัว ผู้ที่อ้างตัวว่าชื่อดาวหางสีคราม

     

    “ทิศเหนือบูรพาต่อจากหุบเขาตรงนี้….มีบางสิ่ง” น้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่กล้าเอ่ยถึงมัน สิ่งที่อาจก่อความเดือดร้อน แต่จำเป็นจริงๆ และสำคัญเกินกว่าจะโป้ปดหรือปิดบัง “ตัวอ่อนของสัตว์อสูร เราต้องกำจัดมัน นี่เป็นข้อความของคนที่ส่งฉันมาค่ะ” เมรินทร์ค่อยๆ เหลือบมองดูปฏิกิริยาตอบสนอง

     

    เหรี๋ยนซานยังคงไม่พูดคำใดตอบโต้ ท่าทางยังคงนิ่งมาก นิ่งกว่าทุกที ทำเอาเธอคิดว่าข้อความที่สือถึง คงเป็นแค่เรื่องไร้สาระแก่นสารของเด็กน้อยไม่ประสีประสา เกินกว่าจะเก็บไปคิด ถ้าเป็นตัวเองก็คงทำเช่นนั้นเหมือนกัน หัวเราะออกมาดังๆ และพูดว่ามันแค่เรื่องละเมอเพ้อเจ้อช่างฝัน

     

    ทันใดนั้นที่คิดอย่างตัดเพ้อถึงความไม่น่าเชื่อเธอของตัวเอง เหรี๋ยนซานพลันเดินกลับเข้าบ้านด้วยฝีเท้ารวดเร็ว เมรินทร์มองอย่างตกตะลึง จะทำอะไรน่ะ นั่นคือคำแรกที่เธอคิด เพียงไม่กี่วิต่อมาก็ทำเอาตกใจยิ่งกว่าเดิม ขวานด้ามใหญ่ปรากฏขึ้น วางบนสองฝ่ามือของเขา

     

    “รุ่งขึ้นเราจะเดินทาง” คิ้วของเขาขมวดลง ความตึงเข้มบนรอยย่นปรากฏ “เตรียมตัวซะ” นั่นคงหมายถึงให้เธอเตรียมพร้อม เขากำลังจะพาเธอไปยังสถานที่ที่กล่าวนะเหรอ นี่เขาเชื่อเธอโดยไม่ลังเล ทั้งที่อาจเป็นกับดักหรืออันตรายที่ยังไม่รับรู้เนี่ยนะ เป็นไปได้อย่างไร

     

    “ค่ะ” เมรินทร์ยืนขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ต้องรับผิดดชอบต่อคำพูดของตัวเอง ต่อหน้าที่ที่ได้รับ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ถ้าคนอย่างเหรี๋ยนซานต้องเดือดร้อนเพราะปัญหาที่ไม่ยอมสะสางของตัวเธอ คงรู้สึกผิดแย่ ถึงอาจเป็นภาระ ก็ยังคงอยากต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม

     

     

     

    ในมุมมองผู้สร้างต่างโลก Vol.1 Ch.10 ประกาศศึกล้างแค้นอสูรกินคน จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×