ตอนที่ 6 : 3 ความอบอุ่นใจ (1)
เวิงอวี่ได้ยินเพื่อนพูดถึงเหยียนเฉียวก็เงี่ยหูฟังทันที “ไม่นะ เมื่อวานหลังจากที่เขาช่วยฉันขนของย้ายบ้านเสร็จแล้วก็รีบออกไปกินข้าวกับแม่ของเขา”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เวิงอวี่ถามกลับ “ทำไมเหรอ”
“เธอฟังนะ เช้ามืดวันนี้ตอนที่ฉันกับอิ้นชีไปหาจือจือที่ร้านมิ้วส์บาร์ ฉันบังเอิญเจอเหยียนเฉียวด้วย”
หญิงสาวกำมือถือไว้แน่น
“แต่เพราะต้องรีบไปส่งจือจือ ฉันก็เลยไม่มีเวลาดูให้แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันสายตา ๕.๐ มาตั้งแต่เด็กแล้ว” ตอนนี้เองที่น้ำเสียงของเฉินหานซินเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ฉันว่าฉันเห็นไม่ผิดหรอก ผู้ชายคนที่กำลังชนแก้วกับผู้หญิงอื่นคนนั้นน่ะต้องเป็นเหยียนเฉียว ไม่ผิดแน่นอน”
เวิงอวี่ตัวแข็งทื่อ คล้ายกับว่าหูดับ พลันไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
“ฮัลโหล นี่ยายปีเตอร์แพน เธอยังฟังอยู่รึเปล่า” เสียงร้องถามอย่างร้อนรนของเฉินหานซินดังมาตามสาย
“ฮัลโหล?!”
...
ขณะที่เฉินหานซินยังรอฟังคำตอบจากเวิงอวี่ด้วยความเป็นห่วง ภายในสมองของเวิงอวี่กลับว่างเปล่า
เมื่อวานเย็นที่เหยียนเฉียวไม่ได้โทร.หาเธอ เป็นเพราะอยู่ที่บาร์ทั้งคืนหรอกหรือ แล้วที่เขาโทร.มาเมื่อเช้า บอกว่าเกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะ ทั้งยังซับซ้อนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าจะเล่าให้เธอฟังยังไงดี...
หญิงสาวพยายามสงบใจ คลี่ยิ้มน้อย ๆ แล้วฝืนตอบกลับ “คงเป็นงานเลี้ยงของเพื่อน ๆ ของเขามั้ง...”
เฉินหานซินหัวเราะเสียงแข็งออกมาครั้งหนึ่ง “ปาร์ตี้กลางดึกในบาร์งั้นหรือ ฟังดูน่าสนใจนะ เวิงอวี่ เธอต้องรีบไปหาเหยียนเฉียวเดี๋ยวนี้เลย ไปถามให้รู้เรื่อง ถ้าเขากล้าทำเรื่องที่ผิดต่อเธอแบบนี้ ฉันคงต้องมองเขาให้ดี ๆ อีกครั้งซะแล้ว”
ขู่เสร็จ เวิงอวี่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบกลับ เฉินหานซินที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดเสียงเข้มไปนิดจึงลดเสียงลง “...ฉันละโกรธจือจือมาก ยายนั่นกับมู่ซีไม่เพียงสร้างเรื่องยุ่ง ยังจะพาตัวเองไปลงหลุมอีก ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าทางนี้เธอก็เกิดเรื่องเหมือนกัน ฉันยังคิดมาตลอดเลยว่าเหยียนเฉียวไม่มีทางทำแบบนี้กับเธอหรอก”
คำพูดของเฉินหานซินถึงแม้จะดังเข้าหู แต่กลับไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในหัวของเวิงอวี่เลยสักนิด ยิ่งฟังก็ยิ่งปวดหัว ยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า
“ซินซิน”
หลังจากเงียบไปสักพัก เวิงอวี่ก็เอ่ยเสียงกระซิบ “ตอนนี้ฉันเริ่มปวดหัวแล้วละ เอาเป็นว่ารอให้ฉันกับเหยียนเฉียวคุยกันให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยโทร.หาเธออีกที ดีรึเปล่า”
น้ำเสียงของเวิงอวี่เย็นเยียบ เฉินหานซินที่อยู่ปลายสายฟังแล้วก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ อยากจะพูดเสริมอีกสักหน่อย แต่กลับพูดไม่ออก “...ดี งั้นฉันจะรอเธอโทร.มานะ ดูแลตัวเองด้วย ระวังอย่าให้เป็นหวัดล่ะ”
หลังจากหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าถือ ก็เลี้ยวรถเข้าจอดในซองจอดรถหน้าประตูตึก เวิงอวี่จ่ายค่าจอดรถ คว้าสัมภาระมาถือแล้วเดินขึ้นบันไดไปช้า ๆ
ไขกุญแจเข้าห้องได้แล้ว เธอวางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างประตูก่อนเดินเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันทีโดยไม่สนใจแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า
รอจนกระทั่งสมองของหญิงสาวกลับมาทำงานอย่างมีสติอีกครั้ง ถึงได้รับรู้ว่าหน้าผากของเธอนั้นร้อนผ่าว
แม้เธอจะยังคงสวมแจ็กเก็ตตัวหนาอยู่ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวสั่น กอปรกับห้องนอนหันไปทางทิศเหนือ สภาพอากาศแบบนี้ถึงไม่เปิดแอร์ก็ยังรู้สึกหนาวเหมือนจะแข็งเสียให้ได้ พอปรือตาขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ก็พบว่าเลยเที่ยงคืนแล้ว
เธอคงเป็นไข้แน่นอน แถมยังเป็นไข้สูงเสียด้วย
เวิงอวี่ลูบหน้าผากร้อน ๆ ของตัวเอง กระตุ้นสมองให้เรียบเรียงเรื่องราว...ตอนที่จัดกระเป๋าก่อนหน้านี้ เธอวางกล่องยาไว้ที่ไหนกันนะ
หญิงสาวพยุงตัวขึ้นจากเตียง ควานมือไปท่ามกลางความมืดเพื่อเปิดโคมไฟหัวเตียง จากนั้นก็เปิดตู้ข้างเตียงมองหากล่องพยาบาล ค้นไปค้นมาก็ยังหาไม่เจอ
หลังจากหน้ามืดไปชั่วครู่ เธอก็ค่อย ๆ เดินเกาะผนังออกไปเปิดลิ้นชักในห้องรับแขก เปิดออกดูทีละชั้น ๆ
อาการเวียนหัวยิ่งรุนแรง แถมยังมีอาการคลื่นไส้เพิ่มมาอีก เธอสะบัดหน้าขับไล่ความมึนงงพลางมองหาที่จับที่มั่นคง แต่เพราะไม่ทันระวังจึงเดินชนกระเป๋าเดินทางที่วางทิ้งไว้ก่อนหน้านี้จนล้มลงกับพื้น
“ปัง” เสียงดังขนาดนี้ ทั้งยังดังขึ้นกลางดึกที่เงียบสงบคงจะรบกวนห้องอื่นแน่ ๆ เธอรีบก้มตัวลงจะดึงกระเป๋าขึ้นตั้ง แต่ขาเจ้ากรรมดันหมดแรง พาเธอล้มลงไปบนพื้นอีก
พื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ แต่เวิงอวี่กลับรู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว เธอยื่นมือออกไปยันพื้นไว้ แล้วค่อย ๆ สงบจิตใจ
“ก๊อก ๆ”
เธอยังคงนั่งมึนงงอยู่บนพื้นตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
กลางดึกแบบนี้ใครมาเคาะประตูกันนะ คงไม่ใช่เหยียนเฉียวหรอกมั้ง
“รอสักครู่นะคะ”
หญิงสาวยันตัวขึ้นจากพื้น แล้วค่อย ๆ เดินไปที่ประตู
“ผมเอง” จนเธอเดินเกือบจะถึงประตูอยู่แล้ว ก็พลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่ง “ฟู่อวี้”
หา...เป็นเพื่อนบ้านสุดหล่อหรอกเหรอ
เวิงอวี่คิดสะระตะในหัว หลังจากเปิดประตูแล้วก็เห็นฟู่อวี้ในชุดอยู่บ้านแถมยังสวมแว่น ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“ผมอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงบางอย่างจากห้องคุณ ก็เลยสงสัยว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ฉัน...” เธอกำลังคิดว่าควรจะตอบเขายังไงดี ก็รู้สึกเหมือนมีพายุหมุนเกิดขึ้นในท้องจนแทบทนไม่ไหว อาการปวดศีรษะและคลื่นไส้ยิ่งนานก็ยิ่งหนักขึ้น
ฟู่อวี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอขมวดคิ้ว มองแก้มแดง ๆ และหน้าผากที่มีเหงื่อเกาะพราวก็รู้ได้ทันทีว่าเธออยู่ในสภาพไม่ปกติ “คุณไม่สบายใช่ไหมครับ”
“ค่ะ...” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ปรือตามองดูเขา “ฉันกำลัง...เอ่อ หากล่องยาอยู่น่ะค่ะ”
ฟู่อวี้จ้องหน้าเธอชั่วขณะ ดันประตูให้เปิดกว้างขึ้นพลางประคองหญิงสาวให้ไปนั่งที่โซฟาโดยไม่ยอมให้เธอปฏิเสธ
จากนั้นก็หันไปมองหากล่องพยาบาลรอบห้องที่ถูกรื้อจนรกแล้วก็เห็นว่ากล่องพยาบาลวางอยู่ตรงมุมห้องด้านซ้าย
เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าภายในไม่มีแผ่นลดไข้หรือยาแก้ปวดเลย เขาหันกลับมามองเธอที่นั่งทำหน้าพะอืดพะอมอยู่ตรงโซฟา แล้วตัดสินใจทันที
“เวิงอวี่” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ พลางก้มตัวลงเพื่อให้เธอได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดอย่างชัดเจน “คุณรอผมอยู่ตรงนี้สักครู่ ผมจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจะขับรถพาคุณไปโรงพยาบาลนะครับ”
“ค่ะ...” เธอตอนนี้แทบจะไม่มีสติแล้ว เป็นเพียงการตอบรับโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะตอนที่เขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือตอนที่หยิบกุญแจห้องของเธอที่อยู่ในกระเป๋าถือมาล็อกห้อง แล้วพาเธอลงลิฟต์ไปขึ้นรถด้านล่างนั้น เธอก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย “ทนอีกนิดนะ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”
หญิงสาวนั่งพิงเบาะข้างคนขับ ขณะครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ ก็รู้สึกว่ามีมือมือหนึ่งยื่นมาลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ชายหนุ่มรีบจัดการทำประวัติ พบหมอ รับใบสั่งยา ลงทะเบียนเข้าหอผู้ป่วย...กระทั่งย้ายเวิงอวี่ที่นอนให้น้ำเกลือบนเตียงคนไข้เข้าห้องพัก เขาถึงโล่งใจ
เพราะเพิ่งกลับมาจากอังกฤษได้ไม่นาน และสองวันมานี้ชายหนุ่มก็เข้านอนค่อนข้างดึก ผนังห้องเองก็ไม่ได้หนาหรือกันเสียงได้สักเท่าไหร่ จึงได้ยินเสียงของเธอที่กำลังค้นของอยู่อีกฟากหนึ่งได้อย่างชัดเจน
โชคดีจริง ๆ ที่พาเธอมาส่งโรงพยาบาลได้ทันก่อนที่จะหมดสติอยู่ในห้อง
เขาก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า กำลังคิดว่าจะพักสักครู่ ก็ถูกสะกิดเบา ๆ ที่ไหล่
พอหันกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาว
ผู้ชายคนนั้นมองเขายิ้ม ๆ พลางเอ่ยทัก “อาอวี้”
ฟู่อวี้ที่ไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักที่นี่ตอนนี้ ยกมือขึ้นทำท่าทางให้ผู้ชายคนนั้นออกไปคุยกับเขาข้างนอก
ทั้งสองพากันเดินออกจากห้องผู้ป่วยมาที่โถงทางเดิน คนเป็นหมอยิ้มพลางกวาดตามองเขา “ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอนายที่นี่”
นายแพทย์คนนี้คือไต้จงหรู เป็นเพื่อนที่เขาสนิทที่สุดสมัยเรียนมัธยมปลาย ปัจจุบันเป็นสูตินรีแพทย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโรงพยาบาลรุ่ยจิน ถึงแม้จะอยู่ที่อังกฤษ แต่เขาและเพื่อนก็ยังคงติดต่อกันตลอด และเมื่อเขากลับมาที่จีน ทั้งสองก็จะนัดเจอกันเสมอ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ชายหนุ่มตบบ่าไต้จงหรูเบา ๆ “วันนี้เข้าเวรดึกเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้เข้าเวร พอดีมีผ่าตัดยาว กำลังจะกลับแล้วละ” หมอหนุ่มพยักพเยิดไปทางหอผู้ป่วย “นายล่ะ ทำไมไม่บอกว่าจะกลับมาช่วงคริสต์มาส”
“ยังกลับมาไม่ถึงสองวันเลย อยากพักก่อนแล้วค่อยโทร.หานาย” เขาเอ่ยเรียบ ๆ
“ฉันอยู่ตรงทางเดินตอนที่เห็นนายประคองผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา ยังนึกว่าตัวเองเบลอเพราะยืนผ่าตัดนาน ตอนหลังลองถามพยาบาลดู ถึงได้รู้ว่าเป็นนายจริง ๆ” ไต้จงหรูมองเขาพลางส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ “แฟนเหรอ ไม่เจอกันแค่ปีเดียว ดูเหมือนว่าฉันจะตกข่าวเรื่องนายไปซะแล้ว”
ฟู่อวี้ส่ายหน้า มองไปทางห้องผู้ป่วย “ไม่ใช่แฟนหรอก เพื่อนบ้านน่ะ”
“เพื่อนบ้านเหรอ” คนเป็นเพื่อนได้ฟังแล้วก็คิดว่าแปลก “ฉันฟังไม่ผิดใช่ไหม คนที่ไม่ใส่ใจคนอื่นอย่างนายนี่นะ จะหันมาสนใจเรื่องของเพื่อนบ้าน”
“อย่าพูดเหมือนกับว่าฉันเป็นคนใจร้ายและเย็นชากับคนอื่นแบบนั้นสิ” เขาตบไหล่เพื่อนสนิทก่อนบอก “เธอไข้ขึ้น ฉันก็แค่ช่วยพามาโรงพยาบาลเท่านั้น”
“อ้อ...” ไต้จงหรูส่งเสียงว่าเข้าใจ “แต่ตอนที่เห็นผู้หญิงคนนั้น ฉันว่ารู้สึกคุ้นหน้าอยู่นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน ไม่ใช่ว่าหน้าโหลนะ แต่รู้สึกคุ้นหน้าจริง ๆ”
ฟู่อวี้พึมพำ “นายอาจจะเคยเห็นในงานแต่งงานของเฉินหานซินกับเคออิ้นชีก็ได้ เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาว”
“ใช่! ฉันนึกออกแล้ว” นายแพทย์หนุ่มตบมือฉาดใหญ่ “เธอเป็นเพื่อนสนิทของซินซินใช่ไหม”
“อืม”
“แปลกจริง แล้วนายกับเธอไปรู้จักกันตอนไหน ทำไมกลายเป็นเพื่อนบ้านกันได้”
“เพิ่งรู้จัก” ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วว่า “ก็ตอนที่ฉันกลับมาครั้งนี้แหละ เพิ่งรู้ว่าเธอย้ายมาอยู่ห้องข้าง ๆ”
“อยู่ห่างกันตั้งไกล ก็ยังมาเจอกันได้นะ” ไต้จงหรูทำหน้ามีเลศนัย “บังเอิญจริง ๆ ฉันต้องกลับไปเล่าให้เมียฟังสักหน่อยว่านายบังเอิญมาเป็นเพื่อนบ้านกับคู่หูของซินซิน
“อาอวี้ อายุนายก็ไม่น้อยแล้วนะ อย่ามัวแต่นั่งจ้องตัวเลขทั้งวันสิ ควรมองหาผู้หญิงสักคนมาช่วยนายสร้างครอบครัวได้แล้ว” ไต้จงหรูทอดถอนใจอยู่หลายประโยค แล้วพูดต่อไปอีก
“เฮ้!” ฟู่อวี้ส่งเสียงขัดพลางยักไหล่ “ทำไมนายเปลี่ยนไป เหมือนกับแม่ของฉันเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
ไต้จงหรูหัวเราะ เอ่ยเสริมว่า “นี่ เด็กคนนี้ก็ดูน่ารักดี นายไม่ลองจีบดูล่ะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ...โบราณเขาว่าไว้ ญาติที่อยู่ห่างไกลก็สู้เพื่อนที่ใกล้ชิดไม่ได้[1]หรอก”
“เธอมีแฟนแล้ว” เขาตอบ
ไต้จงหรูดูสีหน้าของเพื่อนอยู่ชั่วครู่แล้วพูดเสียงเย็น “อาอวี้ ไม่ใช่ว่านายกำลังคิดถึงเซี่ยเซี่ยอยู่หรอกนะ”
ฟู่อวี้ฟังคำพูดของเพื่อนแล้วเหลือบตามองคนตรงหน้าพลางยิ้ม “เซี่ยเซี่ยใกล้จะแต่งงานแล้ว ฉันจะไปคิดถึงเธอทำไม เรื่องมันจบไปแล้ว ฉันว่าเดี๋ยวนี้นายยิ่งเหมือนป้าแก่ ๆ เข้าไปทุกที”
“มันต้องแบบนั้น คนเราต้องก้าวไปข้างหน้า!” ไต้จงหรูทำท่ายิงลูกศรใส่ฟู่อวี้ “ที่รักของฉันยังรออยู่ ไม่ยอมเข้านอน ฉันคงต้องไปแล้ว อีกสองสามวันค่อยนัดเจอกันนะ”
ชายหนุ่มโบกมือให้ไต้จงหรูก่อนหันกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ฟู่อวี้นั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงคนไข้มองเวิงอวี่ที่กำลังนอนหลับไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นจัดผ้าห่มให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเอื้อมมือไปวัดไข้ที่หน้าผากของเธออีกครั้ง
ให้น้ำเกลือแล้ว ไข้คงจะลดลงในไม่ช้า
เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางจ้องมองหญิงสาวโดยไม่ละสายตา
ตอนกำลังหลับแบบนี้ เธอช่างดูน่ารักและสงบสุขเหลือเกิน ไม่เหมือนกับตอนตื่นที่จะดูตื่น ๆ และพร้อมจะทำสิ่งที่ผิดพลาดได้ตลอดเวลา
เขายังจำตอนที่เจอเธอครั้งแรกในงานแต่งงานของเฉินหานซินได้ เธอดูจะเดินบนรองเท้าส้นสูงไม่ค่อยถนัดนัก สุดท้ายก็เดินสะดุดชายกระโปรงจนล้มลงหน้าห้องจัดเลี้ยงจนทุกคนหัวเราะขบขัน
แล้วชายหนุ่มก็พลันนึกไปถึงตอนที่เขานั่งกินข้าวกับเธอเมื่อวันก่อน เธอพูดและร้องไห้กับเขา ในตอนแรกเขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งเชื่องช้าทั้งงุ่มง่าม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีความรู้สึกแบบนี้จริง ๆ ดูถูกตัวเอง เศร้าสร้อย และเก็บกด ปกติแล้วเธอคงจะข่มอารมณ์พวกนี้เอาไว้ภายใต้ท่าทางเรียบเฉย ไม่อยากให้ใครเห็น
และเพราะแบบนี้ เขาจึงสนใจติดตามอยากรู้เรื่องราวของเธอมาตลอดสองวัน ไม่ยังงั้นเขาคงไม่มาปรากฏตัวที่หน้าห้องของเธอทันทีที่ได้ยินเสียงดังมาจากห้องของเธอหรอก
จนถึงตอนนี้ หญิงสาวยังไม่รู้เลยว่าเขาเคยรู้จักเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว
ฟู่อวี้รู้สึกว่าถ้าเขาไม่ดูแลให้ดี เธออาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ตลอดเวลา ทำให้คนรอบข้างไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงกังวลและคอยตามดูแลอยู่เสมอ
ดูคล้ายกับเจ้ากระต่ายน้อย เขาคิดได้แบบนี้ก็ยิ้มพลางส่ายหัวน้อย ๆ
ก็เหมือนที่ไต้จงหรูพูดไว้ เขากลายเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
[1]เปรียบเปรยว่า ให้คว้าทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือ ถึงแม้สิ่งนั้นจะมาจากคนที่ไม่รู้จักหรือไม่สนิทสนมก็ตามที
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่าสงสารเวิงอวี่