ตอนที่ 4 : 2.1 แรกเริ่มที่ได้รู้จักเขา
เกือบจะเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวหลุดการควบคุมตัวเอง ฟู่อวี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอก็เหมือนจะมองเห็นเงื่อนงำของปัญหาแล้ว
เขามองหน้าเธอ ก่อนวางถ้วยบะหมี่ลงช้า ๆ แล้วลุกออกจากโต๊ะไป
เวิงอวี่ที่เอาแต่ก้มหน้าจึงไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอ ผู้คนมักจะมองว่าเธอเป็นคนเรียบง่าย ไม่คิดอะไร และซื่อบื้อ ตัวเธอเองก็มีความสุขกับชีวิตธรรมดาที่ไร้ความกังวลแบบนี้ แต่ในความจริงแล้วมีบางอารมณ์และบางผลกระทบที่เธอเก็บกดเอาไว้ในใจ เพราะกลัวว่าพวกเขาจะกังวล เธอจึงไม่เคยบอกเล่าให้พ่อแม่หรือเพื่อน ๆ ฟังเลย
และเธอก็ไม่อาจเล่าให้เหยียนเฉียวฟังได้เหมือนกัน
“ถ้าคุณมีอะไรอยากจะเล่า”
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฟู่อวี้เดินกลับมานั่งที่เดิม ในมือถือทิชชูกล่องหนึ่งส่งให้เธอ “ถ้าคุณอยากเล่านะ”
หญิงสาวพยักหน้า น้ำตาพลันหยดลงในถ้วยบะหมี่ เธอจึงยื่นมือมาหยิบกระดาษทิชชู
สุดท้ายฟู่อวี้ก็นั่งมองเธอเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม จนกระทั่งเธอสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกครั้ง เขาก็ยังคงนั่งรออยู่แบบนั้น
“เมื่อวานซืน...ฉันเพิ่งบินจากสิงคโปร์กลับเซี่ยงไฮ้” เธอเช็ดน้ำตา มือกำทิชชูแน่น น้ำเสียงของเธอแหบแห้งเล็กน้อย “กว่าฉันจะมาถึงก็เย็นแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณแม่ของแฟนฉันที่รออยู่ด้านนอก
“ก่อนหน้านี้ฉันเห็นท่านหลายครั้ง อาจจะในงานวันเกิดของเขาหรือไม่ก็ในงานเลี้ยงธุรกิจ ฉันก็จำไม่ค่อยได้ แต่ฉันไม่เคยพูดคุยกับท่านมาก่อน ฉันคิดว่าท่านคงจะไม่ชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่”
หญิงสาวเม้มปาก เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าการเล่าเรื่องนี้ออกมานั้นไม่ได้ยากเย็นสักเท่าไหร่
“วันนั้นเมื่อท่านเห็นฉันก็เดินตรงเข้ามาดึงมือฉันอย่างโกรธเกรี้ยว บอกให้ฉันรีบออกไปจากชีวิตลูกชายของท่านให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ท่านด่าว่าฉันหน้าด้าน ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหนมาจับเหยียนเฉียว ท่านคิดมาตลอดว่าเขาคบกับฉันเล่น ๆ แล้วสุดท้ายเขาก็จะทิ้งฉันไปแต่งงานกับผู้หญิงที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเหยียนเฉียวจะบอกท่านว่าเขาจะแต่งงานกับฉัน...แน่นอนว่ายังมีคำหยาบคายอีกหลายคำ เสียงของท่านดังไปทั่ว เพื่อนร่วมงานของฉันต่างได้ยินกันหมด” หญิงสาวเล่าพลางฝืนยิ้ม “ในตอนนั้น ฉันรู้สึกโง่ไปเลย เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอเหตุการณ์อย่างนั้น”
“แล้วคุณได้ตอบท่านกลับไปไหม” ฟังจบ ชายหนุ่มก็ถามเสียงเบา
“ฉันไม่ได้พูดอะไรค่ะ” เธอสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี กลัวว่ายิ่งพูด เรื่องจะยิ่งแย่ลง สุดท้ายท่านบอกว่าให้เวลาฉันอีกหนึ่งอาทิตย์ ให้ฉันบอกเลิกเหยียนเฉียวซะ แบบนี้ละค่ะ”
ฟู่อวี้พยักหน้า “ผมว่าผมเดาเรื่องทั้งหมดออกแล้วละ เหมือนพล็อตละครสุดคลาสสิกของช่องหูหนานทีวีเลยนะครับ”
เขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนเดิม แต่เจืออารมณ์ขันและท่าทีล้อเลียน ทำให้สภาพอารมณ์ของเธอดีขึ้นทีละน้อย
“หลังจากที่คุณแม่ของเหยียนเฉียวมาหาฉันแล้ว วันต่อมาฉันก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ นินทาฉันลับหลังว่าฉันจ้องจะจับคนรวยบ้างละ เป็นมือที่สามบ้างละ ฉันเองก็รู้ว่าอาชีพนี้มีเบื้องหลังซับซ้อน เรื่องจำพวกนี้เองก็มีไม่น้อย แต่ฉันกับเหยียนเฉียวเริ่มต้นคบกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดมาเกี่ยวข้อง ฉันแน่ใจว่าตัวฉันเองไม่มีอะไรเคลือบแฝง และยิ่งแน่ใจว่าเขาก็ไม่มีเหมือนกัน”
พอถึงตรงนี้หญิงสาวหลุบตาลงพลางก้มหน้า พูดย้ำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา “ฉันมั่นใจ”
หลายปีที่ผ่านมา แม้ความรู้สึกในใจเธออาจจะยังไม่เท่ากับความรู้สึกของเหยียนเฉียว แต่เธอก็ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดเพื่อเขา หวังเพียงให้เขามีความสุข
“ฉันคิดอยู่เสมอว่าเรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อน” เธอหลับตาลงพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “ฉันกับเหยียนเฉียวคบกันไม่ได้สนใจความแตกต่างของฐานะ อาชีพ สังคม เพื่อนฝูง หรือแม้แต่ความเห็นชอบของคนในครอบครัว ฉันมั่นใจว่าที่ผ่านมาฉันมีความสุขมาตลอด แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันคงเลี่ยงไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ไม่ได้”
เธอคิดแค่เพียงว่าอยากมีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขแบบนี้ตลอดไป แต่ความเป็นจริงแล้วระเบิดถูกฝังอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหยียนเฉียวมาตั้งแต่ต้น เป็นเธอเองที่ทำตัวเหมือนนกกระจอกเทศที่เอาแต่ซุกหัวอยู่ใต้ปีก ไม่อยากออกมาพบเจอความจริง
“คนเราเกิดมา แน่นอนว่ามีบ้างบางครั้งที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด” ชายหนุ่มพึมพำ “แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะกลับมาเรียบง่ายดังเดิม อะไรที่ควรปล่อยก็ต้องปล่อย อะไรที่ควรเก็บก็ต้องเก็บ”
เวิงอวี่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว คิดตามอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
เขาไม่ได้ให้คำแนะนำเธอและไม่ได้ปลอบโยน เพียงแค่บอกอย่างสงบว่าเธอจะต้องจัดการกับความคิดของตัวเองยังไง
พอพูดมาถึงตรงนี้ แรงกดดันที่อยู่ในใจเธอหลายวันมานี้ก็ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นมาก
เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าสงบนิ่งของฟู่อวี้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เธอรู้สึกจริง ๆ ว่าตั้งแต่ได้เห็นเขาครั้งแรก ก็รู้สึกถึงความน่าเชื่อถือ สงบนิ่ง และมั่นคงของเขา
เธอแปลกใจกับทัศนคติของเขามาก
“...ขอบคุณค่ะที่ช่วยรับฟังปัญหามากมายของฉัน”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็ยกมือขึ้นขยี้ตาแดง ๆ “ข้าวมื้อนี้...ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ตอบแทนคุณเลย”
“เราเป็นเพื่อนบ้านกัน เพราะงั้นคุณยังมีเวลาตอบแทนผมอีกเยอะ”
“อ้อ ใช่แล้ว” เธอเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้บอกชื่อให้เขารู้เลย “ฉันชื่อเวิงอวี่ค่ะ ตัวเวิง[1]ที่มีตัวกงอยู่ด้านบนตัวเวิง ตัวอวี่[2]มาจาก...”
“ผมรู้แล้วครับ” เขายกมือขึ้นลูบคางช้า ๆ
เธอมองเขาด้วยความตกใจ
“ก่อนหน้านี้ผมเห็นบิลค่าน้ำของคุณที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก” คราวนี้เขามองตรงมาพลางบอกอย่างใจเย็นว่า “ในนั้นมีชื่อของคุณเขียนอยู่”
“อ้อ...” เธอพยักหน้ารับ ในใจคิดว่าเขาละเอียดรอบคอบจริง ๆ
เธอเงียบเพราะยังอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เลยไม่ทันสังเกตคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าว่าเขายกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
ตัว “เวิง” ตัวนี้ ต้องอธิบายว่ามาจากสุภาษิต “เฒ่าไช่เสียม้า[3]” ถึงจะดูดีหน่อย
[1]翁 (เวิง) ที่มีตัว公 (กง) อยู่ด้านบนตัว羽 (เวิง)
[2]แปลว่า ฝน
[3]ตัวเวิงในสุภาษิตนี้แปลว่าผู้เฒ่า เป็นสุภาษิตที่เปรียบเปรยว่า มีโชคในเคราะห์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอเล่มก่อนปีใหม่ได้มั้ยคะ