NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ss1+2+3) | Fic Jujutsu Kaisen x OC | The Grim reaper eye

    ลำดับตอนที่ #36 : ความลับที่ปกปิด (1)

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 67


    ​12:06 น.

    ห้องทานอาหาร

     

    “อาหารเป็นไงบ้างอากาเนะ ถูกปากรึเปล่า” เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทุกคนในบ้านฟุบูกิต่างก็มาทานอาหารร่วมกัน โดยระหว่างนั้นโคฮารุก็ถามหลานสาวตัวเองไปด้วยที่ตอนนี้เธอไปเปลี่ยนเสื้อใหม่เป็นเสื้อยืดเรียบร้อยแล้ว

    “ก็อร่อยดีค่ะ”

    “ว่าแต่ริวคุงมาช้าจังนะ ถึงจะบาดเจ็บไม่หนักเพราะมีไสยเวทตัวเองช่วยแต่ก็ไม่น่าจะใช้เวลารักษานานขนาดนี้นี่” อายาเมะว่าเพราะในที่นี้มีแค่ริวโนะสุเกะไม่อยู่คนเดียวเพราะเจ้าตัวบอกขอไปทำแผลก่อน แต่มันก็ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่เขายังไม่มาซักที

    “อาจจะเรียกฟอร์มตัวเองคืนอยู่มั้ง หายากจะตายที่เจ้านั่นสู้กับใครแล้วพูดยอมแพ้เอง” ยาสุโอะพูดเสียงเรียบ

    “ถ้าคิดแหวกแนวเลย หมอนั่นท้องเสีย” จินพูดติดตลก

     

    แอ๊ด!!

     

    “แค่ออกไปคุยธุระนิดหน่อย ไม่ได้ท้องเสีย” ทันใดนั้นเอง คนที่ถูกนินทาก็มาพอดีราวกับรู้ว่าตัวเองโดนนินทาจนต้องรีบมาเพื่อไม่ให้โดนนินทาไปมากกว่านี้ จากนั้นก็มีคนใช้มาเสิร์ฟอาหารกับน้ำดื่มมาให้

    “แผลที่คอเป็นไงบ้าง เห็นนะว่าตอนนั้นนายใช้ไสยเวทป้องกันไม่ทันน่ะ” ริเสะถาม

    “แต่ก็ยังโชคดีที่ฉันเบี่ยงตัวหลบมาก่อนแผลเลยไม่ได้ลึกมาก” ชายหนุ่มชี้ที่คอตัวเองที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ “ถ้าฉันไม่รู้สึกตัวเร็วนะบอกเลยว่าฉันได้คอขาดตายจริงๆแน่”

    “…” ทางอากาเนะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดแทบไม่ทัน 

    “ขอโทษค่ะ…” และนั่นก็ทำให้ห้องอาหารตกอยู่ในความเงียบทันทีก่อนที่คนเจ็บถอนหายใจออกมา

    “เป็นคนพูดเองแท้ๆว่าจะเอาให้ถึงตายแต่จู่ๆมาขอโทษแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆนะ”

    “…”

    “แต่เอาเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันเองก็ยังอยู่ดีอยู่เพราะงั้นเลิกทำหน้าเศร้าได้แล้ว”

    “ว้าว~ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าริวคุงปลอบเด็กเป็นด้วย” หญิงสาวเรือนผมสีชานมร้องแซว ทำเอาคนที่ถูกแซวตวัดตามองแรงใส่ทันที

    “ปลอบไม่ได้รึไง”

    “โอ้โหไม่เถียงซะด้วย แปลว่าริวคุงสนใจอากาเนะจังล่ะสิ~”

    “เรื่องของฉันน่า…” ชายหนุ่มเท้าคางมองเบือนหน้าหนีไปทางอื่นปล่อยให้อายาเมะยิ้มกริ่มทั้งอย่างนั้น

    “…?” ในตอนนั้นเองอากาเนะก็รู้สึกได้ว่ามีคนมองตัวเองอยู่ เธอจึงกวาดตามองหาเจ้าของสายตานั้นพบว่าคนที่มองอยู่ก็คือเซย์จิจนเธอต้องเอ่ยปากถามคลายความสงสัย

    “หน้าหนูมีอะไรติดเหรอคะ”

    “เปล่าหรอก…ก็แค่…” ชายแก่ผู้มีศักดิ์เป็นปู่เกิดพูดติดอ่างขึ้นมาทำเอาเด็กสาวขมวดคิ้วงง “เห็นแล้วอยากให้พ่อกับแม่ของปู่ที่เสียไปแล้วอยู่ตรงนี้ด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”

    “…” ความเงียบก็กลับมาครอบงำบรรยากาศในห้องเป็นรอบที่สอง มีเพียงอากาเนะคนเดียวที่ทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไม

    ‘…เฮ้อ~ ให้ตายเถอะ’ ในตอนนั้นเองเรียวตะเฝ้าดูอยู่ก็ถอนหายใจระอา ‘อากาเนะ ไหนๆห้องนี้แดดมันไม่เข้ามาแล้วข้าขอออกมานะ’

    ‘ห๊ะเดี๋ยว?! นายจะออกมาทำไม! นายไม่กลัวคนอื่นๆเขาตกใจกันเหรอ’

    ‘เอาเถอะน่า ให้ข้าออกมาเถอะ แล้วก็เจ้าบอกเซย์จิหน่อยว่าเลิกทำบรรยากาศพาเศร้าได้แล้ว อยากให้คนซึมตามตัวเองรึไง’

    ‘เอาจริงดิ…’

    ‘เอาจริงจ้า เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะจัดการเอง’

    ‘…เกิดเรื่องขึ้นมาฉันจะโยนว่าเป็นความผิดนายนะ’ พอทั้งสองคนคุยกันเสร็จแล้วเธอก็เริ่มทำตามที่ยมทูตหนุ่มบอก

    “เอ่อคุณปู่คะมันอาจจะฟังดูแทงใจดำไปหน่อย แต่เลิกทำบรรยากาศพาเศร้าได้แล้ว อยากเห็นคนซึมตามปู่เหรอคะ”

    “…”

    “โว้ว…” ทุกคนในห้องอาหารช็อกกับสิ่งที่อากาเนะพูดในขณะที่ยาสุโอะร้องว้าว “หลานแกนี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ เซย์จิ”

    “…ใคร”

    “หือ?” แต่แล้วเสียงของเซย์จิทำเอาเด็กสาวทำหน้างง

    “ประโยคนั่น…ไปเอามา-”

    “โอยะๆ แปลว่ายังจำที่พูดได้อยู่ด้วยแฮะ”

    “เหวอ!!?” เขายังไม่ทันจะได้ถามจบ เรียวตะก็โผล่ออกมาอยู่ด้านหลังของเด็กสาวแล้วกอดคอเธอจนเหล่าแขกในบ้านรวมถึงฮิโรโตะ ฮิโตมิและโคฮารุต่างร้องตกใจกันถ้วนหน้าผิดกับยมทูตหนุ่มที่โบกมือทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    “เซอร์ไพรซ์จ้าทุกคน~ แบบนี้สิค่อยโอเคหน่อย”

    “แล้วนายมากอดคอฉันทำไมกันก่อนเรียวตะ”

     

    เพล้ง!!

     

    “?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของตกแตกดังขึ้น พอคนที่เหลือหันไปหาก็พบว่าเป็นเซย์จิที่ทำแก้วแตกแถมตอนนี้ก็อ้าปากพะงาบๆราวกับตนรู้จักผู้มาใหม่คนนี้

    “พ่อ?” ฮิโตมิเรียกทักแต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา ด้านเรียวตะก็หัวเราะน้อยๆก่อนจะผละตัวออกจากเด็กสาวแล้วเดินตรงเข้าไปหาเซย์จิ

    “อ้าปากค้างแบบนั้นระวังแมลงวันบินเข้าปากนะ”

     

    หมับ!!

     

    “?!” ทันทีที่เรียวตะพูดจบ จู่ๆเซย์จิก็ลุกขึ้นมากอดคนตรงหน้าแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป ทำให้ทุกคนในห้องอาหารอึ้งกันแบบสุดๆ

    “ฮึก…”

    “เดี๋ยว?! นี่พ่อร้องไห้เหรอ” ฮิโรโตะร้องตกใจที่พ่อของตนนั้นปกติเป็นคนร้องไห้ยากกลับมีน้ำตาขึ้นมาเพียงได้เจอชายผู้มาใหม่ผู้นี้

    “…พ่อครับ…”

    “…ห๊ะ?” คำพูดเพียงคำเดียวของตัวแทนผู้นำตระกูลทำเอาทุกคนช็อก โดยเฉพาะเด็กสาวผมแดงที่มองคนที่ถูกเรียกว่าคุณพ่อด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ด้านยมทูตหนุ่มที่ถูกกอดกลับยิ้มแล้วเอามือไปลูบหัวเซย์จิ

    “อือฮึ นี่พ่อเอง ขอโทษที่เพิ่งโผล่มาป่านนี้นะเซย์จิ”

    “…หาาาาาาาา!!!?” ฮิโตมิ ฮิโรโตะ และโคฮารุร้องตกใจเสียงดังในขณะที่คนอื่นๆหน้าเหวอกันถ้วนหน้า

    “อ้อจริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเองนี่” ยมทูตหนุ่มเอี้ยวตัวหันมาหาทุกคนแล้วแนะนำตัวเอง “ก็ขอสวัสดีทุกคนอย่างเป็นทางการ ข้าคือยมทูตที่ในอดีตเคยเป็นผู้ใช้คุณไสยชื่อฟุบูกิ เรียวตะ ก็อย่างที่ทุกคนได้ยินแหละข้าเป็นพ่อของเซย์จิเอง”

    “พ่อของพ่อ…หมายความว่าคุณก็เป็นปู่ของพวกเรากับปู่ทวดของอากาเนะจังเหรอ!?!” ฮิโตมิว่า

    “ก็ใช่ไง” พอเรียวตะตอบแบบนั้น เหล่าครอบครัวตระกูลฟุบูกิต่างได้แต่ตกตะลึงกับตัวตนที่แท้จริงของเขา

    “ฟุบูกิ เรียวตะ…ผู้ใช้คุณไสยเจ้าของวิชาคุณไสยน้ำแข็งพันปีที่พวกเบื้องบนเคยบันทึกไว้ก็คือคุณสินะคะ?” ริเสะถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “เรียกว่าเป็นเจ้าของมันก็ได้แหละนะ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือข้าเป็นผู้สืบทอดวิชาน้ำแข็งพันปีคนแรกน่าจะเหมาะกว่า”

    “หมายความว่าไง?” จินถามเป็นคนที่สอง

    “ก็ข้าได้วิชานี้มาจากการไปทำภารกิจปัดเป่ายูกิฮิเมะแต่ไม่สำเร็จเพราะข้าโดนนางโจมตีใส่แต่เหมือนร่างกายข้าจะปรับตัวได้ก็เลยกลายเป็นว่ามีวิชาคุณไสยที่สองในตัวไปเลย”

    “แล้วในบันทึกที่บอกว่าคุณโดนพวกเบื้องบนประหารนี่…จริงรึเปล่าคะ”

    “...” คำถามของอายาเมะทำเอายมทูตหนุ่มเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย “...จริง”

    “...”

    “แล้วประเด็นคือคนที่เจอศพข้าคือยูอิกับเจ้านี่” เรียวตะชี้นิ้วมาที่เซย์จิที่ยังคงกอดเขาอยู่ “ที่แย่ไปกว่านั้นคืออะไรรู้มั้ย วันนั้นยูอินางมาบอกกับข้าว่านางท้องลูกคนที่สองอยู่ รู้สึกเสียดายมากที่โอกาสที่ได้เจอหน้าลูกอีกคนมันไม่มีแล้ว”

    “…แล้วคุณแม่กับเซย์ริก็-”

    “เอ่อขอโทษที่ต้องขอแทรกนะ เซย์รินี่ใคร” ยาสุโอะยกมือแทรกแล้วถาม

    “เซย์ริคือ…น้องสาวของฉัน ยาสุโอะ” เซย์จิผละตัวออกมาจากเรียวตะและตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “…แล้วนาง…ก็โดนคนจากบ้านฮิรามารุฆ่าตาย…พร้อมกับแม่”

    “…” สิ้นประโยคของตัวแทนผู้นำตระกูล ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

    “…แปลว่าลูกนายอีกคนคือคนที่มีวิชาน้ำแข็งพันปีก่อนหน้าฉันสินะ” อากาเนะพูด

    “ใช่ ตอนแรกข้านึกว่าพอเซย์ริตายไปมันจะไม่มีคนสืบทอดวิชานี้ต่อแล้ว แต่สุดท้ายก็มีเจ้านี่แหละที่ได้วิชานี้มา”

    “ต้องโกรธแค้นกันขนาดไหนถึงได้กล้าทำกันขนาดนี้เนี่ย…” โคฮารุพูดพึมพำ เพราะถึงเธอจะรู้เรื่องที่ผู้มีวิชาคุณไสยน้ำแข็งพันปีโดนตระกูลฮิรามารุหมายหัวตามฆ่าอยู่แล้ว แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่ามันจะมีคนในตระกูลเคยถูกฆ่าตายจริงๆ

     

    เพราะสาเหตุที่เธอต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ส่วนหนึ่งมาจากตระกูลนั้นเหมือนกัน

     

    “…นี่…คุณปู่…ครับ…” ในตอนนั้นเอง ฮิโรโตะก็เรียกยมทูตหนุ่มด้วยสรรพนามที่เขาไม่เคยได้ใช้เลย

     

    ตอนเห็นหน้าครั้งแรกก็ว่าอยู่ว่าทำไมรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหน สรุปก็คือคนในข้อมูลที่เขาไปหามาแล้วเอามาให้โกโจ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงปู่ของเขาด้วย

     

    “ไม่ต้องเรียกปู่หรอก เรียกชื่อข้าเหมือนกับอากาเนะก็ได้นะ” ทางเรียวตะเหมือนจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกแปลกๆ เลยบอกให้เรียกชื่อเขาเหมือนกับอากาเนะเลย

    “คือ…คุณเรียวตะ…ผมเรียกแบบนี้ได้ใช่มั้ย”

    “ได้สิ”

    “คุณรู้จัก…เจตจำนงค์แห่งความวินาศมั้ยครับ”

    “หือ? ไม่นะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ยมทูตหนุ่มทำหน้างง ทำให้ชายเรือนผมสีส้มทำหน้าเครียดไปพักนึงก่อนจะบอกทุกคนให้ย้ายที่กัน

    “งั้นทุกคนไปที่ห้องนั่งเล่นกันก่อน ผมมีเรื่องจะต้องบอกทุกคน”

     

     

     

    .

    .

    .

    ห้องนั่งเล่น

    “ไหน นายจะบอกอะไร”พอทุกคนย้ายมาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นกันแล้ว ฮิโตมิก็ชิงเปิดถามก่อน

    “พี่จำที่บอกให้ผมไปสืบเรื่องพี่คาสึยะได้มั้ย”

    “…คืบหน้าแล้วเหรอ” หญิงสาวทำหน้าประหลาดใจ

    “ใช่ เรียกว่าโชคดีมากที่เมื่อคืนได้เจอกับคุณชิเงฮิโตะ ทาคาชิ แถมได้ข้อมูลกลับมาด้วย”

    “ชิเงฮิโตะ ทาคาชิ…พ่อของคาสึยะคุง?” โคฮารุถาม

    “ครับ ผมเจอเขาที่ร้านอาหารแล้วก็ได้พูดคุยกันนิดหน่อย แล้วเขาก็บอกความลับเกี่ยวกับตระกูลของเขาด้วย”

    “เขาว่าไงบ้าง” เซย์จิถามต่อ

    “เขาบอกว่า บ้านชิเงฮิโตะมีไสยเวทอยู่อย่างหนึ่งที่สืบทอดกันในตระกูลชื่อของมันคือเจตจำนงค์แห่งความวินาศ” ฮิโรโตะอธิบาย “ความสามารถคือสามารถบัฟเพิ่มพลังไสยเวทของตัวเองและศักยภาพการทำลายล้างของวิชาคุณไสยให้สูงขึ้น เพิ่มได้สูงสุด 300%แต่จะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจตจำนงค์นี้เจอกับอาคมหรือไสยเวทที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงเท่านั้น ถ้าตัวผู้ใช้ไม่เข้าข่ายพวกนี้ ไสยเวทนี้ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

    “เป็นไสยเวทที่แปลกชะมัด แทนที่เราจะเป็นฝ่ายควบคุมพลังกลับกลายเป็นตัวไสยเวทเป็นฝ่ายควบคุมเอง” ริวโนะสุเกะออกความเห็น

    “คุณชิเงฮิโตะบอกว่า คนในบ้านเขาคนล่าสุดที่มีไสยเวทนี้คือพี่คาสึยะ แต่ก็ไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้เพราะเจ้าตัวไม่มีพลังไสยเวทมากพอ”

    “ห๊ะ?! พี่เขยน่ะนะมีไสยเวทนี้!!?” ฮิโตมิร้องตกใจ เพราะภาพลักษณ์ของพี่เขยตนนั้นเป็นคนเงียบๆ ขี้เกรงใจ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีพลังไสยเวทด้วย

    “ใช่ ตอนรู้ผมก็ช็อกเหมือนกัน แต่ที่พีคกว่าคืออะไรรู้มั้ย”

    “คือ?”

    “…อากาเนะจัง เห็นกระป๋องน้ำผลไม้ตรงนั้นมั้ย” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เขาเรียกอากาเนะให้มองไปที่กระป๋องน้ำผลไม้สามกระป๋องที่เขาเตรียมไว้อยู่บนโต๊ะ ด้านคนถูกเรียกก็ทำหน้างงว่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย

    “แล้ว?”

    “ช่วยทำตามที่ฉันบอกก่อนนะ กระป๋องแรกให้ใช้พลังไสยเวท กระป๋องสองใช้วิชาคุณไสย ส่วนอีกกระป๋องอย่าพึ่งทำอะไรรอฉันบอกอีกที”

    “…ก็ได้ค่ะ” แล้วเธอก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอก โดยกระป๋องแรกเธอใช้พลังไสยเวทกระแทกใส่กระป๋องน้ำผลไม้จนร่วงตกจากโต๊ะ ส่วนอีกกระป๋องก็ถูกแช่แข็งให้กลายเป็นน้ำแข็ง

    “นี่แกเปิดคลาสวิชาไสยเวท 101 รึไง” จินบ่น

    “ฮิโรโตะ ลูกลองไปดูหน้าพวกคนใช้ก่อน” เซย์จิว่าและบุ้ยหน้าไปทางเหล่าคนใช้ที่ทำหน้าเหนื่อยใจที่พวกตนต้องทำงานเก็บกวาดเพิ่มอีกแล้ว

    “เดี๋ยวผมทำความสะอาดให้ เพราะงั้นเลิกมองได้แล้วครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอาแล้วหันไปสนใจอากาเนะต่อ “แต่ไฮไลท์ของจริงอยู่นี่ อากาเนะจังกระป๋องสามนี่ให้ใช้วิชาคุณไสยนะ แต่ว่า…”

    “?”

    “ตอนจะใช้นี่ตั้งสมาธิดีๆ นึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองจะจัดการ ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงตอนช่วงงานเชื่อมสัมพันธ์เมื่อตอนนั้นละกันนะ พี่ฮิโตมิเล่าให้ฉันฟังแล้วว่าเราไปเจออะไรมา”

    ‘งานเชื่อมสัมพันธ์เหรอ…’ เด็กสาวนึกย้อนไปช่วงงานเชื่อมสัมพันธ์ที่ตนได้พบเจอ แต่ประสบการณ์ในหัวที่นึกออกเป็นอย่างแรกเลยคือช่วงที่เธอใช้สูญสิ้นโลกาเพื่อหวังกำจัดฮานามิ ความคิดของเธอในตอนนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก


     

    เธอแค่หวังจะปัดเป่าเจ้าคำสาปนั่นให้ได้ก็เท่านั้นเอง


     

    “…”

     

    เป๊าะ!!

     

    กึกๆๆ!!!!

     

    “?!” ทันที่ที่อากาเนะดีดนิ้ว กระป๋องน้ำผลไม้กระป๋องที่สามก็ถูกทำให้เป็นน้ำแข็ง แต่แค่นั้นไม่พอกระป๋องก็ถูกบี้จนไม่เหลือรูปทรงเดิมอีก ทำให้เหล่าบรรดาแขกและเจ้าของบ้านต่างตาโตเพราะระยะเวลาที่กระป๋องน้ำผลไม้ถูกแช่และบี้นั้น

     

    มันแค่ 1 วินาทีเอง

     

    “รู้สึกถึงความต่างอะไรบ้างมั้ย อากาเนะจัง?” ฮิโรโตะถาม

    “ก็…รู้สึกว่าตอนใช้พลังกับกระป๋องที่สาม พลังไสยเวทเหมือนมันจะเพิ่มอยู่หน่อยๆ น่ะค่ะ”

    “นั่นแหละคือความสามารถของเจตจำนงค์แห่งความวินาศ”

    “…อย่างนี้นี่เอง ข้าเข้าใจที่เจ้าจะสื่อแล้ว” ยมทูตหนุ่มเอ่ยหลังจากนึกปะติดปะต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้แล้ว “ที่เจ้าจะบอกก็คือ ไอ้พลังเจตจำนงค์แห่งความวินาศในตอนนี้มันถูกส่งต่อมาให้อากาเนะแล้วใช่มั้ย”

    “ครับ”

    “…”

    “พระเจ้าช่วย…” ด้านอากาเนะที่ได้ฟังถึงกับเงียบไปในขณะที่อายาเมะถึงกับอุทาน “นี่มัน…บ้าชัดๆ…”

    “แต่เท่าที่ดูจากกระแสพลังแล้ว เหมือนว่าจะเพิ่งตื่นได้ไม่นานเท่าไหร่นะครับคุณโคซากุระ”

    “…นี่แกไปเอาหมอนั่นมาเป็นลูกเขยได้ไงกันห๊ะเซย์จิ” ยาสุโอะว่า

    “ไปถามฮิโรมิเถอะ แต่คาสึยะก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก”

     

    ♫♪♩~

     

    “? ขอตัวแปบนะคะ” ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของอากาเนะก็ดังขึ้นพอดีเธอเลยต้องแยกตัวออกมาก่อนเพื่อไปรับสาย

    “ฮัลโหลค่ะอาจารย์โกโจ มีอะไรรึเปล่าคะ”

     

     

    “มีภารกิจ? ที่ไหนอีกล่ะคะเนี่ย”

     

     

    “เอ๊ะ? จริงดิ?”

     

     

    “เปล่าค่ะๆ คือที่จริงฉันมาทำธุระที่นางาโนะนี่แหละค่ะ แต่ภารกิจเริ่มวันพรุ่งนี้ใช่มั้ยคะ”

     

     

    ”ค่าๆ รับก็รับค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้นะคะ”

     

    ตู๊ด!

     

    “…เฮ้อออออ~”

    “ถอนหายใจซะยาวเลยนะ โดนใช้ให้ไปทำภารกิจปัดเป่าคำสาปแบบกะทันหันล่ะสิ” หลังจากที่เด็กสาวคุยโทรศัพท์เสร็จก็กลับมาที่ห้องพร้อมถอนหายใจยาวจนเรียวตะอดแหย่ไม่ได้

    “อือ เริ่มภารกิจพรุ่งนี้แถมโลเคชั่นก็ยังอยู่นางาโนะอีก” อากาเนะพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปหาเซย์จิ “ขออนุญาตค้างที่นี่คืนนึงได้มั้ยคะ”

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ปู่ดีใจด้วยซ้ำที่หลานจะมาค้างที่นี่” ชายแก่เอ่ยด้วยความดีใจ “จะไปทำภารกิจพรุ่งนี้ใช่มั้ย มีคนส่งโลเคชั่นมายังเผื่อปู่จะได้หาคนไปส่งหลานให้”

    “ส่งมาแล้วค่ะ” เด็กสาวยื่นโทรศัพท์ที่ขึ้นจอสถานที่ที่เธอจะต้องไปทำภารกิจพรุ่งนี้ให้เซย์จิซึ่งเป็นโรงเรียนร้างแห่งหนึ่งในนางาโนะ ทุกคนในบ้านต่างกรูกันเข้ามาอยู่ใกล้ๆกับเซย์จิเพื่อขอดูว่าอยู่ตรงไหน

    “โรงเรียนเหรอ…น่าจะมีคำสาปอยู่หลายตัวแน่ๆ”

    “…เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปส่ง”

    “!?” ประโยคเมื่อครู่ทำเอาทุกคนต่างหันไปมองด้วยความตกตะลึง เพราะคนที่บอกว่าจะไปส่งคือชายหนุ่มผู้ชอบทำงานคนเดียวอย่างอิชิดะ ริวโนะสุเกะ

    “แปบนะนี่ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย นายจะพาอากาเนะไปส่งที่สถานที่ทำภารกิจเหรอ” ริเสะถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

    “ก็แค่ไปส่งเอง อีกอย่างฉันก็เอารถมาด้วยนี่”

    “รถลูกรักของนายที่หวงนักหวงหนาไม่ยอมให้ใครขึ้นนอกจากตัวเองนั่นน่ะนะ?” จินถาม

    “…มันก็มีอยู่คันเดียวมั้ยล่ะ”

    “…ริวคุงชอบอากาเนะจังล่ะทุกคนนนนนนน!!!”

    “หา!? ใช่ที่ไหนกันก่อน!!” อายาเมะตะโกนลั่นบ้านจนชายเจ้าของชื่อต้องรีบอุดปากเธอทันที

    “ไม่ต้องมาซึนหรอกน่า ริวคุงบอกตรงๆ ก็ได้ว่าสนใจอากาเนะจังอยู่น่ะ~”

    “ไม่ได้สนใจซักหน่อย!”

    “แต่หลังจากนายสู้กับอากาเนะแล้วนายดูเปลี่ยนไปจริงๆนั่นแหละ” ริเสะพูดเสริม

    “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายชอบเด็ก~” จินแซว

    “เลิกคิดอะไรแปลกๆจะได้มั้ย!” จากบรรยากาศที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงจากการที่แขกสามคนเอ่ยปากแซวกันอย่างสนุกปาก ด้านคนแก่ทั้งหลายก็ไม่ได้ห้ามปล่อยให้เหล่าหนุ่มสาวพูดแซวกันต่อไป

    “อะไรที่ไม่เคยเห็นก็มาได้เห็นวันนี้ รู้สึกโชคดีชะมัดที่พวกเบื้องบนไม่ได้เอาภารกิจมาให้ฉันทำเนี่ย” ยาสุโอะพูดพลางจิบชาไปด้วย

    “…พ่อครับ” ในระหว่างนั้นเอง เซย์จิก็เรียกเรียวตะพอดี

    “หืม? มีอะไร”

    “ช่วยตามผมมาหน่อยได้มั้ยครับ”

     

     


     

    .

    .

    .

    “พ่อไม่เคยบอกอากาเนะว่าตัวเองเป็นปู่ทวดเลยเหรอ”

    “ไม่เลย พ่อแค่กลัวว่านางจะรู้สึกแปลกๆก็เลยไม่ได้บอก” พอเซย์จิกับเรียวตะแยกตัวออกมาจากห้องนั่งเล่นแล้ว ระหว่างที่เดินทั้งคู่ก็ได้พูดคุยสัพเพเหระกัน

    “แล้วทำไม…พ่อถึงแทนตัวเองว่าข้ากันล่ะ?”

    “?”

    ปกติพ่อไม่ได้พูดแทนตัวเองแบบนี้กับคนอื่นนี่ครับ” สิ้นประโยคของชายแก่ ยมทูตหนุ่มกับหัวเราะออกมา

    “ฮะๆๆๆๆ! ยังจำได้ด้วยเหรอ สุดยอดไปเลยนะ” เรียวตะยิ้ม “ก็ยมทูตจากปรโลกเป็นพวกใช้ภาษาโบราณกันนี่ พ่อก็เลยต้องปรับตัวตามแต่ถ้าถามว่าพ่อยังพูดแบบเดิมหรือตามภาษาสมัยนี้ได้มั้ยพ่อยังพูดได้อยู่”

    “งั้นเหรอ…”

    “แล้วนี่จะพาพ่อไปไหนก่อน”

     

    แอ๊ด~!

     

    “พามาหาแม่กับน้องไง”

    “?!” ทันทีที่ทั้งคู่มาถึงห้องๆ หนึ่งและเซย์จิเปิดประตู ในห้องนั้นเป็นห้องธรรมดาๆ ที่มีแท่นบูชาบรรพบุรุษอยู่ และที่แท่นนั้นก็มีภาพถ่ายแนวย้อนยุคผู้หญิงสองคน คนนึงเป็นหญิงสาวอายุราวๆ40 ปี อีกคนเป็นเด็กผู้หญิงวัยสามขวบ ด้านเรียวตะเห็นภาพนั้นก็ชะงักไปพักใหญ่

    “…เซย์จิ”

    “ครับ?”

    “พ่อขอ…อยู่คนเดียวแปบนะ”

    “…เข้าใจแล้วครับ” แล้วเซย์จิก็ออกจากห้องปล่อยให้ยมทูตหนุ่มอยู่คนเดียว ส่วนคนที่บอกขออยู่คนเดียวก็นั่งลงแล้วสวดมนตร์ทำความเคารพจนเสร็จสรรพ

    “…ฉันน่าจะเอะใจก่อนว่าเซย์จิจะพาฉันไปไหน ที่แท้ก็มาหาเธอกับเซย์รินี่เอง” เขาพูดคุยคนเดียวและเปลี่ยนสรรพนามที่ตัวเองเคยใช้เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่

    “มาเขียนพินัยกรรมเรื่องผู้นำตระกูลแบบไม่ปรึกษาฉันก่อนนี่ฉันน้อยใจนะ แถมยังเจาะจงให้คนมีวิชาของแม่มาเป็นผู้นำตระกูลอีกนี่เธอคงจะไปรู้อะไรมาล่ะสิ”

     

     

    “แต่เอาเถอะ ตอนนี้อากาเนะเองก็ดูไม่ได้สนใจกับตำแหน่งผู้นำเท่าไหร่ ฉันอยากให้เด็กคนนั้นฝึกใช้ไสยเวทให้เก่งๆอยู่ถึงตอนนี้จะเก่งแล้วก็เถอะ แต่ทั้งฉันทั้งแม่ก็คุยกันแล้วว่านางยังต้องฝึกต่อเผื่อได้สู้กับสุคุนะซักวัน เพราะตอนนี้หมอนั่นตื่นเพราะเจ้าเด็กอิตาโดริ ยูจิไปกินนิ้วของมันแต่วิญญาณเด็กนั่นมันแกร่งพอจะขังสุคุนะได้ก็เลยได้เป็นภาชนะของสุคุนะไปเลย”

     

     

    “แต่พูดถึงแม่แล้ว ที่จริงอากาเนะแอบมาบอกฉันว่าเหมือนแม่กับโกโจมีซัมติงแปลกๆ ถ้าได้โอกาสเดี๋ยวจะเค้นให้ยับเลย อ้อ! ไอ้กิ๊บผีเสื้อที่พ่อกับแม่อากาเนะซื้อมานั่นเป็นวัตถุต้องสาปของนางเอง ฉันจำได้ว่านางเคยทำสัญญากับฉันว่าถ้าฉันตายไป พลังของนางก็ถูกแบ่งออกมาเป็นวัตถุต้องคำสาปตอนนี้เจอแล้ว 1 ชิ้น ที่เหลือยังไม่รู้จนฉันสงสัยว่ามันมีกี่ชิ้นกันแน่ ขออย่างเดียวอย่าเยอะเหมือนสุคุนะก็พอ”

     

     

    “…แต่เห็นบรรยากาศที่บ้านวันนี้แล้วก็โล่งใจหน่อยที่เซย์จิยังหาพันธมิตรดีๆได้อยู่ถึงจะมีตีกันตอนช่วงเช้าก็เถอะ ลูกเรานี่โตขึ้นเยอะเลยว่ามั้ยยูอิ อ้อจริงสิ ถ้าเซย์ริอยู่ด้วยนี่ก็คงจะดีเหมือนกันนะ”

     

     

    “นี่…ยูอิ…เซย์ริ…” น้ำเสียงของเรียวตะจากที่เคยเจื้อยแจ้วเริ่มสั่นเครือ “ขอโทษนะ…ที่เป็นภาระ…แถมยังตายไปก่อนอีก…”

     


    และน้ำตาที่ไม่เคยมีใครเห็นก็ไหลออกมา



    “ขอโทษ…ที่ปกป้องทั้งเธอ…แล้วก็ลูกไม่ได้อีก…ขอโทษนะยูอิ…พ่อขอโทษนะเซย์ริ…ขอโทษ…ขอโทษจริงๆ…”

     

     

     


     

    .

    .

    .

    Talkๆ desu : ยังสอบไม่เสร็จแต่ขอมาอัพก่อน อะไรที่ไม่เคยเห็นก็มาได้เห็นของแทร่ เรียวตะร้องไห้ค่าทุกคนนนนนนนนนนนนน ถ้าใครตามอ่านมาทุกคนจะเห็นแต่มุมติ๊งต๊องของพี่แกแต่จริงๆแกก็มีมุมเศร้าเหมือนกันนะคะ (แต่งดราม่าไม่เก่ง ขออภัยทุกคนด้วยค่ะ) โดยรวมในตอนนี้ก็คือมาเฉลยว่าพ่อน้องอากาเนะจริงๆเป็นคนธรรมดานี่แหละแต่แค่มีพลังไสยเวทอยู่แต่ก็เอาออกมาใช้ไม่ได้จนมาส่งให้น้องได้ใช้แล้วก็ที่จริงเรียวตะเป็นทวดอากาเนะอีก เดี๋ยวเราขอแปะแผนผังครอบครัวของบ้านฟุบูกิประกอบนะคะ

    ปล.ตรงนามสกุลเรียวตะนี่เป็นนามสกุลเก่าก่อนจะเปลี่ยนใหม่เป็นฟุบูกิ

    สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ ตอนนี้คือเช้าช่วงท้ายของเรื่องและเตรียมปิดจบแล้วค่า

    เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยย

    Twitter: @bdm1228

    Bluesky: https://bsky.app/profile/bdm1228.bsky.social

            
    Z K T
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×