ตอนที่ 11 : 8 ไวต์คริสต์มาส (2)
กลับถึงบ้านของฟู่อวี้ก็เลยตีหนึ่งไปแล้ว
เวิงอวี่เดินอยู่ริมถนนเป็นระยะทางไกล แทนที่ตอนนี้จะเหน็ดเหนื่อย กลับรู้สึกว่ามีแค่ท้องว่าง ๆ ของตัวเองเท่านั้นที่ยังยืนยันการมีชีวิตอยู่ของเธอ
“ไก่งวงของผม...” ฟู่อวี้ล้างมือแล้วรีบยกไก่งวงที่หั่นและอุ่นร้อนออกมาจากครัว หญิงสาวลุกขึ้นรับทันที
ยามเธอเคี้ยว ลิ้นรับรสเนื้อไก่ชุ่มฉ่ำเต็มคำ ยามอยู่ต่อหน้าเขาดูเหมือนเธอจะไม่สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารสักเท่าไหร่
ฟู่อวี้นั่งมองเธอที่ในมือถือน่องไก่ ยกขึ้นกัดอย่างเอร็ดอร่อย เขาคิดอยู่ตลอดว่าเหนือใบหูเล็ก ๆ คู่นั้นของเธอมีหูยาว ๆ อีกคู่งอกออกมาและสั่นไม่หยุด
แต่กระต่ายชอบกินผักนี่นา
จริง ๆ เลย...เขาส่ายหน้า แต่ในใจกลับคิดว่าเธอช่างเหมือนเจ้ากระต่ายน้อยเสียจริง
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วต้องหลุดหัวเราะ เป็นเพราะเขานั่งอยู่ตรงข้ามเวิงอวี่ มองเธอกินเงียบ ๆ เธอจึงรับรู้ถึงลมที่พัดผ่าน เวิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา พลางเหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางแอบไว้ข้างผนัง
เขาจะต้องไปแล้ว
เวิงอวี่พลันนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้แล้ว ไม่ใช่สิ เป็นวันนี้แล้วต่างหาก อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เขาก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว
เที่ยวบินของเขาเป็นเที่ยวบินเช้า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว แต่เขายังไม่ได้นอนเลย แต่กลับไปหาเธอที่ริมแม่น้ำ แล้วพาเธอกลับมากินข้าว
ความอบอุ่นที่เอ่อท้นอยู่ในใจยังไม่ทันจางหาย หูพลันได้ยินเสียงทุ้มลึกของชายหนุ่ม “ผมยังไม่เคยให้เบอร์โทร.ของผมกับคุณเลย”
“อ้อ ใช่ค่ะ!” เธอพยักหน้า กุลีกุจอเช็ดมือด้วยกระดาษทิชชู พลางควานหามือถือในกระเป๋าเตรียมจะกด
พอเปิดโทรศัพท์ บรรดาข้อความและรายการแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับก็เด้งติดต่อกันหลายครั้ง มือของเธอสั่น ก่อนบอกตัวเองไม่ให้มองข้อความแจ้งเตือนเหล่านั้น รีบกดเข้าสร้างรายชื่อใหม่ แล้วรีบพิมพ์เบอร์โทร.ของฟู่อวี้ลงไป
หลังจากบันทึกเบอร์ของเขาเรียบร้อยแล้ว เธอก็ส่งข้อความไป เงยหน้าขึ้นมองเขายิ้ม ๆ แล้วบอก “ฉันส่งเบอร์ของฉันให้แล้วนะคะ”
“ครับ” เขามองเธอ “ไอดีวีแชต[1]ของผมใช้เบอร์นี้ลงทะเบียนไว้ คุณจะแอดมาก็ได้นะครับ
“ปกติแล้วเวลาใช้คอมพิวเตอร์ ผมจะใช้สไกป์ ไอดีสไกป์ก็เป็นชื่อของผมตรงตัวเลย”
“ค่ะ” เวิงอวี่ฟังเขาพูด “แต่ความจำของฉันแย่มาก ถ้าคุณกลับไปถึงที่โน่นแล้ว ช่วยบอกฉันอีกทีนะคะ”
เขาพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ผมจะไปยกเค้กออกมา”
เดินเข้ามาในครัวแล้ว ฟู่อวี้ยกชีสเค้กออกจากเตาอบมาวางไว้ที่เคาน์เตอร์เตรียมอาหาร ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ค่อยหันไปมองเวิงอวี่ที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก แล้วมองเบอร์โทร.ของหญิงสาวที่ได้มาเงียบ ๆ
ท่าทางของเธอที่แสดงออกมาในตอนนี้ดีมากแล้วจริง ๆ
ตอนที่เธอออกจากบ้านไปโรงแรมเมื่อตอนบ่าย เขาแอบตามเธอไปเงียบ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่มีอาการตีโพยตีพายหรือโวยวายเลย
แต่เขารู้ว่าสำหรับเธอนั้นมันยากขนาดไหนที่จะปกปิดความโศกเศร้าไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
เขาจะต้องไปแล้ว เธออยู่ตามลำพัง ธรรมดาแล้วแค่ดูแลตัวเองยังทำได้ไม่ค่อยดีเลย แล้วมาอกหักแบบนี้อีก เธอจะผ่านมันไปได้ไหมนะ
ไม่กี่วันก่อน เขามีนัดกินข้าวกับไต้จงหรู เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องของเวิงอวี่ พอไต้จงหรูรู้เข้า ในตอนนั้นคนเป็นเพื่อนได้แต่ตบไหล่เขาแล้วพูดแค่หนึ่งประโยคเท่านั้น “อาอวี้ นายปฏิเสธไม่ได้แล้วละ ครั้งนี้ฉันคิดว่านายตกหลุกรักเข้าให้แล้ว หลุมใหญ่ซะด้วย”
ก็คงจะเป็นอย่างนั้น
เขาหันกลับมายกเค้กเดินออกไป
คนที่ปกติในหัวมีแต่สมการคณิตศาสตร์ ตอนนี้กลับเริ่มใช้เวลามากขึ้นในการจดจำผู้หญิงคนหนึ่ง
เวิงอวี่นั่งนิ่ง ไม่ยอมแม้แต่ขยับตัวมองหน้าจอมือถือที่ดับไป จนกระทั่งได้กลิ่นชีสเค้กอวลอยู่ตรงหน้าถึงได้เงยหน้าขึ้น
มือวางโทรศัพท์ลง พลันยกช้อนขึ้นตักบลูเบอร์รี่ชีสเค้กเข้าปาก แล้วถอนหายใจ “ฟู่อวี้ ฝีมือคุณเนี่ย ไปเป็นปาตีซีเยได้เลยนะคะ รสชาติดียิ่งกว่าปาตีซีเยชื่อดังทำเสียอีก”
“ที่พูดเอาใจผมเนี่ย เพราะอยากได้ของขวัญคริสต์มาสใช่ไหมครับ” ฟู่อวี้นั่งลงตรงข้ามเธอ ยกมือขึ้นกอดอกแล้วหัวเราะเบา ๆ
เวิงอวี่คลี่ยิ้ม “คุณรีบเตรียมของขวัญคริสต์มาสได้แล้วค่ะ”
หญิงสาวยังคงตักเค้กกินไม่หยุด ขณะพูด “ฉันว่า...ปีนี้ฉันได้รับของขวัญคริสต์มาสแล้วละ”
เขามองสีหน้าที่มีความสุขของเธอ ไม่ได้พูดอะไร
“อร่อยมากเลยค่ะ” เธอกลืนเค้กคำสุดท้ายลงไป แล้ววางช้อนลงบนจานที่ว่างเปล่า “เรื่องในตอนนี้ยังดีกว่าการมานั่งเยาะเย้ยและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเองเหมือนคนโง่อีกค่ะ
“ตอนนั้นคุณบอกฉันว่า สิ่งที่ฉันเจอไม่ต่างจากพล็อตละครน้ำเน่าที่ฉายทางทีวีสักนิด แต่นางเอกในละครยังยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาได้ ส่วนฉัน คงต้องยอมรับกับตัวเองว่าคงไม่โชคดีขนาดนั้น”
ภายในห้องมีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่เดินอยู่ดังขึ้นเบา ๆ ภายนอกห้อง หิมะแรกของฤดูหนาวปีนี้ค่อย ๆ โปรยปรายลงมา
“เรื่องที่เจอมาตลอดสามปีนี้ฉันจำได้หมดค่ะ” น้ำเสียงของเวิงอวี่ค่อยเบาลง “ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เย็นชาและไร้หัวใจมาก
“ฉันเพิ่ง...กดลบทั้งข้อความ แชต ประวัติการโทร.ทั้งหมดตลอดสามปีนี้ทิ้งไป แต่ไฟล์รูปทั้งในมือถือและคอมพิวเตอร์ยังอยู่” ราวกับว่าหญิงสาวกำลังพูดกับตัวเอง “แต่รูปมีไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าจะลบก็คงใช้เวลาไม่นาน
“ฉันจะไม่ยอมให้เขาโทร.หาฉันอีก” เธอส่ายหน้า นัยน์ตาเริ่มแดง” ความจริงแล้วฉันไม่โกรธหรือเกลียดเขาหรอกค่ะ ฉันได้แต่หวังว่าตัวเองจะลืมเรื่องราวทั้งหมดได้โดยเร็ว”
เธอเป็นคนหัวช้า คงปล่อยให้เรื่องราวต่าง ๆ ค่อย ๆ เลือนไปมากกว่าจะทำให้หายไปในทันที
เวิงอวี่รู้สึกว่าสายตาของเธอยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งพร่ามัว
เธอเสียใจมานานขนาดนี้ เธอเคยคิดว่าจะใช้รอยยิ้มพาตัวเองให้ผ่านพ้นไปได้ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องใช้น้ำตาเพื่อพาตัวเองให้ผ่านพ้นมันไปให้ได้
ภายในห้องรับแขกที่เคยเปิดไฟสว่างไสว ตอนนี้ไฟดับลงแล้ว
แม้รอบตัวจะมืดมิด แต่เวิงอวี่ก็ยังรับรู้ว่าฟู่อวี้เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบหัวเธอ
ฝ่ามือที่ทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่นของเขาราวกับจะบอกเธอว่า เธอสามารถร้องไห้ออกมาได้ท่ามกลางความมืดมิด
ต่อหน้าเขา หญิงสาวมักจะเปิดเผยอารมณ์ที่เก็บซ่อนไว้ และมักจะทำตัวตามสบายเสมอ ในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะร้องไห้น่าเกลียดสักแค่ไหนหรือเจ็บปวดใจสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร
สุดท้ายแล้วน้ำตาของเธอก็ “รินไหล” ออกมาจากหัวตา แล้วค่อย ๆ หยดลงบนหลังมือ
จากเสียงสะอื้นเบา ๆ ในตอนแรก สุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้โฮอย่างหนัก เธอรู้สึกตัวตลอดว่าตัวเธอกำลังพิงเอวของเขา นิ้วมือกำกางเกงของเขาเอาไว้แน่นราวกับพยายามไขว่คว้าขอนไม้ท่อนสุดท้ายที่ลอยมา ผ้าฝ้ายที่เธอกำอยู่ให้ความรู้สึกสาก แต่กลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจ ฝ่ามือของเขาที่เคยลูบศีรษะเธอก็เปลี่ยนมาเป็นลูบหลังให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ในโลกนี้มักจะมีคนแบบนี้อยู่ คนที่ไม่เคยพูดกับเธอเลยแม้แต่คำเดียว แต่เธอกลับได้ยินเสียงของเขา
ตอนนี้เธออยากให้เวลาเดินช้าลง และขอให้คนที่เข้าใจเธอเสมอคนนี้อยู่ข้างกายเธอต่อไปนาน ๆ
ขอให้เธอได้อิงแอบเขาอีกสักหน่อยเถอะ เพราะเธอไม่เคยปล่อยความรู้สึกอย่างอิสระแบบนี้กับใคร นอกจากพ่อแม่ของเธอ
…ขออีกแค่นิดเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว
สิ่งเดียวที่เธอทำคือร้องไห้และร้องไห้ ความรู้สึกของเธอก็เลือนรางเช่นกัน กระทั่งเวิงอวี่รู้สึกตัวอีกครั้ง ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยแสงตะวันที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา
เมื่อขยับตัวก็พบว่าเธอนอนอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ บนตัวของเธอมีผ้าห่มขนสัตว์ผืนหนาคลุมอยู่ ฮีตเตอร์ในห้องยังคงทำงาน ทำให้ไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
กี่โมงแล้ว ฟู่อวี้ไปแล้วเหรอ
ในใจของเธอว่างโหวง พลางยันตัวขึ้นนั่งแล้วก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
เที่ยงแล้ว
กระเป๋าเดินทางที่เคยวางอยู่ข้างผนังไม่อยู่แล้ว ซากไก่งวงและเค้กบนโต๊ะถูกเก็บและเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อย ในห้องทั้งเงียบและสว่าง นอกจากเธอแล้วก็เหมือนว่าจะไม่มีคนอื่นอีก
เวิงอวี่ลุกจากโซฟา ขยี้ตาเล็กน้อย ไม่รอช้าที่จะออกสำรวจห้องต่าง ๆ รอบหนึ่ง
เขาไปแล้วจริง ๆ
เมื่อคืนที่เธอร้องไห้โฮต่อหน้าเขา ชายหนุ่มไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้เธอร้องไห้จนผล็อยหลับไป
เขาทำอะไร ๆ ให้เธอมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่ช่วยเธอที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วยังรับฟังปัญหาของเธอ จากนั้นก็ช่วยดูแลเธอตอนไม่สบาย ทำเค้กที่เธอชอบให้กิน แล้วพาเธอกลับบ้านที่แสนอบอุ่น
เขาทำให้เธอมีความสุข จูงมือเธอก้าวผ่านความเศร้าโศก
เขาใช้วันหยุดช่วงสั้น ๆ ของเทศกาลคริสต์มาสมาทำให้เธอเคยตัว แล้วก็บอกลาไปอย่างรวดเร็ว
วันเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านไปนี้คล้ายช่วงเวลาพิเศษที่ซานตาคลอสมอบให้เธอ
ยิ่งคิด ในใจก็ยิ่งเศร้า เธอหมุนตัว อยากจะเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าให้สดชื่นสักหน่อย แต่กลับเห็นว่าบนโต๊ะมีอะไรบางอย่างวางอยู่
เดินเข้าไปดูก็พบว่าเป็นกระดาษหนึ่งแผ่นกับกุญแจห้อง
กุญแจพวงนี้หวังว่าคุณจะช่วยเก็บรักษาไว้ให้ผมนะครับ ไว้ผมกลับมาคราวหน้า คุณค่อยเอามาคืน
ผมดีใจที่ได้รู้จักคุณ ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นคิดว่าครั้งหน้าที่เราจะพบกันก็คงจะไม่นานนัก
ฟู่อวี้
สมกับเป็นเขา
หญิงสาวหยิบกุญแจห้องของเขามาถือไว้ในมือ อดยิ้มไม่ได้
ใช่แล้ว เวลามักจะเดินเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ต้องทิ้งความเศร้าไป เวลาที่จะพบกันใหม่อีกไม่นานก็จะมาถึง
หลังจากใช้กุญแจล็อกประตูห้องของเขา เธอก็ยืนนิ่งอยู่ตรงโถงทางเดิน รู้สึกราวกับว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่างไป
เมื่อวานเป็นวันคริสต์มาสอีฟ วันนี้ก็ต้องเป็นวันคริสต์มาสน่ะสิ
ใช่แล้ว…วันคริสต์มาส
เธอตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ เพิ่งนึกออกว่าวันนี้มีนัดกับเฉินหานซิน คิดแล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเบอร์ของเฉินหานซินในสายที่ไม่ได้รับหลายครั้ง
ซวยอะไรอย่างนี้ เธอสายไปชั่วโมงกว่าแล้ว
เมื่อนึกถึงภาพที่เพื่อนสนิททั้งบ่นทั้งสอนเธอ แต่เธอยังยืนหัวยุ่ง ดวงตาแดงก่ำ เสื้อผ้าก็ไม่ทันได้เปลี่ยน ฟันก็ไม่ทันได้แปรง ก็รีบออกไปยังสปาที่นัดเพื่อนไว้ทันที
แจ้งชื่อของเฉินหานซิน พนักงานก็เดินนำเธอไปยังห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง
หญิงสาวเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องก็เห็นผู้หญิงสองคนนอนเปลือยกายคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนวดสองเตียง และเมื่อทั้งคู่ได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันมาดู ทำหน้าโกรธใส่เธอ
“เธอมาสาย” เฉินหานซินมองเวิงอวี่ “หน้าเธอแย่ยิ่งกว่าแตงกวาดองซะอีก”
เวิงอวี่เดินเข้าไปนั่งที่โซฟาพักผ่อนที่วางอยู่ใกล้ ๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “…ขอบใจสำหรับคำชม”
“อย่าบอกนะว่าเมื่อวานกว่าเธอจะรบราจนได้กินอาหารเย็นมื้ออร่อย มันรุนแรงขนาดนั้น” สาวสวยอีกคนถามต่อทันที
“ไม่น่าจะใช่นะ เธอยังสาว ยังอยู่ได้อีกนาน”
“เธอเป็นเสียวอวี่รึไง” เฉินหานซินยิ้มเย็น หันมามองเวิงอวี่ “ตอนนั้นเธอเพิ่งอกหักนี่นา น่าจะต้องนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำใช่ไหม”
“เฉินหานซิน เจิ้งอวิ้นจือ…” อารมณ์ที่ยังไม่ค่อยจะสงบนักถูกกวนขึ้นมาใหม่โดยสองเพื่อนซี้สมัยเด็กของเธอ “ฟังคำปลอบใจของพวกเธอสองคนแล้วมันน่ากลัวมากกว่าถูกคนอื่นตีซะอีก”
“แล้วใครเป็นคนปลอบเธอล่ะ” เจิ้งอวิ้นจือหรี่ตามองมาอย่างน่าเกลียด “ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ประเภทที่รีบเลิกแล้วต้องรีบหาใหม่หรอกหรือ”
“ฉันได้ยินอิ้นชีเล่าว่า เย็นวานนี้เหยียนเฉียวดื่มหนักจนเมา ยืนยังไม่ตรงเลย แล้วคู่หมั้นที่เพิ่งหมั้นกันไปก็ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ” เฉินหานซินลูบผมของตัวเองไปมา “สะใจซะไม่มี”
“ฉันว่าผู้ชายคนนั้นน่ะ ไม่มีทางจะลืมยายปีเตอร์แพนลงตลอดชีวิตแน่” เจิ้งอวิ้นจือพูดต่อ “ทำหน้าที่เป็นแพะบูชายัญให้คนในครอบครัว ยังไงก็หนีไม่พ้น”
เฉินหานซินยักคิ้วแล้วพูดว่า “ความผิดใหญ่ที่สุดของเขาก็ผิดตรงที่มักมาก ทั้งอยากจะรักษาหน้าตา ชื่อเสียง แล้วยังอยากหลอกยายปีเตอร์แพนอีก”
หญิงสาวนั่งฟังเพื่อนสองคนคุยกันที่โซฟา แต่ทั้งหมดราวกับจะเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา
เฉินหานซินและเจิ้งอวิ้นจือคุยกันอีกสักพัก ถึงรู้ตัวว่าสายตาของเวิงอวี่คล้ายจะทอดมองไปในความว่างเปล่า เจิ้งอวิ้นจือถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนพลิกตัวลงจากเตียง หยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาห่อตัว แล้วยื่นมือมาจิ้มหน้าผากเวิงอวี่อย่างแรง
“...เจ็บนะ” เวิงอวี่เจ็บจนน้ำตาไหล เจิ้งอวิ้นจือมองเวิงอวี่ด้วยสายตาบีบคั้น ไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย “อย่ามัวแต่จำ ๆ ๆ ไม่ยอมลืม คนเรามันต้องมองไปข้างหน้าย่ะ”
“พอแล้ว จือจือมานี่เลยมา” เฉินหานซินที่เดินมาสมทบดึงตัวเจิ้งอวิ้นจือไปอีกด้าน “ก่อนอื่นเธอต้องจัดการเรื่องของตัวเอง แล้วก็ปัญหาของมู่ซีให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาสอนคนอื่น”
เจิ้งอวิ้นจือที่ถูกเหยียบย่ำด้วยความเจ็บปวดร้อง “เชอะ” แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำทันที เฉินหานซินสวมเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ เวิงอวี่ พลางยื่นมือมาตบไหล่เพื่อนเบา ๆ
“ฉันไม่เป็นไร” เวิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นเพื่อนแล้วถาม “ที่พวกเธอพูดกัน ฉันยังไม่ทันได้ถามเลยว่าพวกเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกับเหยียนเฉียวเลิกกันแล้ว”
เฉินหานซินมองเวิงอวี่อย่างอารมณ์เสีย “เธอก็ซื่อบื้อแบบนี้ตลอด ถ้ารอให้เธอเล่าเอง พวกฉันไม่ต้องรอจนถึงปีหน้าเลยรึไงยะ ตั้งแต่ที่ฉันบังเอิญเห็นเหยียนเฉียวที่บาร์วันนั้น ฉันก็จับตามองเขามาตลอดแล้วย่ะ จนเห็นเขาจัดงานหมั้นขึ้นเมื่อวาน ฉันก็เดาได้แล้วว่าเธอต้องบอกเลิกเขาแน่ ๆ”
“อ้อ” เวิงอวี่พยักหน้า
“แล้วเธอจะใจอ่อน กลับไปคบกับเขาอีกไหม” เฉินหานซินจ้องตาเวิงอวี่ “แม้ฉันจะยินดีถ้าเห็นเธอมีความสุขก็เถอะ แต่ฉันไม่อยากให้เธอกลับไปคบกับคนแบบนั้นเลย”
เวิงอวี่เงียบไปสักพักก่อนตอบ “คงไม่แล้วละ”
เฉินหานซินรู้สึกมึนงงและดูประหลาดใจจนเห็นได้ชัด “จริงเหรอ”
เวิงอวี่สูดหายใจลึก “สุดท้ายแล้วเราสองคนก็อยู่กันคนละโลก ถ้าอยู่ด้วยกันก็คงจบแบบเดิมอยู่ดี”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอถึงยังจำคำพูดของฟู่อวี้ที่เคยบอกเธอในตอนแรกได้ แม้จะต้องผ่านประสบการณ์ที่ขมขื่นก็สามารถเติบโตได้ ดังนั้นเธอจะเดินไปข้างหน้าพร้อมกับรอยแผลนี้ แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดี
หญิงสาวคิดว่าการที่เธอเลิกกับเหยียนเฉียวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้เธอยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวก็ตามที
เฉินหานซินรู้ว่าเธอเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายและใจอ่อน เธอบอกเลิกเหยียนเฉียวครั้งนี้ แม้จะเจ็บปวดใจ แต่ก็เด็ดขาดจนคนอื่น ๆ แปลกใจ
“ยายปีเตอร์แพน เธอบอกฉันตรง ๆ ได้ไหม” เฉินหานซินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถามคล้ายรู้ทันว่า “เธอหาบ้านหลังใหม่[2]ได้แล้วใช่ไหม”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

67 ความคิดเห็น
-
#54 vpcok_a (จากตอนที่ 11)วันที่ 11 มีนาคม 2562 / 09:27อิจฉานางเอกจังๆ#540