ตอนที่ 10 : 7 ไวต์คริสต์มาส (1)
เวิงอวี่พูดจบก็ได้แต่รีบเดินออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว ไม่ยอมหันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย
ขณะวิ่ง ทรวงอกของเธออึดอัดไปหมด ลมหายใจติดขัด คำพูดของเขาดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในหัว ทำให้หัวใจที่อ่อนแอของเธอเย็นเยียบ
สุดท้ายเธอก็รู้แล้วว่าในใจของเขาหวังว่าเธอจะยอมเป็นของประดับข้างกายเขาตลอดไป
ความสุขและความทุกข์ของเธอเขาไม่สนใจอย่างจริงจัง คิดแค่ว่าทำให้ชีวิตของเธอสบายขึ้น และนี่เป็นสิ่งที่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่จะให้เธอได้
แค่ลาออกจากงาน ก็สามารถแต่งงานกับเขาได้แล้วหรือ
หญิงสาวนึกถึงตอนที่คุณแม่ของเขามาหาเธอด้วยท่าทีดูถูก แล้วยังบ่ายวันนี้เซี่ยงเหมิงที่แม้พูดด้วยความสุภาพ เป็นกันเอง แต่ทุกประโยคก็แฝงความเย้ยหยัน
ด้วยความคิดและครอบครัวแบบนี้ เธอเองคงทนได้ไม่นานนักหรอก
กว่าเวิงอวี่จะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว เธอลงจากแท็กซี่ เดินเข้าหมู่บ้านด้วยสีหน้ายับยุ่ง
ตอนที่เดินมาถึงประตูห้อง โถงทางเดินหน้าห้องเงียบสงบ เธอหยิบมือถือออกมาเปิดไฟฉายเพื่อหากุญแจห้อง แต่กลับเห็นกล่องใบหนึ่งวางอยู่บนพื้นหน้าห้องของเธอ
เธอก้มลงหยิบกล่องใบนั้นแล้วเดินเข้ามาในห้อง เปิดสวิตช์ไฟแล้วเปิดกล่องออกดูพบว่าเป็นบราวนี่ช็อกโกแลตฝีมือของฟู่อวี้ที่เธอยังกินไม่หมดเมื่อบ่าย
ในกล่องยังมีกระดาษอีกแผ่น หญิงสาวหยิบขึ้นมาดู ในใจคล้ายกับมีคลื่นโถมซัดเข้าใส่
“ถึงแม้เรื่องราวต่าง ๆ จะแสนเจ็บปวดสักแค่ไหน แต่ก็ทำให้เราเติบโตขึ้น ขอเพียงยืนหยัดเผชิญหน้าและยอมรับผลของมัน แล้วเราจะได้เรียนรู้ว่าภายหลังเราควรจะเดินต่อไปยังไง”
คำพูดที่แสนจะคมคายและงามสง่าคล้ายกับตัวตนของเขา
คำสอนของเขาถึงจะสั้น แต่ก็มีพลังมหาศาล ไม่เคยมีอคติกับอารมณ์และการแสดงออกของเธอ มักจะเป็นการชี้แนะเธอเสมอ
ในมือของเธอยังถือกระดาษแผ่นนั้น ในหัวคิดสับสนวุ่นวาย สุดท้ายหญิงสาวก็หลับพับไปกับโซฟานั่นเอง
หลายวันผ่านไป เหยียนเฉียวก็ยังไม่ติดต่อกลับมา
เธอรู้สึกสบายใจขึ้น คำพูดที่บาดลึกแบบนั้น เขาคงคิดไม่ถึงมาก่อนว่าจะได้ยิน
ก็จะให้เธอทำยังไงได้ล่ะ เมื่อตัดสินใจก้าวจากมาแล้ว แม้จะต้องยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความหวาดหวั่น แต่เธอจะไม่มีวันหันหลังกลับไป
ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เธอจะพักผ่อนให้ชุ่มปอดไปเลย
อากาศยิ่งนับวันก็ยิ่งหนาว ความจริงแล้วหญิงสาวไม่ได้อยากออกนอกบ้านตอนนี้ เธอควรจะอยู่ในบ้าน นั่งรอพระอาทิตย์ตก แต่เธอหิวจนทนไม่ไหวแล้ว และในบ้านก็ไม่มีอะไรที่กินได้เหลืออยู่เลย เธอจำใจหยิบเสื้อโค้ตมาใส่ แล้วเดินลงมาซื้อของกินที่ซูเปอร์มาร์เก็ตด้านล่าง
ขณะที่เวิงอวี่ถือตะกร้าเดินเลือกของอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็บังเอิญหันไปเห็นแผ่นหลังคุ้นตา เขากำลังหยิบของจากชั้นวางตรงหน้า เธอรีบเดินเข้าไปหาแล้วเรียกเขาเสียงดัง “ฟู่อวี้”
ชายหนุ่มที่ถือขวดแยมอยู่หันมามองแล้วส่งยิ้มให้ “ในบ้านไม่มีของกินแล้วใช่ไหมครับ”
ฟู่อวี้มักจะเดาเรื่องรอบตัวของเธอได้ถูกทุกครั้ง เธอเกาหัวนิด ๆ พลางเบะปาก “ฉันเป็นคนขี้เกียจค่ะ ฉันยอมรับ...”
เขาพยักหน้าพลางวางขวดแยมลงในตะกร้า “ไปครับ เราไปช่วยกันเลือกซื้อของดีกว่า ผมก็ต้องไปแผนกอาหารสดเหมือนกัน”
ทั้งสองคนเดินคุยกันไปจนถึงแผนกอาหารสด หญิงสาวเห็นไก่งวงวางอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็เดินไปไม่ถึงสักที ใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว เธออยากกินอาหารให้เข้ากับเทศกาลสักหน่อย
“คุณแค่คนเดียว ถึงแม้จะกินเยอะขนาดไหน ก็คงกินคนเดียวไม่หมดทั้งตัวหรอกครับ” ฟู่อวี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอพูดขึ้น
“ก็จริง...” เวิงอวี่ลูบคางพลางครุ่นคิด “ถ้างั้นซื้อแค่น่องไก่งวงสักขาน่าจะพอ”
เดินไปถึงชั้นวาง เธอก็ร้องสั่งพนักงานทันที พนักงานบอกว่าน่องไก่งวงหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ไก่งวงทั้งตัวเท่านั้น
เวิงอวี่ฟังแล้วหน้าม่อย สั่งแค่หมูย่างเท่านั้น ส่วนฟู่อวี้เลือกหยิบปลาแซลมอน แล้วซูซิอีกนิดหน่อย จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปจ่ายเงินด้วยกัน
“วันนี้เป็นคืนวันคริสต์มาสอีฟ คุณไม่กินข้าวกับที่บ้านหรือคะ” เดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว เวิงอวี่เพิ่งจะนึกได้จึงถามขึ้น
หญิงสาวรู้แล้วว่าเขามีน้องสาวคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าครอบครัวของเขาอยู่ในเซี่ยงไฮ้ด้วยไหม
“คุณพ่อคุณแม่ผมทำงานอยู่ที่ปักกิ่งครับ” เขาตอบ “น้องสาวก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเหมือนกัน ความจริงผมบินไปหาพวกเขาได้ แต่เพราะคราวนี้ผมต้องกลับอังกกฤษเร็วหน่อยเลยไม่ได้บอกพวกเขาน่ะครับ
“พรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว” เขามองเธอพลางบอก
เวิงอวี่ฟังแล้วใจ “เต้นตึ้กตั้ก”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอพูดเสียงเบา “...เร็วจังเลยนะคะ”
“ครับ ดูเหมือนว่าจะมีสมการที่ยังแก้ไม่ออก สุดท้ายเลยต้องกลับไปช่วยกันคิด” ฟู่อวี้มองหน้าเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “ผมเลยต้องกลับเร็วกว่าทุกปี”
“คุณคงลำบากแย่” เธอหยุดคิดถึงอาการวูบโหวงในใจ เงยหน้าขึ้นมองเขา “อยากให้ฉันไปส่งไหมคะ”
“ผมบินไฟลท์เช้า ไปเองจะสะดวกกว่าครับ” เขาบอก “ต้องตื่นเช้าขนาดนั้น รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณเปล่า ๆ”
หญิงสาวพยักหน้าพลางถอนหายใจ “หายากจริง ๆ ที่รอบตัวฉันจะมีคนที่ทำขนมเค้กได้อร่อยขนาดนี้ แต่ฉันก็คงจะทำอะไรไม่ได้ ถ้ายังงั้นไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะคะ”
“หวังว่าตอนผมกลับมาคราวหน้า จะไม่กลับมาแล้วพบว่าคุณขี้เกียจจนหิวตายไปแล้วนะครับ” ต่างคนต่างเดินแยกไปที่ห้องของตน ชายหนุ่มเปิดประตูแล้วหันมามองเธออีกครั้ง “ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ”
“คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ รีบกลับไปคุยธุระกับเพื่อน ๆ นักคณิตศาสตร์ของคุณเถอะ” หญิงสาวยิ้มพลางโบกมือให้ “ฟู่อวี้ ขอบคุณนะคะ”
“สุขสันต์วันคริสต์มาสค่ะ”
เสียงบอกลาของเธอช่างผ่อนคลาย เธอกลับไม่รู้ตัวว่าสายตาที่เขามองเธอซ่อนประกายบางอย่าง
หลังจากเข้าบ้านและกินอะไรไปนิดหน่อยแล้ว หญิงสาวก็คิดจะโทร.หาพ่อกับแม่
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นข้อความหนึ่งที่เหยียนเฉียวส่งมา
เธอค่อย ๆ อ่านข้อความทั้งหมด ในใจพลันมีความรู้สึกหลายอย่างปนกันยุ่ง นิ้วมือที่วางบนหน้าจอชะงักไปนาน ไม่รู้ว่าจะตอบกลับยังไงดี สุดท้ายก็ได้แต่วางมือถือลง แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
ไม่รู้ว่านั่งอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ ก็มีข้อความถูกส่งเข้ามาในมือถือ
เธอหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความที่เพิ่งเข้ามา กัดริมฝีปากแล้วนิ่งไปนาน จากนั้นเวิงอวี่ลุกขึ้นหยิบเสื้อกันหนาวกับกุญแจแล้วรีบเดินออกจากบ้านไป
คำพูดของฟู่อวี้ยังดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของเธอ
ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เธอก็ควรจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับมัน
เวิงอวี่ต้องไม่กลัว
เมื่อแท็กซี่มาถึงโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ในย่านผู่ตงลู่เจียจุ่ย[1] เวิงอวี่เดินเข้าไปในโถงของโรงแรม ก็เห็นป้ายบอกทางไปห้องจัดเลี้ยง
ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ลมหายใจถี่กระชั้นตามจำนวนที่ก้าวเดิน เธอรู้สึกว่าแต่ละก้าวนั้นช้าลงเรื่อย ๆ
ภายในใจที่สะสมความขลาดกลัวมาเนิ่นนานของเธอไม่เคยคิดอยากจะพิสูจน์จุดจบของเรื่องนี้
พอเดินพ้นมุมตึกมา สุดท้ายเวิงอวี่ก็เห็นเหยียนเฉียวและเซี่ยงเหมิงกำลังยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง
แล้วยังเห็นว่าเซี่ยงเหมิงสวมชุดราตรีสีขาว ยืนโดดเด่นอยู่ข้างกายเหยียนเฉียว ดูสวยงาม นุ่มนวล และอ่อนหวาน ส่วนเหยียนเฉียวนั้นในมือถือแก้วที่ยกขึ้นดื่มบ่อยครั้ง พลางพูดคุยกับแขก
นี่เป็นข้อความที่สองที่เซี่ยงเหมิงเพิ่งส่งมาบอกเธอ พูดได้แค่ว่าภาพงานหมั้นของพวกเขาตรงหน้าของเธอนั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด บอกให้เธอรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่เหมาะสมกันแค่ไหน
ระยะห่างแค่สิบเมตรที่เธอเห็น แต่ราวกับห่างไกลกันคนละโลก
เวิงอวี่ยืนมองภาพนั้นอยู่พักหนึ่งก็ยกโทรศัพท์ขึ้นกดไปยังหมายเลขหนึ่ง
ในสายตาของเธอ เหยียนเฉียวยกมือถือขึ้นมาดู แล้วปลีกตัวจากข้างกายของเซี่ยงเหมิง เดินมายืนอยู่ที่ว่างมุมหนึ่ง รอยยิ้มงดงามอบอุ่นของเซี่ยงเหมิงพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นอึดอัดและว่างเปล่า
“เสียวอวี่” หูของเธอได้ยินน้ำเสียงประหลาดใจของเหยียนเฉียวดังมาตามสาย “ในที่สุดคุณก็โทร.หาผม คุณไม่ยอมตอบข้อความของผมเลย ผมเป็นห่วงคุณมากนะครับ
“คราวก่อนผมไม่ดีเอง ใจร้อน กดดันคุณมากไป แถมยังทำให้คุณกลัว” เขาพูดอย่างอ่อนโยน “ผมรอคุณได้นะครับ นานแค่ไหนก็รอได้”
เวิงอวี่ฟังคำพูดของเขาแล้วหลับตาลง หันหลังกลับ เดินไปยังบันไดเพื่อลงไปชั้นล่าง
“ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ เสียวอวี่”
“เหยียนเฉียว” หญิงสาวถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ตอนนี้คุณทำงานอยู่หรือคะ”
ปลายสายเงียบไปหลายวินาทีก่อนตอบ “ใช่แล้ว งานตอนปลายปีก็เยอะแบบนี้แหละ ถ้าผมจัดการงานพวกนี้เสร็จแล้วจะรีบไปหาคุณนะครับ
“คุณอยากกินขนมอะไร ผมติดต่อปาตีซีเย[2]ไว้แล้ว พวกเขาพร้อมจะทำให้ครับ”
บันไดแค่สองชั้น เธอกลับใช้เวลาเดินลงมานานเหลือเกิน
เดินมาถึงโถงของโรงแรม ภายนอกต่างก็ประดับประดาไปด้วยไฟในคืนวันคริสต์มาสอีฟ หญิงสาวหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดิน เอ่ยเสียงเบา “จะมีจริง ๆ หรือคะ เค้กน่ะ”
เหยียนเฉียวคิดว่าเธอกำลังงง จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ต้องมีสิครับ ผมเคยโกหกคุณที่ไหนกัน”
เวิงอวี่ทอดสายตามองต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่หน้าประตูโรงแรม คนที่เดินผ่านไปมาหยุดถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสนี้ไม่น้อย สายรุ้งสีเงินที่ประดับอยู่ยิ่งขับเน้นบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสยิ่งขึ้น
จำได้ว่าวันคริสต์มาสอีฟของปีที่แล้ว เขาเตรียมเค้กก้อนใหญ่ แต่งหน้าเค้กด้วยตุ๊กตาหิมะตัวจิ๋วและน้ำตาลไอซิ่งไว้ให้เธอ ทำให้เธอมีความสุขมาก ยังมีคืนวันคริสต์มาสอีฟของปีก่อน เขาเชิญปาตีซีเยให้มาทำมาการอง จากนั้นก็จัดเรียงเป็นภูเขามาการองยักษ์ ทั้งยังจัดการสะสางงานต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ เพราะอยากใช้เวลานั้นร่วมกับเธอ
แม้เธอจะเป็นคนหัวช้า แต่เรื่องราวในหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ทำให้เธอรู้สึกรู้สามากขึ้นด้วย
เขามักบ่นเธอมาตลอดว่า สำหรับเธอแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อเขาหยุดอยู่ในขั้นเริ่มต้นเสมอมา แต่กลับไม่รู้ว่าถึงแม้เธอจะหัวช้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกของเธอจะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่เรื่องพวกนี้คงไม่สำคัญอะไรแล้ว
จะเป็นเรื่องโกหกจริง ๆ ก็ดี จะมีเจตนาอยากจะรักษาความรู้สึกของเธอก็ดี หรือพยายามจะหันหลังกลับก็ดี สุดท้ายความรักตลอดสามปีของเธอก็กลายเป็นเรื่องล้อเล่น และควรจะเดินไปถึงจุดจบอย่างที่ควรจะเป็นสักที
“เหยียนเฉียว”
“ครับ?”
“เราเลิกกันเถอะค่ะ”
พอพูดจบ หญิงสาวก็ตัดสายทันที โยนมือถือลงในกระเป๋าถือก่อนมุ่งหน้าเดินออกจากโรงแรมไป
เวิงอวี่เดินทอดน่องไปตามถนนอย่างไร้จุดหมายและไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางผู้คนที่อยู่กับครอบครัวในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เดินผ่านคู่รักคู่แล้วคู่เล่า สมกับเป็นเทศกาลแห่งการรวมญาติ แม้จะเป็นเทศกาลของชาวตะวันตก แต่ก็มีผลกับคนจีนไม่น้อย
จนกระทั่งเดินมาถึงเขตปินเจียง
ในแม่น้ำหวงผู่[3]มีเรือท่องเที่ยวที่ประดับประดาไฟอย่างสวยงาม ผืนน้ำใต้ฟ้ากว้างส่องประกายระยิบระยับ เวิงอวี่ยืนพิงราวกั้นอยู่เพียงคนเดียว และเสียงรอบกายของเธอก็คล้ายจะเลือนราง
เมื่อคิดกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง ขาของเธอก็อ่อนแรงลงเพราะยืนมานาน หญิงสาวขยับตัว พลันเงยหน้าขึ้นเห็นฟู่อวี้ที่ยืนอยู่ห่างจากเธอไปไม่ไกลนัก
สายตาที่เขามองเธอเงียบ ๆ นั้นเปล่งประกายระยิบระยับราวกับพรายน้ำในแม่น้ำ
เวิงอวี่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าชายหนุ่มปรากฏตัวที่นี่ ตอนนี้ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ดูเหมือนว่าในหัวของเธอจะรับรู้แค่ว่าเขามักจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอเมื่อเธอรู้สึกอับอายหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
หญิงสาวมองฟู่อวี้ที่ยกมือขึ้นปลดผ้าพันคอของตัวเองออกแล้วค่อย ๆ คล้องลงที่ลำคอเปลือยเปล่าของเธอ
ผ้าพันคอผืนนี้มีกลิ่นหอมสะอาดจากตัวเขา ขับไล่ความหนาวเย็นให้หมดไป หญิงสาวรับรู้ผ่านลมหายใจที่สูดเข้าไป ทำให้เธอรู้สึกวางใจ
เปรียบดังเรือที่ลอยอยู่กลางลำน้ำเพียงลำเดียวได้แล่นเข้าเทียบท่า ได้ปลดเปลื้องทุกความเหนื่อยล้าและความรู้สึกทั้งมวลทิ้งไป
“หนาวจังค่ะ” เธอเป่าลมใส่มือแดง ๆ ของตัวเองพลางถูมือไปมา คลี่ยิ้ม แล้วพูดกับเขา “แล้วก็หิวมากด้วยค่ะ
“ฉันอยากกินไก่งวงกับขนมเค้กค่ะ
“เมื่อก่อนในวันคริสต์มาสฉันจะได้กินเค้กอร่อย ๆ ทุกปีเลย” หญิงสาวบอกตัวเอง พลางเอนตัวพิงราวกั้นแล้วทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น “หลังจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว
“ฉันยืนมาสักพักแล้ว เหนื่อยจังค่ะ”
ตอนเด็ก ๆ เธอเลือกจะร้องไห้เมื่อเสียใจ แต่พอโตขึ้นแล้วกลับต้องยิ้มทั้งที่กำลังเสียใจ
เวิงอวี่คิดว่าต่อให้เธออยากจะร้องไห้ตอนนี้ก็คงร้องไม่ออก แม้ในใจของเธอจะเศร้าแค่ไหน
“ฉันอยากไปจากตรงนี้แล้วล่ะค่ะ” เธอชันเข่าขึ้นมากอดเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองฟู่อวี้ “อยากไปให้ไกลจากที่นี่”
สัญชาตญาณของคนขี้ขลาด เมื่อใช้ความกล้าไปหมดแล้วก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล
ฟู่อวี้ก้มลงมองใบหน้าซื่อ ๆ ของเธอครู่ใหญ่ก็ลดตัวลงนั่งข้าง ๆ
“เคยมีเพื่อนบอกผม” เขาว่าพลางยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ
“ชีวิตของคนเรามีครึ่งหนึ่งที่ชวนให้หวนคิดถึง แต่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป หลังจากที่คุณเตรียมตัวจนพร้อมแล้วก็ออกเดินต่อ ถ้าเหนื่อยนักก็หยุดพักก่อน”
หญิงสาวรับรู้ถึงฝ่ามืออันอบอุ่นอ่อนโยนที่ลูบผมของเธออยู่ ช่างตรงข้ามกับความหนาวเย็นรอบกายของเธอจริง ๆ
แม้เวลาจะผ่านไป แต่เธอก็ยังคงอยากได้รับความอบอุ่นแบบนี้ เธอยังคงโหยหามือคู่นี้ที่คอยดึงเธอให้กลับมาซุกตัวอยู่ในความอุ่นสบายนี้ทุกครั้งที่เธอพบเจอปัญหา
“ฉันอยากกินไก่งวงค่ะ” ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอพูดเสียงแผ่วเบา
“ผมซื้อไว้แล้วครับ ทั้งตัวเลย” เขายกยิ้มที่มุมปาก “กินไม่หมดก็ไม่เป็นไร”
“อยากกินเค้กด้วยค่ะ”
“บลูเบอร์รี่ชีสเค้กร้อน ๆ ยังรออยู่ในเตาอบครับ”
สุดท้ายความรู้สึกขื่นขมก็วิ่งจากหัวใจขึ้นไปยังจมูกของเธอ หญิงสาวมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้นที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมองมาอย่างปรานีเสมอ “ฉันอยากกลับบ้านแล้วค่ะ”
“ถ้างั้นเรากลับบ้านกันเถอะ” เขายื่นมือมาให้เธอท่ามกลางเสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนที่ดังก้องไปทั่วไว่ทาน “ไม่ว่าคุณอยากไปที่ไหน ผมก็จะไปส่งคุณครับ
“สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ เสียวอวี่”
[1]เขตเมืองใหม่ของเซี่ยงไฮ้ รายล้อมไปด้วยตึกสูงรูปทรงแปลกตา
[2]หัวหน้าเชฟขนมอบ
[3]เป็นแม่น้ำที่ผ่ากลางนครเซี่ยงไฮ้ แบ่งตัวเมืองออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กรี้ดดดดดดดด ณตรงนี้ขอยอมตายแทบเท้าพี่อวี้ ใจละลาย