คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #63 : Special : ชะตาลิขิตถึงอนาคต (3)
เดือนเมษายน ปี 1201
“…” ณ ศาลเจ้าแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น วิญญาณคำสาปครึ่งคนครึ่งมังกรนามทัตสึยะมองผลึกน้ำแข็งหลายอันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนทาสรับใช้สงสัย ตามปกติแล้วเวลาที่เจ้านายของตนจะเจออะไรก็จะชวนคุยด้วยน้ำเสียงเริงร่าแต่ทว่าตอนนี้กลับมีสีหน้าเรียบนิ่งจนอดขนลุกไม่ได้
“ท่านทัตสึยะ ข้าเห็นท่านจ้องผลึกน้ำแข็งนั่นมาซักพักแล้วไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าขอรับ”
“ไม่มีหรอก ถ้ามีเดี๋ยวข้าเรียกเอง ออกไปได้แล้ว”
“รับทราบขอรับ” คำสาปหนุ่มผมเงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำเอาคนใช้สงสัยหนักกว่าเดิม แต่อีกฝ่ายสั่งตนออกไปแล้วตนก็ต้องออกไปตามคำสั่ง
“…เอาล่ะ ไม่มีใครอยู่แล้วสินะ” พอทัตสึยะเห็นว่าคนใช้ออกไปแล้ว เขาก็เสยผมหน้าม้าขึ้นและเอานิ้วมาจิ้มที่ตาขวาของตัวเองก่อนจะมีเปลวไฟสีฟ้าลุกขึ้นที่ตาข้างนั้น จากนั้นไฟก็มอดลงพร้อมกับตาขวาจากที่เคยเป็นสีแดงกลับกลายเป็นสีฟ้าน้ำทะเลแทน
“…ไอ้เคนจาคุนั่นก็ไปทำข้อตกลงบางอย่างกับสุคุนะเหรอ เรื่องใหญ่เลยแฮะดูท่าว่าจะส่งผลเลวร้ายไปถึงอนาคตข้างหน้าด้วย” ชายหนุ่มพูดพึมพำ
“ให้ตายสิ สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแล้วเกิดมาเพื่อ-หือ?” แต่ในระหว่างนั้นเองเหมือนทัตสึยะจะไปเห็นอะไรเข้าพอดีทำให้เขาฉีกยิ้มออกมา “เห~ ยายแก่นั่นยอมไปถึงถิ่นของสุคุนะพร้อมแช่งใส่ก่อนโดนหมอนั่นฆ่าตาย ในสายตาของมันคงคิดว่ายายแก่ก็เป็นแค่มนุษย์ทั่วไป”
‘แต่นั่นคืออิฟริน (Ifrinn) แห่งความปรารถนาเชียวนะ ถึงจะไม่เคยคุยกันก็เถอะ แต่แค่เป็นอิฟรินก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ยิ่งเป็นอิฟรินแห่งความปรารถนาที่มีพลังวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรก็เป็นจริงหมดทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่งแบบนี้ซักวันเดี๋ยวมันก็ตายตามที่ยายแก่แช่งไว้ล่ะมั้ง’ ทัตสึยะคิดในใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ‘เรื่องสุคุนะเอาไว้ทีหลังดีกว่า ปัญหาคือตอนนี้ข้าโดนเคนจาคุไล่จับให้เป็นหนึ่งในการทดลองของมันอยู่ แต่มันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันแต่ถ้าข้ายังมีตัวตนแบบนี้ต่อไปมีหวังโดนจับได้ซักวันแน่’
“ถ้างั้น—” ทัตสึยะหาผลึกน้ำแข็งที่มีภาพของยูกิฮิเมะแล้วมองผลึกนั้นซักพักแล้วสูดลมหายใจไปเฮือกใหญ่แล้วถอนออกมาและจัดผมหน้าผ้าให้กลับมาปิดตาเหมือนเดิม ไม่นานเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นจากตาขวาอีกครั้งและมอดลงจนสีตากลับกลายเป็นสีแดงอีกครั้ง “…เอาตามนี้ก็ได้”
“ฮาคุโระ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนใช้ของตน ไม่นานคนใช้คนนั้นก็วาร์ปปรากฏตัวและคุกเข่ารอรับคำสั่ง
“ขอรับท่านทัตสึยะ”
“ฝากไปบอกพวกลูกสมุนด้วยว่าเย็นนี้เราจะไปที่คฤหาสน์ที่ชิโรซากิกัน”
“เอ๊ะ? ทำไมเหรอขอรับ”
“ก็ไปรับว่าที่ภรรยาในอนาคตของข้า แล้วก็…” ชายหนุ่มเว้นช่วงพูดไว้แล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“กำจัดเสี้ยนหนามนิดหน่อยน่ะ:)”
.
.
.
“ขนมนี่เจ้าไปได้มาจากไหนกันเหรอ อร่อยจัง”
“ส่วนใหญ่ก็ได้มาเหล่าสาวใช้ในคฤหาสน์ของนายท่านน่ะขอรับ พวกเขาชอบทำแล้วมาแบ่งให้อยู่บ่อยๆ” ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ชิโรซากิ วันนี้ซาโตรุก็ยังมาหายูกิฮิเมะเหมือนเคยแต่เพิ่มเติมคือเขาเอาขนมหวานมาด้วย ยูกิฮิเมะเห็นแบบนั้นเลยชงชามาเป็นเครื่องดื่มกินคู่กันแถมต้นซากุระที่ปลูกไว้ที่เรือนก็ออกดอกสะพรั่งทำให้พวกเขาในตอนนี้นั่งอยู่ทางเดินและกินขนมชมดอกไม้ไปพลาง
“งั้นเหรอ ว่าแต่ชาที่ข้าชงไปนี่เป็นไงบ้าง” หญิงสาวถาม
“รสชาติไม่แย่นะขอรับ”
“แปลว่ายังไม่อร่อยพอล่ะสิ?”
“ม-ไม่ใช่นะขอรับ!”
“ฮะๆๆๆ ข้าพูดเล่นเฉยๆ” ยูกิฮิเมะหัวเราะที่ตัวเองแกล้งอีกฝ่ายสำเร็จ ส่วนซาโตรุพอรู้ว่าตัวเองโดนหลอกก็ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจก่อนจะยิ้มบางๆ ยูกิฮิเมะตอนนี้มีพัฒนาการด้านอารมณ์ในทางที่ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดแล้ว ทั้งยิ้มบ่อยขึ้น พูดหยอกบ้าง หาเรื่องแกล้งนิดๆหน่อยๆบ้าง แม้กระทั่งมีต่อล้อต่อเถียงบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกใจฟูแบบสุดๆแล้ว
“จะว่าไปท่านยูกิฮิเมะ ท่านเคยมีความฝันอื่นนอกจากออกไปดูโลกภายนอกบ้างเปล่าขอรับ” ซาโตรุถาม
“มันก็มีอยู่หรอก แต่ว่า…”
“?”
“มันจะฟังดูแปลกๆน่ะสิ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลเพราะเธอเองก็มีความฝันอื่นนอกจากไปข้างนอกเหมือนกันเพียงแต่พอมาคิดแล้วมันอาจจะแปลกสำหรับคนอื่นๆก็ได้ แต่ซาโตรุก็ยังคงอยากรู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร
“ท่านลองพูดมาก่อนเถอะขอรับ”
“ข้า…อยากเป็นนักดาบเหมือนกับท่านพ่อ”
“!?” พอยูกิฮิเมะตอบไปแบบนั้น คนผมดำถึงกับหันมามองเธอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าบอกแล้วว่ามันแปลก น้อยมากนะที่จะมีผู้หญิงที่สนใจในวิชาดาบน่ะ” แม้หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่แววตากลับเจือปนด้วยความเศร้า “ท่านพ่อข้าเป็นนักดาบ ทุกครั้งที่ข้าเห็นท่านฝึกฝนวิชาดาบ มันทำให้เกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจและอยากจะทำแบบนั้นได้บ้างหรือแม้กระทั่งอยากลองออกไปต่อสู้บ้าง แต่สุดท้ายข้าก็เป็นไม่ได้ส่วนเหตุผลก็รู้กัน”
“...” ซาโตรุได้ฟังแล้วรู้สึกเจ็บแทน เขาไม่ได้มองว่าความฝันของอีกฝ่ายมันแปลกเลยเพราะเธอเองก็มีสิทธิ์ที่จะฝันแบบนั้นได้เหมือนกัน
“พอคิดดูอีกที ข้าว่าทั้งชีวิตนี้ข้าเป็นได้แค่คนอ่อนแอไม่มีวันที่จะสัมผัสความรู้สึกที่เรียกว่าแข็งแกร่งได้แล้วล่ะมั้ง”
“...ท่านยูกิฮิเมะ”
“หือ?” และแล้วชายหนุ่มก็ได้เอ่ยปากทักเธอขึ้นมา
“ทุกวันนี้ท่านยังอยากมีชีวิตอยู่รึเปล่าขอรับ”
“เมื่อก่อนน่ะไม่—” เธอเว้นช่วงพูดแล้วหันมามองคู่สนทนาของตน “แต่หลังจากที่ได้รู้จักกับเจ้าแล้ว ข้าว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่ได้แย่อะไร”
“ถ้างั้นท่านช่วยฟังสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ด้วยนะขอรับ” แล้วซาโตรุก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ท่านไม่ได้อ่อนแอเลย เพราะว่าความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่พลัง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วยื่นมือตัวเองไปจับกับมืออีกฝ่ายและยกออกมาคั่นกลาง
“แต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่างหาก” พอยูกิฮิเมะได้ฟังแล้วอึ้งเงียบไม่กล้าพูดอะไร
“ส่วนเหตุผลว่าทำไมข้าถึงได้กล้าพูดแบบนี้”
“ก็เพราะการมีชีวิตอยู่ มันก็คือการต่อสู้เหมือนกันยังไงล่ะขอรับ”
“!?” และประโยคต่อมาทำให้เธอตาโตราวกับไปปลดล็อคบางอย่างในใจจนเธอน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอกลับพยายามกลั้นไว้ ด้วยความที่เธอเป็นคนพิการมันทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกและไม่อยากจะชีวิตอยู่ต่อแต่ทุกวันนี้ที่ยังไม่ตายก็เพราะเคยคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงเนื่องจากกลัว
แต่คนตรงหน้านี้กลับบอกว่าการมีชีวิตอยู่มันคือการต่อสู้งั้นเหรอ
“แล้วก็…มีอีกเรื่องนึงที่ข้าอยากจะสารภาพกับท่าน”
“?”
“ถึงแม้พวกเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ทุกช่วงเวลาที่ข้าได้อยู่กับท่าน ข้าได้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาและข้าก็ทบทวนมาแล้วว่ามันคืออะไร”
“…รังเกียจรึเปล่า” ยูกิฮิเมะพึมพำเสียงเบาแต่อีกฝ่ายได้ยินเขาจึงตอบกลับพร้อมบีบมือเบาๆเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น
“ไม่ใช่เลยขอรับ แม้ท่านยูกิฮิเมะจะไม่สามารถเดินได้แต่ข้าก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรอกนะขอรับ หากท่านอยากออกไปเปิดโลกก็เรียกหาข้าได้เลยไม่ว่าท่านต้องการอะไรก็ข้าจะพยายามทำในสิ่งที่ท่านต้องการให้ได้ ข้ารู้ฐานะตัวเองดีแต่ข้าก็ไม่อยากให้ตัวเองมาเสียใจทีหลังเพราะงั้นข้าขอพูดกับท่าน ณ ตอนนี้เลยนะขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยออกอย่างจริงใจ ทำให้คนฟังเลือกที่จะเงียบรอฟังต่อไป
“ท่านยูกิฮิเมะ ข้ารักท่าน ต่อให้ตายและเกิดใหม่อีกกี่ครั้ง ข้าก็จะรักท่านไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
และมันคือคำสารภาพรักที่เธอไม่คิดว่าจะได้รับเพราะนอกจากพ่อและแม่ของเธอที่ตายไปแล้วก็ไม่มีใครรักเธอเลยแม้แต่คนเดียวเลยแม้จะไม่ใช่ความรักเชิงชู้สาวก็ตาม
แต่หลังจากที่เธอได้รู้จักกับซาโตรุแล้วความรู้สึกที่เรียกว่าชอบหรือรักมันก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดเพราะเธอมองว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมาชอบเธอได้แม้จะทำดีด้วยก็ตาม
จนกระทั่งในตอนนี้ ณ เวลานี้ เขาได้สารภาพรักกับเธอท่ามกลางต้นซากุระที่ผลิบาน และดูจากน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางแล้วเขาไม่ได้พูดเล่นด้วยซ้ำ
“…ดี…แล้วเหรอ” ยูกิฮิเมะก้มหน้าถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาที่ตอนนี้เริ่มกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
“เป็นข้า…ดีแล้วเหรอ”
“ขอรับ” เพียงแค่คำๆเดียวของอีกฝ่าย น้ำตาที่กลั้นได้พรั่งพรูออกมาหญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นจนชายหนุ่มวิสาสะเดินเข้าไปกอดเพื่อปลอบประโลมอยู่นานสองนานจนเธอหยุดร้อง ซาโตรุเลยผละตัวออกมาแล้วกลับไปนั่งข้างๆเธอต่อ
“ตกใจรึเปล่าที่อยู่ๆข้าก็ร้องไห้?”
“นิดหน่อยขอรับ แต่พอมาคิดว่าถ้าข้าเป็นท่านแล้วก็คงจะไม่ต่างกันหรอกขอรับ”
“…” หญิงสาวเงียบคิดภาพตามแต่สายตากลับมองไปที่ต้นซากุระ “แล้วเจ้านายเจ้ารู้เรื่องพวกเรารึเปล่า”
“รู้ขอรับ แถมท่านยังสนับสนุนอีกต่างหากแล้วก็แซวมาด้วยว่าแต่งงานเมื่อไหร่บอกด้วยละกัน”
“แต่งงานเหรอ…” ชายหนุ่มพูดติดตลกแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดแบบนั้น
“นั่นสินะ ถ้าได้แต่งงานกับเจ้าก็คงไม่เลวหรอกจริงมั้ย?”
“!!?” ซาโตรุได้ยินก็ชะงักแล้วมองคนพูดด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อผิดกับอีกฝ่ายที่หันมองเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเอามือเท้าคางและยิ้มกรุ้มกริ่มใส่
“นี่เจ้าเขิน?”
“ค-คือ-อ…เอ่อ-”
“ฮะๆๆๆ! หน้าแดงไปหมดแล้วนะ!” ยิ่งชายหนุ่มหน้าแดงและพูดติดอ่างทำให้ยูกิฮิเมะหัวเราะด้วยความชอบใจ “เฮ้อ~ ไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ…”
“ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตข้านะ ซาโตรุ”
“ข้าเองก็ต้องขอบคุณท่านด้วยเช่นกันที่เข้ามาในชีวิตของข้านะขอรับ” แล้วทั้งสองคนก็ดื่มด่ำไปกับการนั่งกินขนมและชมดอกไม้กันต่อและมีพูดคุยกันบ้าง จากการพบกันโดยบังเอิญจนได้กลายเป็นเพื่อนทางจดหมายและพัฒนาไปสู่ความรักในที่สุด และหวังว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะยังคงดำเนินไปได้ด้วยดีไปจนถึงอนาคต
แต่ความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ และถ้าโชคร้ายหน่อย
มันอาจจะไม่มีวันกลับมาอีก
.
.
.
เพี๊ยะ!!
“ไปมีความรักกับคนรับใช้แบบนี้ สติของเจ้าไม่สมประกอบแล้วใช่มั้ย!?” ตกกลางคืนของวัน แม่เลี้ยงเจ้าบ้านชิโรซากิได้มาที่เรือนเล็กแห่งนี้พร้อมกับลูกสาวอีกคนของเธอหรือก็คือพี่สาวต่างแม่ ยังไม่ทันที่ยูกิฮิเมะจะได้เอ่ยปากถามเธอก็โดนแม่เลี้ยงตบหน้าก่อนพร้อมตวาดใส่เสียงดัง
“ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าร่างกายเจ้ามันบกพร่องแต่ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะบกพร่องยันสมองด้วยน่ะ?” ลูกสาวคนโตเอ่ยเหยียดหยาม ส่วนคนโดนเหยียดไม่ได้ตอบโต้อะไรพลางเอามือมาลูบแก้มที่โดนตบและคิดว่าวันนี้ควรจะเงียบไม่ตอบโต้เหมือนเดิมดีมั้ยเพราะเธอไม่เคยเถียงชนะเลย
“ไม่ตอบด้วย? แปลว่าข้าพูดจริงสินะ?”
“…ปกติไม่เคยจะสนใจใยดีข้าอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นหัวข้าอีกวันนึงมันจะตายรึไง” แต่พอมาคิดดูอีกทีเธอก็เบื่อกับการอยู่ที่นี่เต็มทนแล้วจึงตัดสินใจที่จะเถียงสู้กลับบ้าง “อย่าบอกนะว่าที่ดั้งด้นมาหาข้าก็เพราะเรื่องข้ากับซาโตรุ? เหอะ! ตลกเป็นบ้า”
“นี่เจ้ากล้าเถียงข้าเหรอ!?” แม่เลี้ยงแหวใส่อย่างไม่พอใจ
“ถ้าใช่แล้วมันจะทำไม อิจฉาเหรอที่ข้าอยู่ของข้าเฉยๆแล้วมีคนมาชอบข้า-”
“หุบปาก!” พี่สาวตบหน้ายูกิฮิเมะอย่างแรงและแผดเสียงลั่น “อย่าคิดว่าแค่หน้าตาดีแล้วจะพูดอะไรก็ได้นะ!!”
“อ้าวพูดแบบนี้แปลว่ายอมรับแล้วสินะว่าเรื่องหน้าตาข้าชนะเจ้าน่ะ? เหมือนได้ยินมาว่าพวกชาวบ้านยกให้ข้าเป็นสาวงามอันดับ 1 ของเมืองแม้จะไม่เคยเห็นหน้าด้วยนี่?”
“กรี๊ดดดดด!!” ยูกิฮิเมะสวนกลับด้วยน้ำเสียงยียวนจนพี่สาวกรี๊ดยอมรับไม่ได้เพราะเรื่องที่ยูกิฮิเมะเป็นสาวงามอันดับ1 นั่นเธอเองก็เคยได้ยินและเกิดความอิจฉาว่าทั้งๆที่เธอเองก็สวยอยู่แล้ว แต่ทำไมพวกชาวบ้านต่างถึงได้สนใจยูกิฮิเมะแทนล่ะ
“นังนี่?!” แม่เลี้ยงมองคนผมฟ้าด้วยความเคียดแค้นแล้วหยิบมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อกิโมโน พอยูกิฮิเมะเห็นของในมือแม่เลี้ยงก็หน้าเสียขึ้นมาแล้วยกแขนตั้งการ์ดขึ้นมาป้องกันและหลับตาแน่น
“ถ้าไม่มีเจ้ามาตั้งแต่แรก-!”
“Glasya-Labolas (กลาเซียลาโบลัส)”
“!?” ทว่าในตอนที่แม่เลี้ยงกำลังจะเอามีดมาแทงยูกิฮิเมะนั้นเอง ก็มีเสียงปริศนาดังเข้ามาในโสตประสาทของยูกิฮิเมะรวมทั้งยังทำให้แม่เลี้ยงชะงักขึ้นมาดื้อๆ
“…?”
“ท่านแม่?” ยูกิฮิเมะลืมตาขึ้นมาด้วยความสงสัยและพี่สาวเรียกแม่ของเธอว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อ…อา…” แต่ว่าแม่เลี้ยงกลับพูดจาไม่เป็นคำแล้วเดินไปหาลูกสาวตัวเองโดยมีท่าทางที่เตรียมแทงคน
“ท่านแม่!? ท่านจะทำอะไร!!?”
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น-’
“ภาพความรุนแรงแบบนี้ เจ้าอย่าดูจะดีกว่านะ” และในขณะเดียวกันที่หญิงสาวคิดสงสัยในใจก็มีเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูเธอดังขึ้นมาจากด้านหลังและเอามือมาปิดตาเธอ
“ปะ! ไปข้างนอกกัน”
“เดี๋ยว-!” แล้วชายหนุ่มปริศนาก็ได้พายูกิฮิเมะออกไปข้างนอกแล้ววางเธอลงใต้ต้นซากุระหน้าบ้าน
“กรี๊ดดดด!!”
“ปีศาจ!!!” แถมเสียงกรีดร้องจากคนในคฤหาสน์ต่างดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายและเกิดเพลิงไหม้ลุกลามคฤหาสน์ รวมถึงเรือนเล็กของเธอถูกประตูเลื่อนปิดอยู่แต่ก็มีเลือดสาดกระเซ็นมาถึงประตู ด้านหญิงสาวเห็นภาพนั้นก็หน้าซีดขึ้นมาแล้วมองชายหนุ่มที่กำลังเสยผมหน้าม้าไปด้านหลัง
“นี่เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าคือวิญญาณคำสาปมีนามว่าทัตสึยะ” ทัตสึยะแนะนำตัวเองทั้งๆที่หลับตาอยู่แต่ไม่นานก็ลืมตาแล้วโน้มตัวลงเข้ามาใกล้กับอีกฝ่าย “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าที่ภรรยาของข้า”
“…หา?”
.
.
.
“นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!!” ในเวลาเดียวกันที่คฤหาสน์ที่ซาโตรุทำงานอยู่ ซาโตรุที่กำลังเดินไปส่งเจ้านายตัวเองเข้านอนก็มีคนส่งข่าวของคฤหาสน์วิ่งมาหาอย่างร้อนรนจนเจ้านายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้
“มีเรื่องอะไรถึงได้รีบมาที่นี่?”
“คฤหาสน์ชิโรซากิ…”
“หือ?”
“คฤหาสน์ชิโรซากิตอนนี้โดนพวกปีศาจบุกขอรับ!!!”
“ว่าไงนะ!?” สิ้นเสียงของคนส่งข่าว เจ้านายของซาโตรุก็ร้องตกใจเสียงดังก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าคนใช้ของตนกลับกระโดดขึ้นไปบนรั้วก่อนใครและออกจากคฤหาสน์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เห้ยซาโตรุ!!?-โธ่เว้ย! ไปเตรียมม้ามาเร็ว ข้าต้องไปตามหมอนั่น!!”
“รับทราบขอรับ!”
.
.
.
“ว่าที่ภรรยา? นี่เจ้าพูดบ้าอะไรกันก่อน? แล้ววิญญาณคำสาปที่ว่านี่คืออะไร”
“ข้าว่ามันก็ชัดอยู่นะท่านหญิงที่รัก” ตัดกลับมาที่คฤหาสน์ชิโรซากิที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงและเต็มไปด้วยโลหิต ยูกิฮิเมะกับทัตสึยะก็ยังคงคุยกันอยู่เพียงแต่หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าว่าที่ภรรยากลับทำหน้าไม่พอใจ
“เหอะ! งั้นก็เสียใจด้วยล่ะเพราะข้ามีชายที่ข้ารักอยู่แล้ว เพราะงั้นอย่าหวังว่าข้าจะยอมเป็นภรรยาเจ้า”
“…หึ!” ทัตสึยะแค่นยิ้มหัวเราะในลำคอ “ตามปกติแล้ว ถ้าเกิดคนเรามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน มักจะมีการบอกกันเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายใช่มั้ย”
“ห๊ะ?” หญิงสาวฟังคำถามที่อีกฝ่ายถามมาก็ทำหน้างง แต่ว่าคนถามกลับเหยียดยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เจ้ากล้าบอกคนรักของเจ้าเรื่องที่เจ้ามีพลังวิเศษที่ชื่อพลังไสยเวทรึเปล่า”
“?!!” แต่ประโยคต่อมาทำให้เธอตัวชาทันใดเพราะว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไงว่าเธอมีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี
“แล้วที่ถามว่าวิญญาณคำสาปคืออะไรนี่ก็อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลยน่าท่านหญิงที่รัก เจ้ารู้ว่ามันคืออะไรรวมถึงวิธีการปัดเป่าคำสาปด้วย แต่ดูจากพลังไสยเวทของเจ้าแล้ว…มันไม่เหมาะกับการปัดเป่าล่ะสิ เจ้าถึงได้ไม่ยอมบอกใครแม้กระทั่งคนรักของตัวเอง? มิหนำซ้ำ—”
“มันคือคำสาปสวรรค์ที่ทำให้เจ้าต้องกลายเป็นคนพิการทางขาอีก”
“…” ยูกิฮิเมะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตื่นตระหนก เพราะที่อีกฝ่ายพูดมามันคือเรื่องจริงทั้งสิ้น เธอรู้จักสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณคำสาป พลังไสยเวท รวมทั้งเธอเองก็มีพลังไสยเวทแฝงอยู่
แต่เธอไม่เข้าใจว่าวิญญาณคำสาปตรงหน้ารู้ได้ไงว่าเธอมีความลับอะไรกันแน่
“ที่พูดมาทั้งหมด เจ้าไปรู้มาจากไหน”
“ก็มาจากเจ้าทั้งนั้นแหละ” ชายหนุ่มชี้ไปที่ตัวยูกิฮิเมะเอง “แม้เจ้าจะหลอกทุกคนบนโลกได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกตัวเองและความทรงจำได้หรอกนะ ชิโรซากิ ยูกิฮิเมะ”
‘ไอ้หมอนี่…มันมีพลังอ่านความทรงจำได้เหรอ!?’ ยูกิฮิเมะกัดฟันกรอด
“สรุปว่ายังไง จะยอมเป็นภรรยาข้ารึเปล่า”
“ข้ายอมกัดลิ้นตายตรงนี้ดีกว่าต้องไปเป็นภรรยาเจ้า” ยูกิฮิเมะเอ่ยเสียงแข็ง “และที่สำคัญที่สุด คนที่ข้าอยากใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่เฒ่าคือซาโตรุ ไม่ใช่เจ้า ทัตสึยะ”
“...ฮึๆๆๆๆ ฮะๆๆๆๆๆ!” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อนิ่งไปพักนึงก่อนจะหัวเราะลั่นเสียงดัง “ช่างเป็นผู้หญิงที่รักเดียวใจเดียวเหลือเกินนะ แต่แบบนี้แหละข้าถึงได้ชอบเจ้า”
“ที่พูดไปไม่เข้าหูเลยรึไง?!”
“ท่านยูกิฮิเมะ!” และแล้วซาโตรุก็มาถึงที่คฤหาสน์ชิโรซากิจนได้และรีบมายังเรือนเล็กนี้ด้วยความร้อนใจ จนกระทั่งเขาได้พบกับยูกิฮิเมะที่ยังคงปลอดภัยดีกับอมนุษย์บุรุษผมสีเงินตนหนึ่งที่อยู่กับเธอ
“ดูซิว่าใครมาน่ะท่านหญิง~” ทัตสึยะยิ้มยียวนก่อนจะบีบคอหญิงสาวด้วยมือข้างเดียวและยกขึ้น ทำให้หญิงสาวเผลออ้าปากออกตามสัญชาตญาณที่ถูกบีบคอ
“ปล่อยท่านยูกิฮิเมะเดี๋ยวนี้นะ!!” ชายหนุ่มผมดำร้องตะโกนด้วยความโมโหและชักดาบออกมา
“…เห~ แบบนี้นี่เอง ช่างเป็นอนาคตที่น่าสนใจจริงๆ” แต่แล้ววิญญาณคำสาปมังกรได้พูดแปลกๆพลางมองยูกิฮิเมะและซาโตรุสลับกัน “ถ้างั้น—”
ฉัวะ!!
“!?” แต่ทันใดนั้นเองก็มีมีดน้ำแข็งพุ่งมาแทงร่างของซาโตรุโดยไม่ทันตั้งตัวจนเขาทรุดลงกับพื้น รวมทั้งพุ่งมาแทงแขนข้างที่ว่างของทัตสึยะให้เป็นแผลเหวอะและมีเลือดออกเป็นจำนวนมาก
“มาบอกลาคำสาปสวรรค์น่ารำคาญและเริ่มต้นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของราชินีหิมะกันเถอะ” แล้วชายหนุ่มได้เอาแขนที่เต็มไปด้วยเลือดยัดเข้าปากบังคับให้เธอได้ดื่มเลือดของเขาเข้าไป
“?!-อ๊ากกกกกก!!!” และทันทีที่เลือดไหลลงเข้าคอ ยูกิฮิเมะก็กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทุรนทุราย พอทัตสึยะเห็นแบบนั้นก็วางเธอลงและปล่อยเธอให้นอนดิ้นทุรนทุรายกับอาการของตัวเองไป
“นี่เจ้า…ทำอะไร…!” ซาโตรุเอ่ยกระท่อนกระแท่นพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา
“ก็แค่ทำให้เป็นเหมือนข้าน่ะสิ ในเมื่อชีวิตมนุษย์มันอยู่ได้ไม่นานก็แค่ทำให้เป็นคำสาปเหมือนกันข้า เท่านี้ข้ากับนางก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้ว” ทัตสึยะเดินตรงไปหาซาโตรุและเอ่ยด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็เอามือมาบีบแก้มอีกฝ่าย
“แต่ประเด็นคืออะไรรู้รึเปล่า ต่อให้เจ้าไปเกิดใหม่แล้วนางก็ยังรักเจ้าอยู่-”
ฉัวะ!!
“!!?” ทันใดนั้นเอง ร่างของทัตสึยะกลับมีมือทะลุออกมาจากอกทำให้ทัตสึยะตกใจจนต้องปล่อยมือออกจากซาโตรุและหันกลับไปมองว่าเป็นฝีมือใครกัน
“อย่ายุ่ง…กับซาโตรุ…” และคนๆก็คือยูกิฮิเมะที่ตอนนี้กลายเป็นคำสาปครึ่งคนครึ่งมังกรเช่นเดียวกับทัตสึยะแล้ว เพียงแต่เธอไม่มีเขาเหมือนกับอีกคนเท่านั้นและพยายามประคองสติเพื่อช่วยคนรักของตน
‘…เงื่อนไขที่สอง? ผิดคาดเลยนะเนี่ย’ แต่คนโดนแทงกลับไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนที่ตัวเองโดนแทงและคิดในใจ ‘แต่ก็ถือว่าอยู่ในการคำนวณของมันอยู่ดี เป็นพลังที่น่ากลัวชะมัด เอาเถอะอย่างน้อยที่ผ่านมาข้าก็ได้ใช้จนได้กลายเป็นไอ้นั่นแล้ว เพราะงั้น—’
“…แบบนี้แหละดีแล้ว” สิ้นคำพูดของชายหนุ่มผมเงิน ยูกิฮิเมะก็ใช้พลังน้ำแข็งพันปีสร้างดาบน้ำแข็งแล้วฟันร่างของทัตสึยะให้เป็นสองท่อนและสลายหายไปในที่สุด
“…” ซาโตรุเห็นภาพนั้นก็ช็อกจนไม่พูดออก โดยเฉพาะหญิงสาวที่เคยบอกว่าตนเดินไม่ได้บัดนี้กลับยืนสองขาได้ดั่งปาฏิหาริย์และเสื้อผ้าของเธอก็เลอะเลือดสีม่วงจากการแทงทัตสึยะไป
“ท่าน…ยูกิฮิเมะ?”
“?!” หญิงสาวเจ้าของชื่อได้สติและเห็นซาโตรุที่อึ้งกับสภาพของเธอในตอนนี้ก็หน้าซีดแล้วเดินถอยหลังราวกับว่ากลัวอีกฝ่ายจะรับไม่ได้
“ไม่เอา…อย่ามองข้านะ…”
“ท่านยูกิ-อึก?!” ชายหนุ่มพยายามเดินไปหาเธอแต่ทว่าแผลที่โดนแทงมันรั้งให้เขาไม่ให้ไป
“มนุษย์…มนุษย์!”
“?!” ในตอนนั้นเองกลับมีคำสาปที่เป็นลูกน้องทัตสึยะมาเจอเข้าพอดีและพุ่งตรงเข้าไปหาซาโตรุ ทว่ามันก็ถูกยูกิฮิเมะจัดการไปด้วยความรวดเร็วจนชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตา ส่วนยูกิฮิเมะก็มองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิดก่อนใช้อาคมย้อนกลับใส่ซาโตรุเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
“ขอโทษ”
“ท่านยูกิฮิเมะ!? เดี๋ยวก่อน-!?” แล้วเธอก็กระโดดออกไปจากคฤหาสน์แล้วหายตัวไปในที่สุด ชายหนุ่มที่กำลังจะห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้วได้แต่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ รวมถึงอาการบาดเจ็บที่ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมากจนเขาตามไม่ทันว่าอะไรมาก่อนอะไรมาหลังกันแน่
“ท่านยูกิฮิเมะ…”
.
.
.
“ฮึก…” ด้านยูกิฮิเมะที่หนีออกมาจากคฤหาสน์มาอยู่ในป่าลึกตอนนี้ก็กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้ที่สภาพของตัวเองกลายเป็นคำสาปมังกรแถมยังโดนซาโตรุมาเห็นอีก ทำให้เธอไม่มีหน้าจะไปเจออีกฝ่ายแล้วแม้จะอยากเจอแค่ไหนก็ตามและได้แต่ขอโทษอยู่ซ้ำๆทั้งน้ำตา
“ข้าขอโทษซาโตรุ…ข้าขอโทษ…”
.
.
.
Talkๆdesu: fact เล็กๆน้อยๆ กลาเซียลาโบลัสคือปีศาจที่เป็นหนึ่งในปีศาจรับใช้ 72 ตัวของโซโลมอนค่า
อยากลาออกจากมอถ้าไม่ติดว่าตัวเองอยู่ปี4แล้ว สู้ชีวิตเหลือเกิน
สนุกไม่สนุกยังไงก็บอกได้นะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งต่อ
เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยย
S Q W E E Z T H E M E @ D E K - D
ความคิดเห็น