ตอนที่ 21 : 3.8 ใจสื่อถึงใจ
“มีเพคะ!” หลันเยียนหยิบปิ่นปักผมทองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วพูดกับซูอิ่งว่า “ปิ่นนี้บ่าวแอบคว้ามาได้ตอนที่คุณหนูจับตัวบ่าวไว้ ยามนี้ท่านบิดพลิ้วไม่ได้แล้ว”
ทุกคนต่างมองปิ่นผีเสื้อทองชิ้นนั้น และในกลุ่มคนนั้น แววตาของใครคนหนึ่งเริ่มกระวนกระวาย ใครคนนั้นก็คือจ้าวอวิ๋นหน่วน
ซูอิ่งมองอีกฝ่ายนิ่ง พูดอย่างสุขุม “เจ้าโกหก”
ไม่มีผู้ใดคิดว่าซูอิ่งจะสุขุมเยือกเย็นถึงเพียงนี้ นางถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย สมควรกระสับกระส่ายลนลานมิใช่หรือ
“อ้อ มิรู้ว่านางโกหกอย่างไร” ยามนี้เงาร่างสีเหลืองสดสายหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกตำหนัก
คนผู้นั้นมีอายุประมาณห้าสิบปี รูปร่างสูงโปร่งแข็งแรง ดวงตาเปล่งประกายน่าเกรงขาม เขายืนสบายๆ ยกมือไพล่หลัง ท่าทีที่ผ่อนคลายนั้นแลดูสูงสง่า ใบหน้าแฝงความเด็ดขาดทะนง
จักรพรรดิหรือ จักรพรรดิมาที่นี่ได้อย่างไร ทุกคนพากันคุกเข่าถวายบังคม
จักรพรรดินั่งบนเก้าอี้ แล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ลุกขึ้น! ไม่ต้องมากพิธี”
เวลานี้ข้างกายของจักรพรรดิมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่สองคน ด้านขวาคือองค์ชายห้า ส่วนด้านซ้ายนั้นไม่มีผู้ใดรู้จัก
องค์ชายห้าสวมชุดปักดิ้นทองหรูหรา คิ้วคมราวกระบี่ ดวงตาเปล่งประกายราวดวงดาว ยามมองดูผู้คนริมฝีปากอมยิ้มจางๆ ดูลักษณะแล้วคงเป็นคนอบอุ่นไม่น้อย ส่วนอีกคนนั้น...ทันทีที่ทุกคนเห็นใบหน้าเขาก็พากันสูดหายใจ เหตุใดบนโลกนี้จึงมีบุรุษที่สมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ องค์ชายห้ามีรูปโฉมงดงามก็จริง ทว่าพอยืนเทียบกับคนผู้นี้แล้วกลับมีสภาพไม่ต่างจากมุกที่หมองหม่นไร้ประกาย คนผู้นี้มีโครงหน้างามประณีตดุจเทพเซียน คิ้วเข้มได้สัดส่วน ดวงตาประดุจดอกเถา[1] ริมฝีปากแดงนุ่มชุ่มชื้น สันกรามแลดูเย่อหยิ่งเย็นชา ราวความงดงามทั้งหมดในพิภพนี้มารวมอยู่ที่เขาก็ไม่ปาน สมบูรณ์แบบเสียจนคนมิอาจละสายตา
หลิวกุ้ยเฟยตะลึง การมาของจักรพรรดิครั้งนี้ทำให้นางประหลาดใจอยู่บ้าง และเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นชายรูปงามไร้ที่ติซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เงามืดพลันปรากฏขึ้นในนัยน์ตา
หลิวกุ้ยเฟยผู้อ่อนหวานแย้มยิ้ม “ฝ่าบาททรงราชกิจหามรุ่งหามค่ำ เหตุใดจึงเสด็จมาหาหม่อมฉันถึงที่นี่ได้เพคะ”
จักรพรรดิโบกมือ “ได้ยินว่าที่นี่จัดงานเลี้ยงชมบุปผา เราเพิ่งเล่นหมากรุกกับเฟยไป๋เสร็จเลยแวะมาดู”
เฟยไป๋ เย่เฟยไป๋น่ะหรือ หวายอ๋องเย่เฟยไป๋ โอรสองค์รองเช่นนั้นหรือ ที่แท้เขาก็คือเย่เฟยไป๋ที่นอนป่วยอยู่ในจวนหวายอ๋องเป็นสิบปี เย่เฟยไป๋ อ๋องปีศาจที่เคยหมั้นหมายถึงเจ็ดครั้ง ฝ่ายหญิงก็มีอันเป็นไปเสียทุกครั้ง ผู้ใดกันบอกว่าเขาเป็นอ๋องปีศาจ อ๋องปีศาจที่ไหนหล่อเหลาถึงเพียงนี้ หรือต่อให้เป็นอ๋องปีศาจแล้วอย่างไร พวกนางก็รักอ๋องปีศาจได้มิใช่หรือ! พริบตานั้นสายตาของหญิงสาวแทบทุกคนต่างพุ่งไปที่ร่างของเย่เฟยไป๋
เดิมทีองค์ชายห้าที่อยู่ข้างๆ นั้นก็จัดว่ามีรูปโฉมโดดเด่นยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับเย่เฟยไป๋แล้ว เอาเถิด องค์ชายห้าหลบไปจะดีกว่า
ซูอิ่งเห็นใบหน้านั้นแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ ทว่านางซ่อนความรู้สึกไว้ได้อย่างรวดเร็ว เย่เฟยไป๋ บุรุษผู้นี้คือหวายอ๋องในตำนาน หรือก็คือคู่หมั้นแต่ในนามของนาง ทว่านางมั่นใจว่านางเพิ่งเห็นใบหน้านี้เมื่อเร็วๆ นี้
บนรถม้าคราวนั้น นางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วในคืนนั้น นางหลบหนีการไล่ล่าของเขา เขากับนางไล่ล่ากันอยู่นาน หากเขาเป็นหวายอ๋องจริง ก็เดาได้ไม่ยากว่าเหตุใดวันที่เขาถูกคนตามฆ่าจึงไม่กล้าเปิดเผยใบหน้า นั่นเพราะทุกคนรู้ว่าหวายอ๋องป่วยมาตลอด แม้แต่เดินเหินยังลำบาก จะเที่ยวโลดแล่นอยู่นอกวังได้อย่างไร
ทว่าชายชุดดำในคืนนั้น...เขาสามารถสั่งการนักฆ่าชุดดำจำนวนมหาศาลได้ และที่ที่มีนักฆ่าชุดดำมากที่สุดก็คือหอรัตติกาลในตำนาน เช่นนั้นคุณชายโยวหลิงแห่งหอรัตติกาลกับหวายอ๋องเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ซูอิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันที ผู้ที่สั่งให้ก่อกวนเรือนฝูหรงของนางถึงสองครั้งติดก็คือหวายอ๋องผู้นี้ แล้วเพราะเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนั้นเล่า ก็เพราะว่าเขาต้องการถอนหมั้นนาง!
พอจับต้นชนปลายได้ ซูอิ่งก็ปลอดโปร่งโล่งใจ ตัดสินใจว่าจะหาโอกาสพูดคุยกับหวายอ๋องผู้นี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว ส่วนการจัดฉากวันนี้ออกจะหยาบไปสักนิด ดูท่าแล้วคงไม่ใช่ฝีมือของเขา
ซูอิ่งเลื่อนสายตาไปที่เย่เฟยไป๋ กลับเห็นเขามองนางสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ดวงตาหรี่ลงอย่างอันตราย
ซูอิ่งแอบสะดุ้ง เป็นไปไม่ได้ เขาไม่น่าจะดูออกว่านางกับแม่นางหน้ากากดอกหมู่ตานคือคนคนเดียวกัน และไม่น่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับร้านอิ๋นซู เขาตามล่าหาตัวแม่นางหน้ากากดอกหมู่ตานมิใช่หรือ หากเขารู้ว่าเป็นนาง คงไปหาถึงจวนนานแล้ว มีหรือจะส่งลูกน้องมาข่มขู่นางครั้งแล้วครั้งเล่า
ซูอิ่งพลันรู้สึกขบขัน หากเขารู้ว่านางคือแม่นางหน้ากากดอกหมู่ตานที่เขาเพียรหาผู้นั้น ไม่รู้ว่าจะโมโหจนกระอักเลือดหรือไม่ แต่หากยั่วโมโหเขาได้ นางคงสะใจมาก
ขณะนั้นเองจักรพรรดิก็มองซูอิ่ง “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ารู้ว่านางโกหกหรือ” จักรพรรดิพูดกับซูอิ่งพลางชี้หลันเยียนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
สีหน้าซูอิ่งเยือกเย็น ดวงตาคู่นั้นสงบลุ่มลึกราวหยกใสใต้น้ำแข็ง “เพคะ หม่อมฉันมั่นใจว่านางกำนัลผู้นี้พูดโกหก ใส่ร้ายหม่อมฉัน”
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาซิ หากมีเหตุผลพอ เราจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง” จักรพรรดิที่นั่งบนเก้าอี้ ทอดตามองฝูงชนเบื้องล่างจากมุมสูง
ซูอิ่งโขกศีรษะอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงหันหลังไปมองหลันเยียน ดวงตาดำขลับเปล่งประกาย นางพูดกับอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น “เจ้าพูดถ้อยคำเมื่อครู่อีกครั้งซิ”
หลันเยียนกระวนกระวาย แอบเหลือบตามองที่ใดสักแห่ง พอเบนสายตากลับมา ในดวงตาก็ฉายประกายแน่วแน่ “หม่อมฉันเดินยกขนมมา ยังไม่ทันก้าวเข้าห้องก็ถูกคนจู่โจมจากด้านหลัง คนผู้นั้นกดหม่อมฉันไว้กับมุมกำแพง ห้ามหม่อมฉันหันไปมอง และบังคับหม่อมฉันให้บอกว่าเก็บไข่มุกตงจูไว้ที่ใดเพคะ พอเห็นหน้าคุณหนูซูอิ่ง หม่อมฉันก็มั่นใจว่าเป็นนางแน่นอนเพคะ!”
ซูอิ่งเห็นหลันเยียนทำหน้าจริงจังเช่นนั้นก็หัวเราะ “เจ้าพูดถูก ถูกต้องแม่นยำทีเดียว เหมือนที่เจ้าพูดเมื่อครู่ทุกประการ ไม่มากหรือน้อยไปแม้แต่คำเดียว” ดวงตากระจ่างใสของซูอิ่งเจือแววหยอกเย้าและเย้ยหยัน
จักรพรรดิหมิงตี้อึ้งงันเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หัวเราะร่วนแล้วกล่าวกับซูอิ่งราวเข้าใจแจ่มแจ้ง “เจ้านี่ฉลาดไม่เบา รู้จักจับพิรุธจากจุดนี้ได้”
“หา” ทุกคนอุทานอย่างแปลกใจ
หมายความว่าอย่างไรกัน จักรพรรดิเข้าใจแล้วหรือ แต่พวกเขาไม่เห็นเข้าใจแม้แต่น้อย! พิรุธอยู่ที่ใดกัน
เย่เฟยไป๋หรี่ตามองซูอิ่งแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยวาจาใด
จักรพรรดินิ่วหน้าใส่หลิวกุ้ยเฟย “เราหลงคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมาตลอด ไม่คิดว่าเจ้าจะเลี้ยงคนชั่วไว้ข้างกาย รีบจัดการนางเสีย”
หลิวกุ้ยเฟยยิ้มน้อมรับบัญชา ทว่ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก พิรุธอยู่ที่ใดกันแน่
หลันเยียนร้องไห้ “บ่าวพูดอะไรผิดหรือเพคะ หากต้องตายก็ขอให้บ่าวได้ตายอย่างไร้ข้อข้องใจด้วยเพคะ”
จักรพรรดิมองหลันเยียน “คำพูดของเจ้ามีพิรุธมากมาย เพียงแต่เจ้าไม่รู้ตัวเท่านั้น เฟยฝาน เจ้าลองบอกนางซิ”
เย่เฟยฝานก็คือองค์ชายห้า ยามนี้เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวแล้วยิ้ม “ลูกเบาปัญญานัก มองออกเพียงสองแห่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ มองออกถึงสองแห่งก็ไม่เลวทีเดียว ไหนเจ้าลองว่ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เย่เฟยฝานมองหลันเยียนแวบหนึ่งก่อนยิ้มน้อยๆ ให้นาง “ถ้อยคำครั้งแรกกับครั้งที่สองของเจ้าเหมือนกันทุกประการ นี่คือพิรุธข้อที่หนึ่ง ถ้อยคำที่ยาวถึงเพียงนั้น หากไม่ใช่เพราะเจ้าท่องเอาไว้ก่อน ย่อมไม่มีทางพูดซ้ำได้เหมือนครั้งแรกทุกคำทุกประโยคเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้”
หากมีการท่องเอาไว้ก่อน นั่นก็แปลว่าหลันเยียนได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว
หลันเยียนพลันชะงัก ใบหน้าซีดขาว คุณหนูรองสกุลซูจอมเจ้าเล่ห์ นางสังเกตเห็นแม้กระทั่งเรื่องแค่นี้
“ส่วนพิรุธข้อที่สองนั้น คงต้องบอกว่าเจ้าโง่เง่าจริงๆ” เย่เฟยฝานเหลือบมองหลันเยียน “เจ้าเป็นคนพูดเองว่าถูกกดไว้กับกำแพง คนร้ายไม่ให้เจ้าหันหน้ามา เช่นนั้นเจ้าจะเห็นหน้าคนร้ายได้อย่างไร”
ใบหน้าของหลันเยียนพลันเผือดสี ร่างซวนเซใกล้จะล้ม ที่แท้นางทำพลาดถึงเพียงนี้ จริงดังที่องค์ชายห้าว่าไว้แท้ๆ นางช่างโง่เง่านัก
เย่เฟยฝานหันไปทูลพระบิดา “ลูกโง่เขลานัก มองพิรุธออกเพียงสองแห่งที่กล่าวมานี้ ส่วนพิรุธแห่งอื่นนั้น เห็นทีต้องให้เสด็จพ่อทรงชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิชำเลืองมองเย่เฟยไป๋ แล้วเลื่อนสายตามาที่ซูอิ่ง จากนั้นยิ้ม “เฟยไป๋ นางคือชายาในอนาคตของเจ้า จะไม่ช่วยล้างมลทินให้นางหน่อยหรือ”
เย่เฟยไป๋ค้อมกายทูลเสียงเรียบ “ลูกเบาปัญญา มองไม่เห็นพิรุธใดพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง มองไม่เห็นหรือ คิดโกหกผู้ใดกัน จักรพรรดิมองซูอิ่งอีกครั้ง “หากเจ้าบอกได้ว่าพิรุธแห่งที่สามอยู่ที่ใด เราจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง ไม่เพียงแต่จะช่วยล้างมลทินให้เจ้าเท่านั้น แต่ยังจะมีรางวัลให้เจ้าด้วย”
เรื่องรางวัลนั้นไม่จำเป็นเท่าไร แค่ล้างมลทินให้นางก็พอแล้ว หากถูกตราหน้าว่าเป็นขโมยคงส่งผลเสียต่อนางในภายภาคหน้าแน่
ซูอิ่งไม่เคยคิดทำตัวโดดเด่นมาก่อน ทว่ายามนี้คงเลี่ยงไม่ได้ นางจำเป็นต้องแสดงตัวบ้างแล้ว ซูอิ่งยิ้มบาง “ทูลฝ่าบาท ทอดพระเนตรขนมบนโต๊ะสิเพคะ โปรดเสวยหรือไม่เพคะ”
เย่เฟยไป๋เหลือบมองซูอิ่งอย่างแนบเนียน ไม่มีผู้ใดดูออกว่าประกายในดวงตาดำขลับของเขาคืออะไร
“ฮ่าๆๆ...ดี ดี ดีมาก! ไม่เลวเลยจริงๆ มิเสียทีที่เป็นบุตรีขุนนางซู ฉลาดนัก” จักรพรรดิหมิงตี้มองหลันเยียนอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าถูกจู่โจมตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าประตู หากเป็นเช่นนั้นจริง ขนมก็น่าจะต้องหกเกลื่อนพื้น ไม่ใช่วางเรียงอยู่บนโต๊ะอย่างงดงามเช่นนั้น”
ขอบอกว่า มีแห่งที่สี่ นางกำนัลถูกกดตัวหันหลังแปลว่าสู้คนร้ายไม่ได้แต่คว้าปิ่นคนร้ายอย่างไรกัน
มาไวๆๆๆๆนะคะลุ้นยุจร้าๆๆๆๆๆอยากรู้ตอนที่หวายอ๋องรู้ความจริงอิอิอิ
สนุกไป ขอยาวๆ
สนุกๆๆๆๆ
น้องอิ่งฉลาดมากๆๆๆๆๆๆ
ปล.หวายอ๋องรู้ยังอ่ะ ถ้ายังก็คงจับพิรุทได้บางแหละ
รอต่อไป...
แต่จะดีจนจบไหมน้าาา
ปล.คุณพระเอกจะรู้เมื่อไหร่เนี่ยยย