คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #73 : เท็นเง็น
หลังจากที่อากาเนะหลับไป ยูจิก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับยูตะได้เล่าทุกอย่างให้ฟัง รวมทั้งเมงุมิก็ได้ปรากฏตัวออกมาพร้อมขอความช่วยเหลือเรื่องเกมล้างบางที่ถูกสร้างขึ้นโดยคาโมะ โนริโทชิหรือเคนจาคุ และสึมิกิก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมเกมนั้น แต่ก่อนจะเข้าร่วมเกม พวกเขาต้องไปหาเท็นเง็นเพื่อหาวิธีปลดผนึกโกคุมงเคียวเพื่อปล่อยโกะโจ และหาเป้าหมายของเคนจาคุว่าต้องการอะไรจากเกมนี้ โดยโจโซก็บอกว่าตัวเองหาวิธีไปเจอกับเท็นเง็นได้ สุดท้ายพวกเขาก็กลับไปยังโรงเรียนเพื่อไปหาเท็นเง็น แน่นอนว่าอากาเนะเองก็มาด้วยเช่นกัน
“ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าพวกบ้า”
“รุ่นพี่มากิ?! /คุณมากิ?!” และคนที่ทักเป็นคนแรกนั้นคือมากิที่อยู่ในภาพลักษณ์ใหม่อย่างลุคผมสั้นเหมือนผู้ชายและใบหน้าของเธอก็มีแผลไฟไหม้จากการสู้กับโจโกะและดากอนที่ชิบุย่า ด้านยูจิกับอากาเนะเห็นภาพลักษณ์ของรุ่นพี่สาวก็อึ้งไปเลย
“คุณมากิ เดินออกมาแบบนี้จะดีเหรอครับ” ยูตะเองก็เพิ่งเห็นว่ามากิฟื้นแล้วเลยเดินเข้าไปถาม
“ไม่มีปัญหาหรอกน่า” มากิตอบ
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“ถือว่าดวงแข็งมากนะที่ยังรอดมาได้” และยังมียูกิกับชิองที่ถูกพามาที่นี่ก่อนแล้วด้วย
“อคคทสึคุง แผลไฟไหม้นั่นฉันช่วยได้มากสุดเท่านี้แล้ว ต้องขอบคุณพลังกายภาพจากคำสาปสวรรค์ของเธอเอง ที่ทำให้รอดมาได้” ยูกิพูดถึงแผลไฟไหม้ของมากิ ซึ่งเธอก็รักษาโดยใช้อาคมย้อนกลับแต่มันไม่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ให้หายสนิทได้ เลยเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น “สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ต่อต้านพลังคำสาป แต่ได้เป็นคนที่ได้รับพรสวรรค์ทางกายภาพมาแทน”
“มันก็ไม่ใช่พรสวรรค์อะไรหรอกค่ะ” มากิพูดอย่างถ่อมตัว
“แล้วทำไมคุณชิองถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะคะ” อากาเนะถาม
“ฉันเป็นคนพามาเองแหละ” ยูกิตอบ “บังเอิญฉันไปเจออคคทสึคุงตอนกำลังจับเธอแล้วก็เรียวตะคุงพอดี รวมถึงฉันสนใจเธอคนนั้นด้วยก็เลยขอยืมตัวน่ะนะ ว่าแต่เรียวตะคุงอยู่-”
“อยู่นี่” เรียวตะพูดผ่านลูกแก้ว อากาเนะจึงเอาลูกแก้วเรียวตะออกมาถือบนมือ
“ว้าว~ ไปอยู่ในนั้นได้ด้วยเหรอ” ผู้ใช้คุณไสยสาวร้องประหลาดใจ
“แค่ใช้วิธีพิเศษนิดหน่อย แต่แปลกนะ ปกติแกไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆนี่? แล้วทำไมถึงได้มากับสึคุโมะล่ะ” ยมทูตหนุ่มถามชิอง
“ไม่ต้องยุ่ง” แต่คำตอบที่ได้นั้นกลับกลายเป็นว่าไม่ต้องมายุ่งแทน
“อย่าหาออกมานะเรียวตะ ฉันไม่อยากกินพาราเพิ่ม” เด็กสาวที่รู้ทันว่าเรียวตะจะออกมาด่าชิองก็รีบห้ามดักไว้ทันที ทำให้ยมทูตหนุ่มเดาะลิ้นขัดใจ
“ชิ!”
“ไม่ง้อนะ”
“เอ้า!?”
‘ยังตีกันเหมือนเดิมเลยแฮะ…’ ยูจิกับเมงุมิคิดในใจ เพราะพวกเขาไม่ได้เจออากาเนะบ่อยเท่าเมื่อก่อนทำให้ไม่ได้เห็นภาพสองคนนั้นทะเลาะกันด้วย
“เสียงผู้ชายเมื่อกี้ ชิกิงามิของฟุบูกิจังเหรอ” ยูตะที่เพิ่งได้ยินเสียงของเรียวตะเป็นครั้งแรกก็ถามยูจิ
“เปล่าครับ เป็นยมทูตที่เคยช่วยอากาเนะไว้เมื่อตอนเด็ก ชื่อเรียวตะน่ะครับ”
“ยมทูต?”
“ตอนผมได้ยินผมก็ตกใจเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเห็นสองคนนั้นทะเลาะกันก็ไม่ต้องตกใจครับ พวกเขาตีกันเป็นเรื่องปกติแล้ว” เมงุมิเสริม
“เป็นงั้นเองหรอกเหรอ…”
“จะว่าไปเมงุมิ แล้วเรื่องม่านพลังท่านเท็นเง็นจะเอายังไง” ระหว่างนั้นเอง มากิก็ถามเปิดประเด็นเรื่องเท็นเง็นพอดี
“เอ่อ-”
“ฉันเอง” ในขณะที่เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อกำลังจะตอบก็ถูกโจโซพูดแทรกว่าเดี๋ยวขออธิบายเอง
“ทางเดียวที่จะหาประตูนั่นเจอ คือต้องใช้พลังของฉันเพราะที่หลังประตูนั่นมีพี่น้องของฉันหลับไหลอยู่ ในนั้นมีพวกเขา โนรันโซ โซโอโซ ทันโซ ซันโซ โคสึโซ และโชโซะ ศพพวกนี้ฉันสามารถใช้พลังของฉันตามหาที่อยู่ของพวกเขาได้”
“แจ๋ว” ยูกิเอ่ยด้วยความดีใจ
“แต่ก่อนจะไป—” ระหว่างนั้นมากิก็พูดแทรกขึ้นมา “อธิบายมาก่อนว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร แล้วก็ผู้หญิงคนนี้ด้วย ดูเหมือนจะรู้จักกับเธอนะอากาเนะ”
“…” และแล้วบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบทันทีและมองโจโซและชิองกันเป็นตาเดียว
“คิดซะว่า…เป็นพี่ชายของฉันละกัน”
“คนรับใช้ของยูกิฮิเมะที่มาเกิดใหม่ค่ะ”
“!? ยูจิ!!!”
“ไปเถอะ” พอโจโซได้ยินว่ายูจิเรียกตัวเองว่าพี่ชายแล้วก็เรียกหาด้วยความดีใจ แต่ยูจิก็ไม่ได้สนใจและไปหาเท็นเง็นพร้อมกับคนอื่นๆ
“ตรงนี้ฉันสัมผัสได้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่” จนพวกเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูที่โจโซบอกว่าน้องๆของพวกเขาอยู่ข้างในนี้
“?!” แต่พอเขากับยูจิเปิดออกมาแล้ว ด้านล่างประตูกลับเต็มไปด้วยต้นไม้ไร้ใบขึ้นสูงราวกับป่าร้าง
“ตรงไปข้างหน้านี่แหละ ไปกันเถอะ” ยูกิมองแล้วยืนยันว่าทางนี้แหละคือทางไปหาเท็นเง็น ทำให้ทุกคนเดินไปตามทาง พอเดินไปเรื่อยๆจนมาถึงสถานที่ที่เป็นแดนพำนักของเท็นเง็น
“รอยเลือดพวกนี้นี่มันอะไรเหรอ” ระหว่างนั้นเอง ยูจิก็เจอรอยคราบเลือดที่แห้งมานานอยู่บนพื้นเลยถาม
“หลักฐานเมื่อ 11 ปีก่อน ฉันคิดว่า…ทุกๆอย่างในตอนนี้ มันเริ่มมาจากตรงนั้น”
“?” ประโยคของยูกิทำเอาเหล่าเด็กนักเรียนไม่เข้าใจ
‘เซโชไท…’
‘เป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งผลกระทบสุดๆไปเลยนะ’ แต่ไม่ใช่กับอากาเนะและเรียวตะที่มีพลังมองเห็นอดีตและอนาคต ถึงแม้พวกเขามาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ด้วยเนตรยมทูตทำให้รู้ว่า ณ ที่แห่งนี้มันเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เอาล่ะทุกคน โถงน่าจะอยู่ด้านหน้าเราแล้วล่ะ” เสียงของยูกิทำให้ทุกคนหันไปสนใจกับทางข้างหน้าต่อ แต่พอพวกเขาเดินไปเข้ายังวิหาร ภาพตรงหน้าเห็นนอกจากประตูทางเข้าแล้วกลับว่างเปล่าทั้งหมด
“ใช่ตรงนี้แน่เหรอครับ” เมงุมิถาม
“ใช่ แต่มันถูกย้ายไปหมดแล้ว” หญิงสาวผมบลอนด์ตอบ “ถ้ามองในแง่ดีนะ เท็นเง็นจะไม่แทรกแซงเรื่องทางโลก แต่ฉันไม่รู้ว่าการที่จะปลดผนึกนี่มันเกี่ยวด้วยมั้ย”
“แต่คุณสึมิกิไม่มีเวลาแล้ว จะย้อนกลับไปมั้ยครับ” ยูตะเสนอ
“อ้าว จะกลับกันแล้วรึ เพิ่งจะได้เจอกันแท้ๆ”
“!!?” แต่ทว่ามีเสียงปริศนาดังขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังจะกลับ พอทุกคนหันไปก็เจอกับสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ตนหนึ่งยืนกอดอกอยู่
“ลูกหลานตระกูลเซ็นอิง ลูกหลานมิจิซาเนะ บุรุษจากครรภ์ต้องสาป ข้ารับใช้ของยูกิฮิเมะ ร่างสถิตขอสุคุนะ แล้วก็…” สิ่งมีชีวิตตนนั้นมองหน้าอากาเนะแล้วเงียบไปพักนึงจนคนอื่นๆงงว่าทำไมถึงเงียบไปล่ะ
“จะเรียกชื่อไหนมันก็เป็นฉันอยู่ดีนะคะ”
“นั่นสินะ จะผู้ครองเนตรยมทูต ร่างสถิตของยูกิฮิเมะ หรือแม้แต่ลูกหลานจักรพรรดิสุโตคุ ทั้งหมดล้วนหมายถึงเจ้าทั้งสิ้น” แต่พออากาเนะพูดด้วยประโยคกลับมาเท่านั้นแหละ มันก็ตอบกลับมาและเรียกเธอด้วยสมญานามอื่นแต่ก็บ่งบอกได้ว่าเป็นใคร
“แต่อย่างน้อยก็น่าจะแนะนำตัวก่อนนะ ท่านเท็นเง็น” แต่พอยูกิพูดถึงคนตรงหน้าเท่านั้นแหละ ทุกคนก็อึ้งไปในททันทีว่าอมนุษย์ตรงหน้านี้คือท่านเท็นเง็นอย่างงั้นเหรอ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน สึคุโมะ ยูกิ” เท็นเง็นตอบ
“แล้วทำไมท่านถึงซ่อนและปิดทางเข้าโถงดาราดับแสงด้วยล่ะ”
“ข้าระแวงว่าอาจจะมีใครคนหนึ่งเป็นพันธมิตรกับเคนจาคุ ถึงเป็นข้าก็มิอาจเข้าใจถึงหัวใจมนุษย์ได้”
‘สรุปก็คือมันจริงๆด้วยสินะ…’ ทัตสึยะทองจากอาณาเขตของยูกิฮิเมะแล้วกัดฟันกรอด
“เคนจาคุ? ใครกันน่ะ?” หญิงสาวถาม
“อดีตผู้ใช้อาคมคาโมะ โนริโทชิ แต่ปัจจุบันเขาอยู่ในร่างของเกะโท สุงุรุ”
“ชื่อที่หมายถึงความเมตตาและการอยู่รอด ตลกร้ายชะมัด”
‘ชื่อมันสวนทางกับการกระทำเลยนะ เจ้าเคนจาคุนั่นน่ะ’ อากาเนะคิดในใจ
“แล้วทำไมคุณดูเหมือนคำสาปล่ะ”
‘หมอนี่ตัดเข้าคำถามเลย…’ เมงุมิคิดในใจที่ยูจิถามคำถามที่อยากถามพอดี
“รูปลักษณ์ภายนอกไม่จำเป็นสำหรับข้า หากเจ้าอายุเกิน 500 ปีเจ้าจะเข้าใจเอง”
“จริงดิ” เท็นเง็นตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทำเอาเด็กหนุ่มผมชมพูอึ้งไปเลย
“เมื่อ 11 ปีก่อน หลังจากที่ล้มเหลวในการหลอมรวม ความชราและการเปลี่ยนแปลงมันไหลเข้ามาเรื่อยๆ ที่จริงข้าเองก็อธิบายไม่ถูกอยู่เหมือนกัน”
‘แปลว่ายังไม่เจอเซโชไทคนใหม่เหรอ’ ยูกิคิดในใจ
“เอ่อ พวกเราขอตัดบทนะครับ”
“พวกเรามาที่นี่เพื่อถามเรื่องเคนจาคุกับหาวิธีปลดผนึกโกคุมงเคียว ท่านสามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้ใช่มั้ยครับ”
“ไม่เวิ่นเว้อให้เสียเวลาเลยนะพวกเจ้า” ระหว่างนั้นเมงุมิกับยูตะก็ขอตัดบทสนทนาเมื่อครู่แล้วเข้าประเด็นที่มาหาทันที จนชิองยังชื่นชมที่สองคนนั้นไม่พูดเกริ่นเวิ่นเว้อให้เสียเวลา
“มันก็ได้อยู่หรอก หากพวกเจ้าทำตามเงื่อนไขหนึ่งข้อ” เท็นเง็นว่า “อคคทสึ ยูตะ สึคุโมะ ยูกิ บุรุษจากครรภ์ต้องสาป และข้ารับใช้ของยูกิฮิเมะ สองในสี่คนนี้ต้องอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันข้า”
“คุ้มกันจากอะไรเหรอครับ”
“หรือมันเกี่ยวกับผนึก?” ยูตะกับมากิถาม
“เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า แล้วทำไมข้าถึงต้องมาคุ้มกันเจ้าด้วย”
“นั่นสิ มันไม่แฟร์เลยซักนิด ถ้าจะอยู่แล้วต้องอยู่นานแค่ไหนกันล่ะ” ชิองกับยูกิถามอย่างไม่พอใจ ทำให้เท็นเง็นต้องเล่าเรื่องของเคนจาคุก่อนเพื่อบอกเหตุผลที่ตนต้องการคนคุ้มกัน
“งั้นก็ต้องพูดถึงเรื่องเคนจาคุก่อนละกัน เป้าหมายของเขาคือบังคับให้มนุษย์ที่มีคุณสมบัติเกิดการพัฒนาทั้งญี่ปุ่น”
“เคยได้ยินมาบ้าง แล้วก็รู้แค่ว่าเขาต้องการทำอะไรซักอย่าง” เมงุมิพูด “ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องท่านเท็นเท็นเง็นในการเปลี่ยนมนุษย์ที่มีคุณสมบัติให้เป็นผู้ใช้คุณไสยด้วย”
“นั่นเพราะเขายังมีพลังคำสาปไม่มากพอ พลังงานที่ปลดปล่อยจากเทคนิคอาคมอุทสึมากิ (ก้นหอย) จะไม่ย้อนกลับไปหาหลังจากที่ใช้งาน มันทำได้เพียงกำจัดเป้าหมายได้ทีละราย เขาจึงพยายามดูดกลืนข้าและมนุษย์”
‘แปลว่าจุดประสงค์ของมันไม่ได้มีแค่อยากย้อนกลับไปเหมือนสมัยเฮอันอย่างเดียว’ ทัตสึยะว่า
‘เหมือนเจ้าจะรู้อะไรซักอย่างเลยนะ ทัตสึยะ’ ยูกิฮิเมะพูด
‘ไม่เชิงรู้หรอก แค่เป็นการคาดเดาของข้าเฉยๆเถอะ’
“เป้าหมายของเคนจาคุคือการรวมมนุษย์เข้ากับข้า”
“?!!”
“มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ” แน่นอนว่าพอทุกคนได้ยินแบบนั้นต่างก็อึ้งตกใจ โดยเฉพาะยูจิ
“ปกติก็เป็นไปไม่ได้หรอก ยกเว้นแต่คนๆนั้นเป็นเซโชไทล่ะก็ว่าไปอย่าง” เมงุมิพูด
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นไปได้ยาก แต่ข้าไม่ได้รับการหลอมรวมมาถึง 11 ปี มันจึงขาดความเสถียรไป”
“แต่นายต้องการแค่คนๆเดียวไม่ใช่รึไง” โจโซแย้ง “แล้วจำนวนผู้ใช้คุณไสยมากมายที่เกิดขึ้นตอนนี้ล่ะ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เป้าหมายหลักของการพัฒนาวิญญาณผู้มีคุณสมบัติเหล่านั้น”
“อย่างที่ทุกคนรู้ ตัวตนของข้าคือโลกใบนี้ มนุษย์ที่มีคุณสมบัติหากได้รับการหลอมรวมกับข้า ก็จะกลายเป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ใช้คุณไสย กำเนิดเป็นสิ่งใหม่ที่ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในตัว ข้าคือเจ้าของม่านพลังดังนั้นข้าสามารถควบคุมปรับเปลี่ยนสิ่งที่เกิดในนั้นได้ เพราะงั้นถ้าหากมีมนุษย์ที่มีคุณสมบัติคนไหนต้องการที่จะควบคุมโลกนี้ มันก็หมายถึงหายนะของโลกเจ้าด้วย”
“ทำไม” ยูกิถาม
“ขอบเขตที่กั้นจะถูกทำให้หายไป ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นบนโลกจะแพร่กระจาย มันจะถูกเจือปนไปกับมนุษย์อีกหลายร้อยหลายพันคนโดยไร้การกำกับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโตเกียวตอนนี้อาจจะเกิดขึ้นกับโลกทั้งโลก”
“แล้วทำไมเคนจาคุนั่นต้องทำแบบนี้ด้วย” ยูจิถาม
“ข้าไม่รู้ อย่างที่บอกไปข้าไม่เข้าถึงหัวใจของมนุษย์”
“ถ้างั้นท่านก็แค่ปฏิเสธที่จะหลอมรวมก็ได้นี่” มากิว่า
“นั่นแหละที่ข้ากำลังจะบอก ตอนนี้ร่างของข้ากลายเป็นคำสาปมากกว่ามนุษย์ นั่นทำให้ข้าจึงตกเป็นเป้าหมายสำหรับมันที่มีอาคมควบคุมวิญญาณคำสาป”
“!!?” จนถึงตรงนี้ ทุกคนต่างช็อกกันถ้วนหน้าแม้กระทั่งยูกิฮิเมะและทัตสึยะด้วย
‘โลกนี่ได้เละเทะแน่ถ้าไอ้หมอนั่นทำสำเร็จ’ เรียวตะว่าผ่านโทรจิต
“เคนจาคุในตอนนี้ เขาสามารถยึดครองข้าได้ไม่ยากจากความสามารถที่มี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโถงนี้”
“มิน่าล่ะคุณถึงต้องการคนคุ้มกัน” ยูตะพูด
“ถูกต้อง เจ้านั่นในตอนนี้คือผู้มีม่านพลังเป็นอันดับสองรองจากข้า เพราะงั้นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้านั่นจะบุกมาปลดผนึกของข้าที่นี่”
“แล้วไง?” ยูกิถามด้วยความสงสัย “เคนจาคุวางแผนให้การหลอมรวมล้มเหลว แถมยังต้องการตัวของท่านเพื่อการพัฒนา เขาสามารถปรับรูปแบบวิญญาณของท่านเพื่อกินและควบคุมพลัง เห็นได้ชัดว่ามันร่วมมือกับสุคุนะและมันคือหมอผีเมื่อพันปีก่อน แล้วทำไม-”
“ข้า เซโชไท และผู้ครองพลังเนตรริคุกันถูกเชื่อมต่อด้วยโชคชะตา เมื่อกาลก่อน เคนจาคุได้แพ้ให้กับพลังของผู้ครองเนตรริคุกันมาแล้วสองรุ่น ในครั้งที่สองเขาล้มเหลวในการพยายามฆ่าเซโชไทและผู้ครองเนตรริคุกันที่เพิ่งเกิดมาได้ 1 เดือน”
“ถึงกระนั้น ในวันที่เซโชไทและผู้ครองเนตรริคุกันปรากฏตัวอีกครั้ง มันได้บทเรียนและเปลี่ยนความคิด แทนที่จะกำจัดให้สิ้นซากก็มาหาทางผนึกแทนเพราะพลังของผู้ครองเนตรริคุกันนั้นแข็งแกร่งเกินไป”
‘อันนี้เข้าใจได้’ อากาเนะคิด
“จนกระทั่งวันที่โชคชะตาพลิกผันแปรเปลี่ยนนั้นมาถึง นั่นคือการปรากฏตัวของเซ็นอิง โทจิ”
“!?”
“เขาคือผู้มีคำสาปสวรรค์ด้านกายภาพ ที่ยอดกว่านั้นคือเขามีพลังที่หลบหลีกม่านอาคมใดๆก็ตามได้ ในฐานะมนุษย์ที่มีคำสาปสวรรค์เขาได้ทำลายโซ่กรรมแห่งโชคชะตา ส่งผลไปถึงเด็กหนุ่มผู้มีพลังในการรวบรวมคำสาป”
‘ก็คือคุณเกะโทสินะ…’
“ด้วยพลังของเจ้าแล้ว คงรู้ใช่มั้ยว่าข้าหมายถึงใคร ฟุบุกิ อากาเนะ” ระหว่างที่เท็นเง็นเล่า เขาก็หันไปถามอากาเนะด้วย
“…ค่ะ แล้วก็คราบเลือดที่อยู่ตรงพื้นนั่น ฉันมองเห็นด้วยว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“การที่เจ้ามีชีวิตอยู่โดยครองพลังนี้ไว้ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ เพราะใครๆก็รู้ว่าใครก็ตามที่ครองพลังเนตรยมทูตจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
“ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะคะ”
“ท่านเท็นเง็น แล้วทำไมหมอนั่นถึงได้พึ่งมาเริ่มเกมส์ตอนนี้ล่ะครับ” เมงุมิถามกลับเข้าประเด็น
“มันเหมือนเป็นการทุบให้ละเอียดก่อนนำมาปรุง มันได้บรรจงต่อชิ้นส่วนทั้งหมดร้อยเข้าด้วยกัน ยกเว้นโกคุมงเคียวที่มันพึ่งไปได้เมื่อ 6 ปีก่อน การหลอมรวมเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากหากคนผู้นั้นไม่ใช่เซโชไท มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและเป็นไปไม่ได้จนถึงตอนนี้”
“ผู้ที่เข้าร่วมเกมส์ล้างบางจะใช้พลังคำสาปที่อยู่ในม่านพลัง มันเป็นเหมือนพิธีกรรมที่จะถ่ายทอดพลังงานด้านลบของมนุษย์ที่อยู่ในประเทศนี้ ในตอนเริ่มพิธีนี้จะค่อยๆเปลี่ยนพลังงานด้านลบของคนที่ในม่านพลังแล้วส่งผ่านมาหลอมรวมกับข้า”
“ยังไงก็ตามในพิธีกรรมนี้ เจ้านั่นได้ทำพันธสัญญาที่มีผลผูกมัดด้วย นั่นคือมันไม่ได้เป็นผู้ควบคุมเกมส์ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่สำหรับเรา เพราะต่อให้ฆ่ามันทิ้งไปเกมส์ก็ยังไม่จบ เกมส์จะยังดำเนินต่อไปจนกว่าผู้เล่นทั้งหมดจะตาย กฎที่ระบุไว้ว่าคนที่อยู่ในเกมส์จะไม่สามารถทำให้เกมส์หยุดหรือขัดได้” พอเท็นเง็นพูดแบบนั้นทำให้เมงุมิถึงกับเครียดมากกว่าเดิม จนกระทั่งมานึกขึ้นได้ว่าในบรรดากฎดั้งเดิมของเกมส์คัดสรร 8 ข้อนั้น กฏข้อที่ 6 ได้กล่าวไว้ว่า
หากไม่รวมคะแนนที่มีอยู่แล้วของตัวเอง ผู้เล่นสามารถใช้คะแนน 100 คะแนนเพื่อเพิ่มกฎได้ 1 ข้อ
‘มันไม่เอาตัวเองเป็นGmใหญ่ด้วย…’ อากาเนะคิดด้วยความหนักใจ
“ในเมื่อทางเลือกเรามีไม่มาก มีแต่ต้องเข้าร่วมเกมส์เพื่อเปลี่ยนกฎหาทางให้คุณสึมิกิ และผู้ไม่เต็มใจคนอื่นๆออกจากเกมส์ให้ได้” ยูตะพูด
“เราต้องปล่อยอาจารย์โกะโจให้ได้ คนๆนี้สามารถจบเรื่องทุกอย่างได้”
‘จะเป็นแบบนั้นแน่เรอะ’
‘หา!?’ พอทัตสึยะแย้งประโยคของเมงุมิ อากาเนะถึงกับร้องไม่เห็นด้วยอยู่ในใจเสียงดัง ‘พูดแบบนี้นายดูถูกอาจารย์โกะโจมากเลยนะ!’
‘ก็ไม่อยากดูถูกหรอกแต่มันเป็นเรื่องจริงนี่ แค่ประสบการณ์ชีวิตก็ต่างกันแล้วมั้ย โกะโจหลักสิบ แต่สุคุนะมันหลักพัน ดังนั้นอะไรที่โกะโจทำได้ สุคุนะมันก็ทำได้เหมือนกันนั่นแหละ’
‘…’ แต่พอคำสาปหนุ่มแย้งกลับมาด้วยเหตุผลแล้วทำให้เด็กสาวผมแดงเถียงไม่ออก
“ท่านเท็นเง็น-”
“เดี๋ยวก่อน สรุปตกลงได้ยังว่าใครจะอยู่ที่นี่” แต่ในขณะที่ยูจิกำลังถามเรื่องวิธีทางช่วยโกะโจ เขาก็ถูกเท็นเง็นแทรกด้วยคำถามว่าใครจะอยู่คุ้มครองเท็นเง็น
“ฉันจะอยู่เอง”
“ฉันจะอยู่เอง” และคนที่เสนอตัวที่อยู่ที่นี่ก็คือยูกิและโจโซนั่นเอง
“แน่นอนว่ายูจิต้องการความช่วยเหลือของอคคทสึและผู้หญิงคนนี้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคาโมะ-ไม่สิ เคนจาคุ แต่ที่นี่ ชีวิตของน้องชายคนอื่นๆของฉันก็ตกอยู่ในอันตรายด้วยเหมือนกัน” โจโซอธิบาย
“เห็นด้วยมั้ยล่ะ อคคทสึคุง” ยูกิหันไปหาเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อ
“เข้าใจแล้วครับ เพราะผมเองก็ไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนคุยกับท่านเท็นเง็น เพราะงั้นเรื่องเกมส์นั่นผมจะพยายามทำให้เต็มที่ครับ”
“ไม่สนใจที่อยู่คุ้มกันท่านเท็นเง็นเหรอคะ” อากาเนะถามชิอง
“อยู่ไปมีแต่จะเป็นตัวถ่วงเจ้าพวกนั้นเปล่าๆ” ชิองตอบเสียงห้วน
“ขอบคุณมาก งั้นรับนี่ไป” เท็นเง็นว่าแล้วใช้พลังเปิดมิติเพื่อเอาของบางอย่างออกมา “นี่เป็นของสำคัญที่จะทำให้โกะโจ ซาโตรุเป็นอิสระ มันคือด้านหลังของโกคุมงเคียว”
“ด้านหลัง!?”
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลย” สิ่งที่อยู่ในมือของเท็นเง็นเป็นกล่องลูกบาศก์ที่คล้ายกับโกคุมงเคียวที่ด้านบนมีรอยเย็บ ทำเอาทั้งเมงุมิและยูกิตกใจที่มีของแบบนี้อยู่ด้วย
“หมายถึงประตูหลังเหรอ” ยูจิถาม
“ตามนั้น ก่อนเคนจาคุจะได้โกคุมงเคียว ข้าได้แยกมันออกจากกันและเก็บมันไว้ให้ห่างไกลในดินแดนอันไกลโพ้น ข้าได้ซ่อนการมีอยู่ของมันเพราะงั้นมันยังไม่ถูกใช้งานแน่นอน” เท็นเง็นว่า
“โกะโจ ซาโตรุ ถูกผนึกอยู่ข้างในประตูนี่ ดังนั้นถ้าจะเปิดก็ต้องมี-ไม่สิ เราเปิดไม่ได้ เพราะเคนจาคุถือสิ่งที่เป็นประตูหน้าไว้ ถ้าจะเปิดล่ะก็มีทางเดียวคือต้องพังประตู”
“มันต้องใช้หอกพลิกฟ้า อุปกรณ์ต้องคำสาประดับพิเศษหรือแส้ดำที่ใช้ต่อต้านพลังอาคมและคำสาป ทว่าหอกพลิกฟ้าได้ถูกโกะโจ ซาโตรุทำลายทิ้งไปเมื่อ 11 ปีก่อน”
“อาจารย์โกะโจทำอะไรไปเนี่ย!?” ยูจิแหวเสียงดังที่อาจารย์จองตนดันไปตัดทางช่วยเหลือไปเสียได้
“และเมื่อปีที่แล้ว เขาก็ได้ทำลายแส้ดำทิ้งไปหมดเช่นกัน”
“เขาทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย!?”
“อาจารย์ว้อยยยยย!?” แต่พอเท็นเง็นบอกว่าแส้ดำก็โดนทำลายโดยโกะโจ เมงุมิกับอากาเนะก็มีรีแอคชั่นไม่ต่างจากยูจิ
‘เป็นการกระทำที่…ไม่รู้จะด่ายังไงจริงๆ’
‘ซาโตรุ…ไอ้บ้า’ ในส่วนของสองคำสาปอย่างทัตสึยะกับยูกิฮิเมะนั้น ทัตสึยะถึงกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในขณะที่ยูกิฮิเมะนั่งยองๆแต่กุมขมับไปแล้ว
“ผมเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็เลยออกตามแส้ดำที่มิเกลเคยครอบครองที่แอฟริกาน่ะ”
“นี่เป็นสาเหตุที่คุณไปต่างประเทศสินะ”
“ใช่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว” แต่ยูตะก็แก้ต่างให้ทำให้เมงุมิเข้าใจได้ในทันทีว่าสาเหตุที่ยูตะต้องไปต่างประเทศคืออะไร แต่น่าเสียดายที่มันไม่ช่วยเท่าไหร่เพราะไม่มีแส้ดำแล้ว
“แล้วมีทางอื่นอีกมั้ย” ยูกิถาม
“มีสิ” แต่โชคก็ยังเข้าข้างที่เท็นเง็นยังบอกว่ามีทางอยู่ “มีผู้เล่นอยู่คนหนึ่งที่เข้าร่วมเกมส์ล้างบาง เป็นผู้ใช้อาคมเมื่อพันปีก่อนและถูกเรียกว่าเท็นชิ (นางฟ้า) เธอมีพลังลบล้างอาคมและคำสาปโดยไร้ข้อยกเว้น”
‘เท็นชิ…’ อากาเนะทวนชื่อของผู้เล่นคนนั้นในใจ เพราะเธอคนนั้นคือกุญแจสำคัญที่จะปล่อยโกะโจออกมาได้
“เธอลบล้างได้ทุกคำสาปเลยเหรอครับ” เมงุมิถาม
“ใช่ พลังของเธอสามารถเปิดสิ่งนี้จากทางด้านหลังได้”
“แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนเหรอครับ”
“หนึ่งในโคโลนีตอนใต้ของโตเกียว แต่ม่านพลังของเกมส์มันต่อต้านตัวข้า ทำให้ข้ามีข้อมูลไม่มากนัก ดังนั้นข้าอธิบายให้ฟังจากตรงนี้ละกัน” แล้วเท็นเง็นใช้พลังฉายภาพแผนที่ประเทศญี่ปุ่นตรงพื้น
“ทั่วญี่ปุ่นจะมี 10 โคโลนีที่เชื่อมต่อกับม่านพลังเป็นเส้นตรงที่มนุษย์ในญี่ปุ่นถูกส่งไปอีกด้านหนึ่ง” และ 10 โคโลนีที่ว่านั้นก็กระจัดกระจายตามแต่ละจังหวัด แต่ก็มีบางพื้นที่นับรวมจังหวัดอื่นๆที่อยู่รอบๆมาเป็นหนึ่งโคโลนี ได้แก่โคโลนีโตเกียว 2 จุด ประกอบไปด้วยโตเกียว ชิบะ ไซตามะ คานางาวะ และยามานาชิ โคโลนีเกียวโต 2 จุด ได้แก่เกียวโต โอซาก้า ชิกะและเฮียวโงะ ส่วนมิยางิ อิวาเตะ อาโอโมริ ไอจิ ฮิโรชิม่า และคาโงชิม่านั้นจะเป็นหนึ่งโคโลนีต่อหนึ่งจังหวัด
‘เยี่ยมมาก นางาโนะไม่โดน’ อากาเนะร้องดีใจอยู่ในใจ
“ดูจากเส้นแบ่งแล้ว ฮอกไกโดไม่ได้เข้าร่วมนี่นา” ยูกิว่าเพราะโซนเกาะฮอกไกโดเป็นที่เดียวที่ไม่ถูกม่านคลุมทั้งเกาะ
“ใช่ครับ เราจะสร้างจุดนัดพบและพื้นที่ปลอดภัยตรงนั้น” เมงุมิเสนอ
“ก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็ยุ่งยากไม่เบาเลยนะ” ยูจิว่า
“นั่นสินะ แบบนี้พวกยานพาหนะกับการขนส่งวุ่นวายแน่ เป็นข่าวร้ายสำหรับคนทำงานสายธุรกิจเลยแหละ” อากาเนะเสริม
“มีเวลาแค่ไหนกว่าพิธีกรรมจะสมบูรณ์ครับ” เมงุมิถามเท็นเง็นต่อ
“ขึ้นอยู่กับตัวเกมส์ แต่สองเดือนคือตัวเลขที่เหมาะสม” เพราะกฎข้อแรกของเกมส์ได้กล่าวว่า
ผู้เล่นที่ประสงค์จะเข้าร่วม จะต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมเกมส์ในโคโลนีใดโคโลนีหนึ่งภายในเวลา 19 วัน หมายเหตุ ผู้เล่นจะถูกปลุกพลังให้ตื่นภายในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 31 ตุลาจนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน เวลา 9 นาฬิกา
“วันนี้วันที่ 9 พฤศจิกายน”
“พวกเขาจะตื่นและถูกปลุกพลังพร้อมกันในวันที่ 19นี้” มากิและยูตะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“สึมิกิเหลือเวลาอยู่ 10 วัน กับอีก 15 ชั่วโมงก่อนที่เธอจะเข้าไปร่วมเกมส์” และด้วยระยะเวลาที่จำกัดนี้ทำให้เมงุมิกังวลเรื่องพี่สาวของตน
“ท่านเท็นเง็น ถ้าผู้เล่นไม่ยอมเข้าร่วมจะต้องตายใช่มั้ยครับ”
“ตามนั้น” กฎข้อที่ 2 กล่าวไว้ว่า หากผู้ใดไม่ทำตามกฎในข้อที่ 1 ก็จะถูกถอนพลังอาคมออกจากตัว และโชโกะเคยบอกว่า จากมุมมองของเธอ การลบล้างอาคมหรือคำสาปนั้นโดยปกติแล้วจะทำไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่การหยุดใช้งานแต่มันคือการลบทิ้ง หรืออีกความหมายถึงว่าต้องตาย เพราะงั้นจะเป็นผู้ใช้คุณไสยตั้งแต่แรกหรือมาเป็นทีหลัง แต่ถ้าเข้าร่วมเกมส์แล้วไม่ทำตามกฏข้อแรก ทุกคนก็มีความเสี่ยงที่จะโดนเหมือนกันหมด
“แล้วคนทั่วไปที่อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกล่ะ” ยูจิถามด้วยความสงสัย เพราะกฎข้อที่ 3 คือผู้ที่เข้ามาในโคโลนีจะถูกนับรวมเป็นผู้เล่น
“พวกเขาจะได้รับโอกาสว่าจะอยู่หรือไป”
“อย่างนี้นี่เอง”
“ใจกว้างกว่าที่คิด” ยูกิกับเมงุมิได้ยินแล้วก็ทึ่งในความใจกว้างของเคนจาคุ
“ไม่มีกฎบังคับในการเข้าออกบริเวณม่านพลัง ผู้เล่นจะได้รับแต่มก็ต่อเมื่ออยู่เขตของม่านพลัง ข้าชอบนิยามของกฎข้อนี้นะ” เท็นเง็นกล่าว “แทนที่จะกักขังผู้เล่นไว้ แต่ให้อิสระในการเข้าออก มันช่วยยืนยันว่าพวกเขาเข้าร่วมด้วยเจตจำนงของตัวเอง”
‘แบบนี้มันก็หาข้ออ้างที่คุณหนูเคยเถียงได้แล้วนะ’ ทัตสึยะว่า จากนั้นทุกคนก็ยังคงคุยถึงรายละเอียดเรื่องเกมส์ต่อ จนสรุปได้ว่ายูกิกับโจโซจะอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันเท็นเง็น มากิจะกลับไปที่ตระกูลตระกูลเซ็นอิงเพื่อรวบรวมอุปกรณ์ไสยเวท โดยใช้สิทธิของผู้นำตระกูลคนใหม่อย่างเมงุมิมาต่อรอง เพราะหลังจากที่โกะโจโดนผนึก อุปกรณ์ไสยเวททั้งหมดในโรงเรียนได้ถูกตระกูลเซ็นอิงและคาโมะเก็บไป
ส่วนยูตะ เจ้าตัวบอกว่าจะขอไปสำรวจพื้นที่ก่อนเพื่อหาข้อมูลและที่ปลอดภัย และงานนี้มีความเสี่ยงสูงดังนั้นเขาเลยจะจัดการคนเดียว แต่นั่นก็ทำให้ทั้งยูตะ ยูจิและอากาเนะถึงกับมองหน้ากันราวกับเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้ เพราะตนได้สัญญาไว้แล้วว่าจะต้องจับตาดูยูจิกับอากาเนะไว้นี่แหละ สุดท้ายอากาเนะก็ยิ้มแหยๆว่าเพื่อกระจายความเสี่ยง ตัวเองก็ขอไปจัดการคนเดียวเหมือนกัน และสุดท้ายคือดึงฮาคาริ คินจิ นักเรียนปีสามของโรงเรียนไสยเวทโตเกียวที่ถูกพักการเรียนไปมาเข้าร่วมด้วยเนื่องจากต้องการกำลังคนเพิ่ม
พอสรุปหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว คนอื่นๆก็ออกไปจากโถง
“เดี๋ยวก่อน ฟุบูกิ อากาเนะ เจ้าอย่าพึ่งไป” ทว่าในตอนนั้นเอง เท็นเง็นก็ได้เรียกให้อากาเนะหยุดกลับมาก่อน
“มีอะไรเหรอคะ ท่านเท็นเง็น”
“ข้าต้องการจะคุยกับเจ้า เป็นการส่วนตัว”
.
.
.
Talkๆdesu: หายไปนานเพราะมรสุมงานรุมล้อมค่ะ… แหกตาเสิร์ชหาข้อมูลเรื่องculling gameด้วย ปวดหัวมาก
อันนี้เป็นภาพโคโลนี 10ที่ ที่เราไปเจอในreddit มาค้าบ
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันด้วยนะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งต่อ
เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยย
S Q W E E Z T H E M E @ D E K - D
ความคิดเห็น