คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง (2)
“ทัตสึยะ?”
“ถูกต้อง ดูจากสีหน้าเจ้าแล้วคำถามน่าจะเยอะน่าดู เอาเรื่องไหนก่อนดีนะ~”
‘มีคนแปลกๆโผล่มาเพิ่มอีกแล้ว…’ อากาเนะคิดในใจกับท่าทางลั้ลลาของอีกฝ่าย
“แต่ตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่าข้าจะบอกเจ้าเรื่องยูกิฮิเมะ งั้นข้าบอกเรื่องนางดีกว่า”
“คุณรู้จักยูกิฮิเมะได้ไง” อากาเนะนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มถาม
“ก็ข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางกลายเป็นวิญญาณคำสาปไง”
“…หาาา!!?” คำตอบของชายหนุ่มทำเอาเด็กสาวร้องเสียงดัง เพราะเขาตอบอย่างกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“เดี๋ยวนะ ถ้าคุณตอบแบบนี้…แปลว่ายูกิฮิเมะเคยเป็นมนุษย์มาก่อนน่ะสิ? แล้วที่คุณทำเขาให้กลายวิญญาณคำสาปนี่คือตั้งใจหรือว่ายังไง?”
“อ้อ ก็ตั้งใจทำให้เป็นวิญญาณคำสาปจริงๆนั่นแหละ” ทัตสึยะตอบ “แต่ข้าเปลี่ยนได้ไม่ทันไรก็โดนฆ่าทันทีเลยเนี่ยสิ เฮ้อ~โชคร้ายชะมัด”
“โดนฆ่าทิ้ง? มีผู้ใช้คุณไสยมาจัดการคุณเหรอ”
“ไม่ใช่ผู้ใช้คุณไสยแต่เป็นยูกิฮิเมะต่างหาก”
“ห๊ะ?” อากาเนะช็อกรอบสอง “เดี๋ยวก่อน คือคุณไปทำยูกิฮิเมะให้เป็นวิญญาณคำสาปก่อน แต่ก็ไปทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ให้ยูกิฮิเมะมาฆ่าคุณ-”
“คืองี้นะคุณหนู ข้าเปลี่ยนนางเป็นวิญญาณคำสาปเสร็จปุ๊บข้าก็โดนนางกระซวกเป็นรูเลย ตอนโดนคืออึ้งจริง”
“…” เด็กสาวได้ฟังก็หน้าเหวอกว่าเดิม “อารมณ์แบบว่าถึงโดนเปลี่ยนเป็นวิญญาณคำสาปแล้วแต่ก็ยังคงสติตัวเองได้อยู่ก็เลยฆ่าทิ้งแบบนี้เหรอ”
“ถูกต้องนะคร้าบ~ เอาไปเลย 10 คะแนน~” ชายหนุ่มปรบมือให้กับคำตอบของเธอ “ที่จริงตอนเปลี่ยนข้าทำเงื่อนไขไว้ 2 แบบ ข้าก็มั่นใจว่ายังไงนางก็ไม่สามารถคงสติตัวเองได้แล้วจะกลายเป็นแบบเงื่อนไขแรก แต่ผลที่ได้คือผิดคาดและกลายเป็นเงื่อนไขที่สองแทน”
“ตั้งเงื่อนไขตอนเปลี่ยนมนุษย์เป็นวิญญาณคำสาป? มันสามารถทำแบบได้ด้วยเหรอ” อากาเนะถามด้วยความสงสัย
“ตามหลักการแล้วคือไม่ แต่พอดีว่าข้าเป็นตัวตนแปลกแยกก็เลยทำได้”
“ตัวตนแปลกแยก? คุณเป็นตัวอะไรกันแน่”
“…” คราวนี้ทัตสึยะไม่ตอบแต่เจ้าตัวกลับเหลียวตามองไปทางอื่นก่อนจะยิ้มออกมา
“นั่นสินะ~ ข้าเป็นตัวอะไรเจ้าก็ลองทายดูละกัน~”
“เอาอีกแล้ว ไม่ตอบอีกแล้ว…”
“ฮึๆๆ” อากาเนะทำหน้ามุ่ยพอใจแต่ชายหนุ่มกลับขำในลำคอ “แต่บอกตามตรง ตัวคุณหนูเองก็น่าสนใจไม่แพ้ยูกิฮิเมะเหมือนกันนะ”
“หา?” เด็กสาวทำหน้างง
“โกงความตายมาได้เพราะมีพ่อหนุ่มยมทูตมาช่วยแถมยังได้เนตรยมทูตมาเป็นของต่อชีวิตเลยทำให้มองเห็นอดีตและอนาคตได้ ไหนจะไสยเวทของพ่อเจ้าที่ไม่ค่อยมีใครดึงความสามารถออกมาได้จนกระทั่งเจ้าได้มันมาถึงแม้จะเพิ่งมาใช้ได้ทีหลังก็เถอะ แถมยังเป็นถึงลูกหลานของจักพรรดิสุโตคุแล้วก็มีไสยเวทน้ำแข็งพันปีของตระกูลฟุบูกิที่มีจุดเริ่มต้นมาจากยูกิฮิเมะอีก มีบุญมีวาสนาเหลือเกินนะ”
“เอาอะไรมามีบุญ พ่อแม่ฉันตายเพราะบ้านฮิรามารุแถมฉันก็เกือบตายเพราะคนจากบ้านนั้นอีก” เด็กสาวเอ่ยด้วยความหัวเสีย “ว่าแต่คุณรู้ได้ไงว่าตอนนี้ฉันมีพลังอะไรบ้าง”
“ความทรงจำมันโกหกกันไม่ได้จ้า” ชายหนุ่มกอดอกแล้วเอาหลังพิงพนักเก้าอี้ “แต่การที่เจ้ามองเห็นอดีตและอนาคตแบบนี้มันทำให้ข้าอยากรู้เหมือนกันนะ”
“?”
“ในเมื่อตอนนี้เจ้าเห็นอนาคตของโกะโจ ซาโตรุ แต่เจ้าเลือกที่จะไม่ช่วยและปล่อยให้เป็นไปตามอนาคตที่เจ้าเห็น ขอถามหน่อยได้มั้ยว่าเพราะอะไรเจ้าถึงตัดสินใจที่จะไม่ช่วย?”
“…” อากาเนะนั่งเงียบใช้ความคิดอยู่นานสองนานจนกระทั่งเธอตอบออกมา “มันไม่มีอะไรมารับประกันว่าช่วยอาจารย์ไปแล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น”
“หืม~ ยังไงนะ” ทัตสึยะร้องด้วยความสนอกสนใจ
“ถ้าดูจากอนาคตที่ฉันเห็นที่ชิบุย่า ทางศัตรูตั้งใจใช้คนบริสุทธิ์เป็นเครื่องสังเวยสำหรับแผนกำจัดอาจารย์โกะโจมาตั้งแต่แรกแล้ว แถมพลังของอาจารย์ก็ไม่เหมาะที่จะใช้ในที่ๆมีคนแออัดกันด้วย ถ้าเกิดฉันไปช่วยเผลอๆฉันอาจจะเป็นตัวถ่วงให้อาจารย์อีก ถ้าช่วยไปอาจารย์อาจจะรอดจริงแล้วคนอื่นล่ะ ฉันเป็นพวกที่ถ้าเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าสองคนแทนที่จะเลือกว่าควรจะช่วยใครฉันจะหาวิธีช่วยให้รอดกันหมดทุกคน พอมาคิดในสถานการณ์ของอาจารย์แล้ว ตอนนั้นมีทั้งอาจารย์กับคนธรรมดาอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แถมพลังของฉันก็เหมือนกับอาจารย์ตรงที่มันไม่เหมาะที่จะใช้ในที่ๆมีคนเยอะ ฉันเลยไม่กล้าเสี่ยงไปเปลี่ยนอนาคตนั่นหรอก”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าคิดสินะ…” ชายหนุ่มครุ่นคิด “ข้าจะไม่ตัดสินว่าสิ่งที่เจ้าคิดมันถูกหรือผิด เพราะมันไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องมาตั้งแต่แรกแต่เจ้าจะยอมรับผลที่ตามมาได้รึเปล่า-”
“ฉันยอมรับได้”
“?”
“ในเมื่อฉันตัดสินใจไปแล้ว ฉันก็ต้องเตรียมใจที่จะยอมรับผลที่ตามมาด้วย แต่คุณก็เป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าถึงแม้จะรู้ตอนจบแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ความหมายในตอนจบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันคือเส้นทางก่อนถึงตอนจบ ถึงฉันจะไม่ไปช่วยอาจารย์โกะโจแต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่จะทำอะไรเลย”
“…” ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ “จะบอกว่ามีแผนงั้นเหรอ”
“คิดเอาเองสิ”
“ฮะๆๆๆๆ! มีย้อนซะด้วย” พอเด็กสาวย้อนใส่ทำเอาคนฟังหัวเราะเสียงดัง “เข้าใจแล้วว่าทำไมยูกิฮิเมะถึงได้หวงเจ้าขนาดนั้น”
“ห๊ะ?”
“เพราะตอนนี้ข้าเองก็เริ่มรู้สึกชอบเจ้าขึ้นมาแล้วน่ะสิ-”
ชิ้ง!!
“!!?” แต่ทันใดนั้นเองก็บุคคลมาใหม่ถือมีดน้ำแข็งมาจ่อที่ต้นคอของชายหนุ่มจากด้านหลัง
“ถ้าเป็นคนอื่นพูดข้าคงไม่รู้สึกอะไร แต่พอเป็นเจ้าแล้วข้าคงปล่อยไว้ไม่ได้”
“ยูกิฮิเมะ!?” อากาเนะร้องตกใจที่คนที่เอามีดมาจ่อคออีกฝ่ายนั้นก็คือคำสาปสาวที่หายหน้าหายตาไปนาน
“ขอโทษที่มาช้านะอากาเนะ พอดีข้าไปงีบมาแล้วเพิ่งตื่นน่ะ”
“…หึ” แต่ทัตสึยะกลับแค่นหัวเราะออกมา “ข้ารู้นะว่าเจ้าแอบฟังอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”
“?!”
“?” ประโยคของชายหนุ่มทำให้อากาเนะเกิดความสงสัย แต่ยูกิฮิเมะกลับชะงักขึ้นมา
“เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้ท่านหญิงที่รักของข้ากล้าโกหกต่อหน้าเด็กตัวเองแล้วเนี่ย~” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน
“…ชิ!” คำสาปสาวเดาะลิ้นไม่พอใจ “อากาเนะ ที่บอกว่าเพิ่งตื่นคือข้าโกหก ขอโทษนะ”
“…” เด็กสาวไม่ตอบอะไรกลับมาจนคำสาปสาวเริ่มใจเสีย แต่ทัตสึยะเลือกที่จะเหยียบซ้ำ
“ว้ายยย ทำตัวเองนะ-”
ปั่ก!!!!
“!!?”
“เป็นไปได้ก็ไม่อยากทำต่อหน้าเจ้าหรอกนะอากาเนะ แต่ข้าขอหน่อยไอ้คนแบบนี้มันโดนซักที” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือยูกิฮิเมะจับหัวทัตสึยะแล้วโขกกับโต๊ะอย่างแรง คำสาปสาวเลยเอ่ยขอโทษไปก่อนแต่ก็ทำเอาอากาเนะอ้าปากเหวอไปเลย
“เจ็บๆๆๆ…ไม่คิดจะออมแรงให้เลยแฮะ…” ส่วนคนเจ็บก็เอามือลูบหัวตัวเองที่โดนโขกไปเมื่อครู่
“เอ่อ…ยูกิฮิเมะ” ระหว่างนั้นอากาเนะก็เรียกชื่อเธอขึ้นมา
“ว่า?”
“เธอ…ไม่โกรธกันใช่มั้ย”
“?”
“ที่ฉันมารู้เรื่องภูมิหลังของเธอน่ะ”
“…เฮ้อ~” ยูกิฮิเมะเงียบไปพักนึงก่อนถอนหายใจออกมา “มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ความลับมันไม่มีในโลกแต่ที่ข้าไม่ยอมบอกเพราะข้าไม่อยากให้พวกเจ้ามาฟังแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาน่ะ แล้วก็ข้าไม่มีความกล้ามากพอที่จะสามารถเล่าออกมาได้โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกอะไรด้วย”
“…”
“ที่ทัตสึยะพูดออกมานั่นเป็นเรื่องจริง ในอดีตข้าเคยเป็นมนุษย์แต่ก็โดนไอ้เวรตะไลนี่เปลี่ยนข้าให้เป็นวิญญาณคำสาปด้วยเหตุผลที่โคตรจะไร้สาระแบบสุดๆ”
“ยังไงนะ?” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย
“อากาเนะ ในสายตาของเหล่าผู้ใช้คุณไสย วิญญาณคำสาปที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ต่อกรยากที่สุดคือสุคุนะใช่มั้ย” แต่ยูกิฮิเมะกลับไม่ยอมตอบและถามประเด็นอื่นแทน
“มันก็ใช่อยู่หรอก แล้วทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนประเด็นกันก่อน”
“เดี๋ยวข้าจะบอกให้ทีหลังทำไม แต่ถ้าในสายตาข้าวิญญาณคำสาปที่ต่อกรยากที่สุดไม่ใช่เจ้านั่นแต่เป็นไอ้เวรนี่” แล้วคำสาปสาวก็ชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มผมหน้าม้าปิดตาที่นั่งสลอนอยู่อย่างนั้น
“หา?” แน่นอนว่าอากาเนะเห็นแล้วก็งงเป็นไก่ตาแตก เพราะสุคุนะเป็นถึงราชาคำสาปที่แกร่งสุดๆ ทำให้ไม่มีใครสามารถปัดเป่าได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทำไมยูกิฮิเมะถึงได้บอกว่าทัตสึยะต่อกรยากกว่าสุคุนะกัน
“เหตุผลคือไม่ว่ามันจะทำอะไร เจ้าจะไม่สามารถหาเหตุผลจากมันได้เลย ทุกอย่างที่ไอ้เวรนี่ทำมาทั้งหมดมันทำเพื่อสนองความบันเทิงของตัวเองทั้งนั้น”
“เพราะงี้ข้าถึงเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใฝ่หาความบันเทิงไง” ทัตสึยะแทนที่จะรู้สึกเกรงกลัวเขากลับเสริมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“อีกอย่างนึงก็คือมันเป็นวิญญาณคำสาปที่มีพลังร้ายกาจมาก ถึงมันจะไม่ใช่สายระเบิดพลังจนทุกสิ่งทุกอย่างพังราบเป็นหน้ากลอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะยอมเป็นเหยื่อให้ตัวเองโดนกำจัดง่ายๆ”
“แต่เดี๋ยวนะ ตะกี้เธอพูดถึงวิญญาณคำสาป หมายความว่าทัตสึยะเป็นวิญญาณคำสาปเหรอ” เด็กสาวยกมือแทรกถาม
“…” ยูกิฮิเมะได้ยินแล้วก็เงียบเป็นรอบสอง เธอลืมไปเลยว่าอากาเนะยังไม่รู้เรื่องเกล็ดมังกรที่ได้มาจากเซย์จิว่ามันคือวัตถุต้องสาปของเธอเองและมันยังพ่วงเศษเสี้ยววิญญาณของทัตสึยะที่ไม่รู้ว่าไปทำยังไงให้ฝังวิญญาณกับมันมาได้ด้วย
“โอ๊ะโอ~ โดนจับได้ซะแล้ว” ส่วนทัตสึยะก็ยังคงตอบแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรเหมือนเดิม
“เฮ้?!!!!!!!!!” อากาเนะตวาดเสียงดัง “แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนนนนนนน!!! บอกมาเลยนะว่านายใช้วิธีอะไรถึงได้มาอยู่ในร่างฉันได้เนี่ย!!!”
“ฉันไม่ได้อยู่ในร่างคุณหนูเหมือนกับยูกิฮิเมะซักหน่อย แต่คุณหนูก็เป็นคนเอาฉันมาเองไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไปเอานายมาตอนไหนก่อนไม่ทราบ?!”
“ก็ที่บ้านใหญ่ของคุณหนูไง”
“บ้านใหญ่? ฉันไปเอา-” เด็กสาวทวนประโยคของชายหนุ่ม ทำให้เธอนึกออกได้ทันทีว่าของที่เธอได้มาจากบ้านใหญ่ก็มีแค่เครื่องรางที่มีเกล็ดของสิ่งมีชีวิตที่เธอคิดว่าเป็นเกล็ดงูกลับมาด้วย แล้วคนที่ให้ก็คือปู่ของเธออีก
“…ไอ้เครื่องรางนั่นอะนะ!!!!?”
“ช่ายยยยย~ แต่ว่าหมอนั่นไม่รู้เรื่องข้าหรอก รวมถึงเจ้าคนที่ส่งเกล็ดนั่นมาด้วย”
“ขอประทานโทษนะ ถ้าไม่นับอากาเนะมันก็ไม่มีใครรู้จักเจ้านอกจากข้าแล้วเถอะ” ยูกิฮิเมะพูดแทรก
“แล้วคุณหนูอยากรู้รึเปล่าว่าเกล็ดที่อยู่ในเครื่องรางที่คุณหนูได้มานั่นน่ะคืออะไร”
“เกล็ดนั่นน่ะเหรอ”
“…:)” ทัตสึยะยิ้มกริ่มก่อนจะหันไปยูกิฮิเมะที่อยู่ข้างหลังตน “จะให้ข้าเป็นคนบอกหรือเจ้าจะบอกเอง”
“…ข้าบอกเอง” คำสาปสาวกัดฟันตอบด้วยความหนักใจ “อากาเนะ ข้าขอโทษอีกรอบนะแต่เครื่องรางที่เจ้าได้มามันไม่ใช่เครื่องรางอย่างที่เจ้าเข้าใจ”
“ขอโทษรอบสอง? ใจไม่ดีแล้วเนี่ย…” อากาเนะว่าด้วยความระแวง
“ที่จริงแล้ว…เกล็ดนั่นมันไม่ใช่เกล็ดงู”
“?”
“มันเป็นเกล็ดมังกรหรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ…วัตถุต้องสาปของข้าเอง”
“…” คนผมแดงได้ยินแบบนั้นก็หน้าเหวออีกรอบ “คือฉันสามารถรีแอคชั่นอะไรได้อีกนอกจากร้องห๊ะเนี่ย!?”
“แต่เจ้าเป็นคนเฉลยเองแบบนี้มันไม่สนุกเลยนะ”
“เจ้าหุบปากไปเลย” ทัตสึยะบ่นแต่ก็โดนยูกิฮิเมะสวนกลับมา
“แต่เมื่อกี้เธอบอกว่าเป็นเกล็ดมังกรแล้วก็เป็นวัตถุต้องสาปของตัวเอง…อย่าบอกนะ-” เด็กสาวทวนประโยคก่อนจะมองคำสาปสาวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “โดนทัตสึยะเปลี่ยนจากมนุษย์ให้เป็นคำสาปมังกร?”
“ถ้าเอาตามความจริง สภาพของข้าที่โดนเปลี่ยนเมื่อตอนนั้นมันเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกร แต่ถ้าถามว่าข้าสามารถแปลงร่างเป็นมังกรได้มั้ย คำตอบคือข้าทำได้”
“แต่ก็อย่างที่ข้าเคยบอกไปนั่นแหละ พอข้าเปลี่ยนนางเสร็จข้าก็โดนฆ่าทิ้งทันที” ทัตสึยะพูดเสริม
“เออนี่สงสัยมานานละ” อากาเนะยกมือถามแทรกรอบสอง “เธอบอกว่าทัตสึยะเป็นคำสาปที่เราไม่สามารถหาเหตุผลของเขาจากการกระทำแต่ละอย่างได้เลย แล้วเหตุผลที่เธอโดนเปลี่ยนเป็นคำสาปนี่เธอรู้รึเปล่า?”
“…มันบอกได้มั้ยมันก็บอกได้นะ แต่…” ยูกิฮิเมะถึงกับเอามือกุมขมับ “เหตุผลมันไร้สาระมากจนเจ้าได้แต่เกาหัวเลยเนี่ยสิ”
“ขนาดนี้แล้วบอกมาเถอะ” แต่อากาเนะก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าสาเหตุที่ยูกิฮิเมะถูกเปลี่ยนเป็นคำสาปคืออะไร
“มันจะเอาข้าเป็นเมีย”
“…ห๊ะ?”
“ฟังไม่ผิดหรอก เหตุผลที่ไอ้หมอนี่มันเปลี่ยนข้าให้เป็นคำสาปคือมันจะเอาข้าเป็นภรรยา แต่เพราะตอนนั้นข้าเป็นมนุษย์อยู่เลยไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ มันเลยทำให้ข้ามีอายุยืนด้วยการเปลี่ยนข้าให้เป็นคำสาปและหวังให้ข้ามาชอบมัน เป็นเหตุผลที่โคตรไร้สาระที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย”
“ก็ข้าชอบเจ้าก็เลยอยากได้เป็นเมียมันผิดตรงไหน” ทัตสึยะแย้ง
“แต่เจ้าก็ควรจะสำเหนียกด้วยว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า และต่อให้มึงจะพยายามแค่ไหนข้าก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจมาชอบเจ้าหรอก”
“ใช่สิ ข้าจะไปสู้คนในใจเจ้าได้ยังไง รักเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรยันหมอนั่นมาเกิดใหม่แล้วเจ้าก็ยังรักมันอยู่-”
“ทัตสึยะ” แต่ในระหว่างที่ทัตสึยะประชดอยู่ คำสาปสาวก็เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “อย่าเสือก”
“…” ชายหนุ่มที่โดนด่าจ้องคำสาปสาวอย่างไม่พอใจแต่อีกฝ่ายก็จ้องตาสู้กลับเช่นกัน ต่างคนต่างไม่พูดอะไรจนอากาเนะที่นั่งดูอยู่ก็ได้แต่รู้สึกเกร็งจนไม่กล้าพูดอะไรนอกจากเอามือทาบอก เพราะถ้าดูจากสถานการณ์แล้วยูกิฮิเมะตอนนี้อารมณ์ไม่ดีแบบสุดๆ
แต่นอกจากที่เธอจะรู้สึกเกร็งแล้ว ต่อมอยากรู้เรื่องชาวบ้านของเธอก็กระตุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่ทัตสึยะบอกว่ายูกิฮิเมะมีคนในใจแล้วและไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามยังไงอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจอยู่ดี
ที่น่าสนใจคือรักมาตั้งแต่ชาติที่แล้วจนกระทั่งมาเกิดใหม่นี่แหละ
“…เอ่อ…คือ…”
“!? อะแฮ่ม!” อากาเนะเอ่ยราวกับจะบอกทั้งสองคนว่าตนยังอยู่ ยูกิฮิเมะที่ได้ยินก็กระแอมไอกลับมาทำตัวตามปกติ “ขอโทษด้วยอากาเนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้ากลัวนะแต่ว่าไอ้เวรนี่…ปากหมาเกิน”
“ถ้าดูจากเมื่อกี้แล้วฉันก็รู้สึกกลัวจริงๆนั่นแหละ” อากาเนะตอบ “แต่ตะกี้ฉันได้ยินว่าทัตสึยะชอบเธอ-”
“ใช่จ้า ข้าชอบยูกิฮิเมะในเชิงนั้นเลยนะคุณหนูน้อย แต่ปัญหาคือนางใจแข็งเนี่ยสิ” ทัตสึยะตอบแทรกแล้วหรี่ตามองใส่คำสาปสาวแล้วร้องงอแง “เฮ้อ~ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดไปหมดเลยยยย”
“…อากาเนะ ข้าว่าเจ้าออกไปก่อนดีกว่าถ้าไม่อยากฟังไอ้หมอนี่งอแง” ยูกิฮิเมะดูจากสภาพของคำสาปหนุ่มแล้วเลยบอกให้อากาเนะออกจากอาณาเขตของตนไปก่อน ซึ่งเด็กสาวเองก็รู้สึกเห็นด้วยเช่นกัน
“งั้นฉันไปก่อนนะ ถ้าโดนไอ้หมอนี่ทำอะไรให้รีบมาฟ้องฉันเลยนะ”
“ถ้ามันหนักจริงข้าจะรีบฟ้องนะ” ยูกิฮิเมะรับคำ จากนั้นร่างของเด็กสาวผมแดงก็หายไปทำให้อาณาเขตตามกำเนิดตอนนี้เหลือแค่คำสาปสองตน
“…จะใช้มุกเดิมอีกแล้วเหรอ” คำสาปสาวถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะบทสนทนาของอากาเนะกับทัตสึยะเธออยู่ฟังมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตอนที่ทัตสึยะไปคุยกับอากาเนะที่ไซตามะเธอไม่รู้เรื่องจริงๆ ยิ่งตอนที่อากาเนะพูดถึงเส้นทางตอนจบนั่นเธอก็รู้ได้ทันทีอีกฝ่ายหาโอกาสไปคุยกับเด็กสาวมาก่อนหน้านี้แล้วและเตรียมทำอะไรแปลกๆอีกด้วย
“เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ เด็กคนนั้นมีเนตรยมทูตเลยนะ” ทัตสึยะตอบแบบไม่ได้ยอมรับตรงๆแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร
“แต่ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนมันก็ไม่เคยมีบันทึกเรื่องผู้ที่ดึงพลังของเนตรยมทูตออกมาได้อย่างสูงสุดเลยซักนิด เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าอากาเนะจะสามารถปลดขีดจำกัดของเนตรยมทูตได้ก่อน?”
“สัญชาตญาณล้วนๆเลยจ้ะท่านหญิงที่รัก” ทัตสึยะเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน “จากเท่าที่คุยกับนางแล้ว ข้าลงพนันว่านางทำได้นะ”
“…”
“จากผู้มองเห็นอดีตและอนาคตสู่ผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ ถ้านางทำได้ล่ะก็นางก็จะก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นพระเจ้าเลยล่ะ”
“…เว้นแต่ทางยมโลกจะไม่พอใจ” คำสาปสาวเอ่ยเสียงเครียด
“ไม่หรอก ข้าว่าทางนั้นไม่น่าไม่พอใจหรอก” ทัตสึยะตอบอย่างไม่เดือดร้อน “แต่ข้าว่าเจ้าควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้หน่อยก็ดี แต่ไม่ใช่เรื่องคุณหนูน้อยนะ”
“?”
“เจ้าเป็นคนพูดเองว่าความลับไม่มีในโลก แล้วถ้าโกะโจ ซาโตรุไปตามสืบอดีตของเจ้าจนเจอขึ้นมา เจ้าจะแก้ตัวกับหมอนั่นยังไง”
“?!!” คำสาปสาวได้ฟังแล้วก็ตัวชาขึ้นมา
“ข้าเตือนด้วยความหวังดีทั้งนั้นเลยนะ ไปล่ะบ๊ายบาย~” แล้วทัตสึยะก็หายตัวไปปล่อยให้ยูกิฮิเมะยืนเคว้งทั้งอย่างนั้น ส่วนยูกิฮิเมะที่ฟังคำเตือนคองคำสาปหนุ่มไปก็เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นในจิตใจ เธอเลยนั่งบนเก้าอี้ที่อากาเนะเคยนั่งก่อนจะเอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะ
แม้ท่านยูกิฮิเมะจะไม่สามารถเดินได้ แต่ข้าก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรอกนะขอรับ
หากท่านอยากออกไปเปิดโลกก็เรียกหาข้าได้เลยขอรับ ไม่ว่าท่านต้องการอะไรก็ข้าจะพยายามทำในสิ่งที่ท่านต้องการให้ได้
ข้ารู้ฐานะตัวเองดี แต่ข้าก็ไม่อยากให้ตัวเองมาเสียใจทีหลังเพราะงั้นข้าขอพูดกับท่าน ณ ตอนนี้เลยนะขอรับ
ท่านยูกิฮิเมะ
ข้ารักท่าน
ต่อให้ตายและเกิดใหม่อีกกี่ครั้ง ข้าก็จะรักท่านไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“…” อดีตเมื่อนานแสนนานอันหอมหวานและขมขื่นผุดขึ้นมาในความทรงจำของคำสาปสาวจนเธอได้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวว่ามันคงจะดีกว่านี้หากตนไม่ได้ถูกทำให้เป็นคำสาปและมีชีวิตในฐานะมนุษย์ทั่วไปแม้ตนจะไม่ได้มีสภาพปกติก็ตาม
หรือมันผิดตั้งแต่ที่เธอได้เกิดมาบนโลกนี้แล้ว
ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว หยาดน้ำตาที่เคยกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมาและเอาแต่พูดขอโทษอยู่ซ้ำๆ
“…ซาโตรุ…ข้าขอโทษ…ขอโทษจริงๆ…”
.
.
.
Talkๆdesu : รู้เลยว่าแต่งดราม่าไม่เก่งจริงๆ จากตอนนี้คือเรื่องเงื่อนไขของทัตสึยะที่เปลี่ยนยูกิฮิเมะให้เป็นคำสาปนี่ยังไม่เฉลยแต่บอกได้แล้วว่าสาเหตุที่โดนเปลี่ยนคือ เพราะทัตสึยะชอบยูกิฮิเมะเลยอยากได้เป็นเมีย แต่เพราะตอนนั้นแม่ยังเป็นคนอยู่เลยอายุไม่ยืน พี่แกอยากให้แม่อยู่ด้วยกันนานๆเลยเปลี่ยนเป็นคำสาปซะเลย
เหตุผลโคตรจะnon sense
แต่ขอสปอยว่าเห็นทัตสึยะทำตัวเหลวแหลกแบบนี้
พลังของพี่แกไม่ธรรมดาเด้อ
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจในการแต่งต่อ
เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยย
ความคิดเห็น