คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : ความลับที่ปกปิด (1)
12:06 น.
ห้องทานอาหาร
“อาหารเป็นไงบ้างอากาเนะ ถูกปากรึเปล่า” เมื่อถึงเวลาเที่ยง ทุกคนในบ้านฟุบูกิต่างก็มาทานอาหารร่วมกัน โดยระหว่างนั้นโคฮารุก็ถามหลานสาวตัวเองไปด้วยที่ตอนนี้เธอไปเปลี่ยนเสื้อใหม่เป็นเสื้อยืดเรียบร้อยแล้ว
“ก็อร่อยดีค่ะ”
“ว่าแต่ริวคุงมาช้าจังนะ ถึงจะบาดเจ็บไม่หนักเพราะมีไสยเวทตัวเองช่วยแต่ก็ไม่น่าจะใช้เวลารักษานานขนาดนี้นี่” อายาเมะว่าเพราะในที่นี้มีแค่ริวโนะสุเกะไม่อยู่คนเดียวเพราะเจ้าตัวบอกขอไปทำแผลก่อน แต่มันก็ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่เขายังไม่มาซักที
“อาจจะเรียกฟอร์มตัวเองคืนอยู่มั้ง หายากจะตายที่เจ้านั่นสู้กับใครแล้วพูดยอมแพ้เอง” ยาสุโอะพูดเสียงเรียบ
“ถ้าคิดแหวกแนวเลย หมอนั่นท้องเสีย” จินพูดติดตลก
แอ๊ด!!
“แค่ออกไปคุยธุระนิดหน่อย ไม่ได้ท้องเสีย” ทันใดนั้นเอง คนที่ถูกนินทาก็มาพอดีราวกับรู้ว่าตัวเองโดนนินทาจนต้องรีบมาเพื่อไม่ให้โดนนินทาไปมากกว่านี้ จากนั้นก็มีคนใช้มาเสิร์ฟอาหารกับน้ำดื่มมาให้
“แผลที่คอเป็นไงบ้าง เห็นนะว่าตอนนั้นนายใช้ไสยเวทป้องกันไม่ทันน่ะ” ริเสะถาม
“แต่ก็ยังโชคดีที่ฉันเบี่ยงตัวหลบมาก่อนแผลเลยไม่ได้ลึกมาก” ชายหนุ่มชี้ที่คอตัวเองที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ “ถ้าฉันไม่รู้สึกตัวเร็วนะบอกเลยว่าฉันได้คอขาดตายจริงๆแน่”
“…” ทางอากาเนะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดแทบไม่ทัน
“ขอโทษค่ะ…” และนั่นก็ทำให้ห้องอาหารตกอยู่ในความเงียบทันทีก่อนที่คนเจ็บถอนหายใจออกมา
“เป็นคนพูดเองแท้ๆว่าจะเอาให้ถึงตายแต่จู่ๆมาขอโทษแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆนะ”
“…”
“แต่เอาเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันเองก็ยังอยู่ดีอยู่เพราะงั้นเลิกทำหน้าเศร้าได้แล้ว”
“ว้าว~ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าริวคุงปลอบเด็กเป็นด้วย” หญิงสาวเรือนผมสีชานมร้องแซว ทำเอาคนที่ถูกแซวตวัดตามองแรงใส่ทันที
“ปลอบไม่ได้รึไง”
“โอ้โหไม่เถียงซะด้วย แปลว่าริวคุงสนใจอากาเนะจังล่ะสิ~”
“เรื่องของฉันน่า…” ชายหนุ่มเท้าคางมองเบือนหน้าหนีไปทางอื่นปล่อยให้อายาเมะยิ้มกริ่มทั้งอย่างนั้น
“…?” ในตอนนั้นเองอากาเนะก็รู้สึกได้ว่ามีคนมองตัวเองอยู่ เธอจึงกวาดตามองหาเจ้าของสายตานั้นพบว่าคนที่มองอยู่ก็คือเซย์จิจนเธอต้องเอ่ยปากถามคลายความสงสัย
“หน้าหนูมีอะไรติดเหรอคะ”
“เปล่าหรอก…ก็แค่…” ชายแก่ผู้มีศักดิ์เป็นปู่เกิดพูดติดอ่างขึ้นมาทำเอาเด็กสาวขมวดคิ้วงง “เห็นแล้วอยากให้พ่อกับแม่ของปู่ที่เสียไปแล้วอยู่ตรงนี้ด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“…” ความเงียบก็กลับมาครอบงำบรรยากาศในห้องเป็นรอบที่สอง มีเพียงอากาเนะคนเดียวที่ทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไม
‘…เฮ้อ~ ให้ตายเถอะ’ ในตอนนั้นเองเรียวตะเฝ้าดูอยู่ก็ถอนหายใจระอา ‘อากาเนะ ไหนๆห้องนี้แดดมันไม่เข้ามาแล้วข้าขอออกมานะ’
‘ห๊ะเดี๋ยว?! นายจะออกมาทำไม! นายไม่กลัวคนอื่นๆเขาตกใจกันเหรอ’
‘เอาเถอะน่า ให้ข้าออกมาเถอะ แล้วก็เจ้าบอกเซย์จิหน่อยว่าเลิกทำบรรยากาศพาเศร้าได้แล้ว อยากให้คนซึมตามตัวเองรึไง’
‘เอาจริงดิ…’
‘เอาจริงจ้า เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะจัดการเอง’
‘…เกิดเรื่องขึ้นมาฉันจะโยนว่าเป็นความผิดนายนะ’ พอทั้งสองคนคุยกันเสร็จแล้วเธอก็เริ่มทำตามที่ยมทูตหนุ่มบอก
“เอ่อคุณปู่คะมันอาจจะฟังดูแทงใจดำไปหน่อย แต่เลิกทำบรรยากาศพาเศร้าได้แล้ว อยากเห็นคนซึมตามปู่เหรอคะ”
“…”
“โว้ว…” ทุกคนในห้องอาหารช็อกกับสิ่งที่อากาเนะพูดในขณะที่ยาสุโอะร้องว้าว “หลานแกนี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ เซย์จิ”
“…ใคร”
“หือ?” แต่แล้วเสียงของเซย์จิทำเอาเด็กสาวทำหน้างง
“ประโยคนั่น…ไปเอามา-”
“โอยะๆ แปลว่ายังจำที่พูดได้อยู่ด้วยแฮะ”
“เหวอ!!?” เขายังไม่ทันจะได้ถามจบ เรียวตะก็โผล่ออกมาอยู่ด้านหลังของเด็กสาวแล้วกอดคอเธอจนเหล่าแขกในบ้านรวมถึงฮิโรโตะ ฮิโตมิและโคฮารุต่างร้องตกใจกันถ้วนหน้าผิดกับยมทูตหนุ่มที่โบกมือทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เซอร์ไพรซ์จ้าทุกคน~ แบบนี้สิค่อยโอเคหน่อย”
“แล้วนายมากอดคอฉันทำไมกันก่อนเรียวตะ”
เพล้ง!!
“?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของตกแตกดังขึ้น พอคนที่เหลือหันไปหาก็พบว่าเป็นเซย์จิที่ทำแก้วแตกแถมตอนนี้ก็อ้าปากพะงาบๆราวกับตนรู้จักผู้มาใหม่คนนี้
“พ่อ?” ฮิโตมิเรียกทักแต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา ด้านเรียวตะก็หัวเราะน้อยๆก่อนจะผละตัวออกจากเด็กสาวแล้วเดินตรงเข้าไปหาเซย์จิ
“อ้าปากค้างแบบนั้นระวังแมลงวันบินเข้าปากนะ”
หมับ!!
“?!” ทันทีที่เรียวตะพูดจบ จู่ๆเซย์จิก็ลุกขึ้นมากอดคนตรงหน้าแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป ทำให้ทุกคนในห้องอาหารอึ้งกันแบบสุดๆ
“ฮึก…”
“เดี๋ยว?! นี่พ่อร้องไห้เหรอ” ฮิโรโตะร้องตกใจที่พ่อของตนนั้นปกติเป็นคนร้องไห้ยากกลับมีน้ำตาขึ้นมาเพียงได้เจอชายผู้มาใหม่ผู้นี้
“…พ่อครับ…”
“…ห๊ะ?” คำพูดเพียงคำเดียวของตัวแทนผู้นำตระกูลทำเอาทุกคนช็อก โดยเฉพาะเด็กสาวผมแดงที่มองคนที่ถูกเรียกว่าคุณพ่อด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ด้านยมทูตหนุ่มที่ถูกกอดกลับยิ้มแล้วเอามือไปลูบหัวเซย์จิ
“อือฮึ นี่พ่อเอง ขอโทษที่เพิ่งโผล่มาป่านนี้นะเซย์จิ”
“…หาาาาาาาา!!!?” ฮิโตมิ ฮิโรโตะ และโคฮารุร้องตกใจเสียงดังในขณะที่คนอื่นๆหน้าเหวอกันถ้วนหน้า
“อ้อจริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเองนี่” ยมทูตหนุ่มเอี้ยวตัวหันมาหาทุกคนแล้วแนะนำตัวเอง “ก็ขอสวัสดีทุกคนอย่างเป็นทางการ ข้าคือยมทูตที่ในอดีตเคยเป็นผู้ใช้คุณไสยชื่อฟุบูกิ เรียวตะ ก็อย่างที่ทุกคนได้ยินแหละข้าเป็นพ่อของเซย์จิเอง”
“พ่อของพ่อ…หมายความว่าคุณก็เป็นปู่ของพวกเรากับปู่ทวดของอากาเนะจังเหรอ!?!” ฮิโตมิว่า
“ก็ใช่ไง” พอเรียวตะตอบแบบนั้น เหล่าครอบครัวตระกูลฟุบูกิต่างได้แต่ตกตะลึงกับตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ฟุบูกิ เรียวตะ…ผู้ใช้คุณไสยเจ้าของวิชาคุณไสยน้ำแข็งพันปีที่พวกเบื้องบนเคยบันทึกไว้ก็คือคุณสินะคะ?” ริเสะถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรียกว่าเป็นเจ้าของมันก็ได้แหละนะ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือข้าเป็นผู้สืบทอดวิชาน้ำแข็งพันปีคนแรกน่าจะเหมาะกว่า”
“หมายความว่าไง?” จินถามเป็นคนที่สอง
“ก็ข้าได้วิชานี้มาจากการไปทำภารกิจปัดเป่ายูกิฮิเมะแต่ไม่สำเร็จเพราะข้าโดนนางโจมตีใส่แต่เหมือนร่างกายข้าจะปรับตัวได้ก็เลยกลายเป็นว่ามีวิชาคุณไสยที่สองในตัวไปเลย”
“แล้วในบันทึกที่บอกว่าคุณโดนพวกเบื้องบนประหารนี่…จริงรึเปล่าคะ”
“...” คำถามของอายาเมะทำเอายมทูตหนุ่มเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย “...จริง”
“...”
“แล้วประเด็นคือคนที่เจอศพข้าคือยูอิกับเจ้านี่” เรียวตะชี้นิ้วมาที่เซย์จิที่ยังคงกอดเขาอยู่ “ที่แย่ไปกว่านั้นคืออะไรรู้มั้ย วันนั้นยูอินางมาบอกกับข้าว่านางท้องลูกคนที่สองอยู่ รู้สึกเสียดายมากที่โอกาสที่ได้เจอหน้าลูกอีกคนมันไม่มีแล้ว”
“…แล้วคุณแม่กับเซย์ริก็-”
“เอ่อขอโทษที่ต้องขอแทรกนะ เซย์รินี่ใคร” ยาสุโอะยกมือแทรกแล้วถาม
“เซย์ริคือ…น้องสาวของฉัน ยาสุโอะ” เซย์จิผละตัวออกมาจากเรียวตะและตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “…แล้วนาง…ก็โดนคนจากบ้านฮิรามารุฆ่าตาย…พร้อมกับแม่”
“…” สิ้นประโยคของตัวแทนผู้นำตระกูล ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
“…แปลว่าลูกนายอีกคนคือคนที่มีวิชาน้ำแข็งพันปีก่อนหน้าฉันสินะ” อากาเนะพูด
“ใช่ ตอนแรกข้านึกว่าพอเซย์ริตายไปมันจะไม่มีคนสืบทอดวิชานี้ต่อแล้ว แต่สุดท้ายก็มีเจ้านี่แหละที่ได้วิชานี้มา”
“ต้องโกรธแค้นกันขนาดไหนถึงได้กล้าทำกันขนาดนี้เนี่ย…” โคฮารุพูดพึมพำ เพราะถึงเธอจะรู้เรื่องที่ผู้มีวิชาคุณไสยน้ำแข็งพันปีโดนตระกูลฮิรามารุหมายหัวตามฆ่าอยู่แล้ว แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่ามันจะมีคนในตระกูลเคยถูกฆ่าตายจริงๆ
เพราะสาเหตุที่เธอต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ส่วนหนึ่งมาจากตระกูลนั้นเหมือนกัน
“…นี่…คุณปู่…ครับ…” ในตอนนั้นเอง ฮิโรโตะก็เรียกยมทูตหนุ่มด้วยสรรพนามที่เขาไม่เคยได้ใช้เลย
ตอนเห็นหน้าครั้งแรกก็ว่าอยู่ว่าทำไมรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหน สรุปก็คือคนในข้อมูลที่เขาไปหามาแล้วเอามาให้โกโจ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงปู่ของเขาด้วย
“ไม่ต้องเรียกปู่หรอก เรียกชื่อข้าเหมือนกับอากาเนะก็ได้นะ” ทางเรียวตะเหมือนจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกแปลกๆ เลยบอกให้เรียกชื่อเขาเหมือนกับอากาเนะเลย
“คือ…คุณเรียวตะ…ผมเรียกแบบนี้ได้ใช่มั้ย”
“ได้สิ”
“คุณรู้จัก…เจตจำนงค์แห่งความวินาศมั้ยครับ”
“หือ? ไม่นะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ยมทูตหนุ่มทำหน้างง ทำให้ชายเรือนผมสีส้มทำหน้าเครียดไปพักนึงก่อนจะบอกทุกคนให้ย้ายที่กัน
“งั้นทุกคนไปที่ห้องนั่งเล่นกันก่อน ผมมีเรื่องจะต้องบอกทุกคน”
.
.
.
ห้องนั่งเล่น
“ไหน นายจะบอกอะไร”พอทุกคนย้ายมาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นกันแล้ว ฮิโตมิก็ชิงเปิดถามก่อน
“พี่จำที่บอกให้ผมไปสืบเรื่องพี่คาสึยะได้มั้ย”
“…คืบหน้าแล้วเหรอ” หญิงสาวทำหน้าประหลาดใจ
“ใช่ เรียกว่าโชคดีมากที่เมื่อคืนได้เจอกับคุณชิเงฮิโตะ ทาคาชิ แถมได้ข้อมูลกลับมาด้วย”
“ชิเงฮิโตะ ทาคาชิ…พ่อของคาสึยะคุง?” โคฮารุถาม
“ครับ ผมเจอเขาที่ร้านอาหารแล้วก็ได้พูดคุยกันนิดหน่อย แล้วเขาก็บอกความลับเกี่ยวกับตระกูลของเขาด้วย”
“เขาว่าไงบ้าง” เซย์จิถามต่อ
“เขาบอกว่า บ้านชิเงฮิโตะมีไสยเวทอยู่อย่างหนึ่งที่สืบทอดกันในตระกูลชื่อของมันคือเจตจำนงค์แห่งความวินาศ” ฮิโรโตะอธิบาย “ความสามารถคือสามารถบัฟเพิ่มพลังไสยเวทของตัวเองและศักยภาพการทำลายล้างของวิชาคุณไสยให้สูงขึ้น เพิ่มได้สูงสุด 300%แต่จะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจตจำนงค์นี้เจอกับอาคมหรือไสยเวทที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงเท่านั้น ถ้าตัวผู้ใช้ไม่เข้าข่ายพวกนี้ ไสยเวทนี้ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“เป็นไสยเวทที่แปลกชะมัด แทนที่เราจะเป็นฝ่ายควบคุมพลังกลับกลายเป็นตัวไสยเวทเป็นฝ่ายควบคุมเอง” ริวโนะสุเกะออกความเห็น
“คุณชิเงฮิโตะบอกว่า คนในบ้านเขาคนล่าสุดที่มีไสยเวทนี้คือพี่คาสึยะ แต่ก็ไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้เพราะเจ้าตัวไม่มีพลังไสยเวทมากพอ”
“ห๊ะ?! พี่เขยน่ะนะมีไสยเวทนี้!!?” ฮิโตมิร้องตกใจ เพราะภาพลักษณ์ของพี่เขยตนนั้นเป็นคนเงียบๆ ขี้เกรงใจ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีพลังไสยเวทด้วย
“ใช่ ตอนรู้ผมก็ช็อกเหมือนกัน แต่ที่พีคกว่าคืออะไรรู้มั้ย”
“คือ?”
“…อากาเนะจัง เห็นกระป๋องน้ำผลไม้ตรงนั้นมั้ย” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เขาเรียกอากาเนะให้มองไปที่กระป๋องน้ำผลไม้สามกระป๋องที่เขาเตรียมไว้อยู่บนโต๊ะ ด้านคนถูกเรียกก็ทำหน้างงว่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย
“แล้ว?”
“ช่วยทำตามที่ฉันบอกก่อนนะ กระป๋องแรกให้ใช้พลังไสยเวท กระป๋องสองใช้วิชาคุณไสย ส่วนอีกกระป๋องอย่าพึ่งทำอะไรรอฉันบอกอีกที”
“…ก็ได้ค่ะ” แล้วเธอก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอก โดยกระป๋องแรกเธอใช้พลังไสยเวทกระแทกใส่กระป๋องน้ำผลไม้จนร่วงตกจากโต๊ะ ส่วนอีกกระป๋องก็ถูกแช่แข็งให้กลายเป็นน้ำแข็ง
“นี่แกเปิดคลาสวิชาไสยเวท 101 รึไง” จินบ่น
“ฮิโรโตะ ลูกลองไปดูหน้าพวกคนใช้ก่อน” เซย์จิว่าและบุ้ยหน้าไปทางเหล่าคนใช้ที่ทำหน้าเหนื่อยใจที่พวกตนต้องทำงานเก็บกวาดเพิ่มอีกแล้ว
“เดี๋ยวผมทำความสะอาดให้ เพราะงั้นเลิกมองได้แล้วครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอาแล้วหันไปสนใจอากาเนะต่อ “แต่ไฮไลท์ของจริงอยู่นี่ อากาเนะจังกระป๋องสามนี่ให้ใช้วิชาคุณไสยนะ แต่ว่า…”
“?”
“ตอนจะใช้นี่ตั้งสมาธิดีๆ นึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองจะจัดการ ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงตอนช่วงงานเชื่อมสัมพันธ์เมื่อตอนนั้นละกันนะ พี่ฮิโตมิเล่าให้ฉันฟังแล้วว่าเราไปเจออะไรมา”
‘งานเชื่อมสัมพันธ์เหรอ…’ เด็กสาวนึกย้อนไปช่วงงานเชื่อมสัมพันธ์ที่ตนได้พบเจอ แต่ประสบการณ์ในหัวที่นึกออกเป็นอย่างแรกเลยคือช่วงที่เธอใช้สูญสิ้นโลกาเพื่อหวังกำจัดฮานามิ ความคิดของเธอในตอนนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก
เธอแค่หวังจะปัดเป่าเจ้าคำสาปนั่นให้ได้ก็เท่านั้นเอง
“…”
เป๊าะ!!
กึกๆๆ!!!!
“?!” ทันที่ที่อากาเนะดีดนิ้ว กระป๋องน้ำผลไม้กระป๋องที่สามก็ถูกทำให้เป็นน้ำแข็ง แต่แค่นั้นไม่พอกระป๋องก็ถูกบี้จนไม่เหลือรูปทรงเดิมอีก ทำให้เหล่าบรรดาแขกและเจ้าของบ้านต่างตาโตเพราะระยะเวลาที่กระป๋องน้ำผลไม้ถูกแช่และบี้นั้น
มันแค่ 1 วินาทีเอง
“รู้สึกถึงความต่างอะไรบ้างมั้ย อากาเนะจัง?” ฮิโรโตะถาม
“ก็…รู้สึกว่าตอนใช้พลังกับกระป๋องที่สาม พลังไสยเวทเหมือนมันจะเพิ่มอยู่หน่อยๆ น่ะค่ะ”
“นั่นแหละคือความสามารถของเจตจำนงค์แห่งความวินาศ”
“…อย่างนี้นี่เอง ข้าเข้าใจที่เจ้าจะสื่อแล้ว” ยมทูตหนุ่มเอ่ยหลังจากนึกปะติดปะต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้แล้ว “ที่เจ้าจะบอกก็คือ ไอ้พลังเจตจำนงค์แห่งความวินาศในตอนนี้มันถูกส่งต่อมาให้อากาเนะแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“…”
“พระเจ้าช่วย…” ด้านอากาเนะที่ได้ฟังถึงกับเงียบไปในขณะที่อายาเมะถึงกับอุทาน “นี่มัน…บ้าชัดๆ…”
“แต่เท่าที่ดูจากกระแสพลังแล้ว เหมือนว่าจะเพิ่งตื่นได้ไม่นานเท่าไหร่นะครับคุณโคซากุระ”
“…นี่แกไปเอาหมอนั่นมาเป็นลูกเขยได้ไงกันห๊ะเซย์จิ” ยาสุโอะว่า
“ไปถามฮิโรมิเถอะ แต่คาสึยะก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก”
♫♪♩~
“? ขอตัวแปบนะคะ” ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของอากาเนะก็ดังขึ้นพอดีเธอเลยต้องแยกตัวออกมาก่อนเพื่อไปรับสาย
“ฮัลโหลค่ะอาจารย์โกโจ มีอะไรรึเปล่าคะ”
…
“มีภารกิจ? ที่ไหนอีกล่ะคะเนี่ย”
…
“เอ๊ะ? จริงดิ?”
…
“เปล่าค่ะๆ คือที่จริงฉันมาทำธุระที่นางาโนะนี่แหละค่ะ แต่ภารกิจเริ่มวันพรุ่งนี้ใช่มั้ยคะ”
…
”ค่าๆ รับก็รับค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้นะคะ”
ตู๊ด!
“…เฮ้อออออ~”
“ถอนหายใจซะยาวเลยนะ โดนใช้ให้ไปทำภารกิจปัดเป่าคำสาปแบบกะทันหันล่ะสิ” หลังจากที่เด็กสาวคุยโทรศัพท์เสร็จก็กลับมาที่ห้องพร้อมถอนหายใจยาวจนเรียวตะอดแหย่ไม่ได้
“อือ เริ่มภารกิจพรุ่งนี้แถมโลเคชั่นก็ยังอยู่นางาโนะอีก” อากาเนะพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปหาเซย์จิ “ขออนุญาตค้างที่นี่คืนนึงได้มั้ยคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ปู่ดีใจด้วยซ้ำที่หลานจะมาค้างที่นี่” ชายแก่เอ่ยด้วยความดีใจ “จะไปทำภารกิจพรุ่งนี้ใช่มั้ย มีคนส่งโลเคชั่นมายังเผื่อปู่จะได้หาคนไปส่งหลานให้”
“ส่งมาแล้วค่ะ” เด็กสาวยื่นโทรศัพท์ที่ขึ้นจอสถานที่ที่เธอจะต้องไปทำภารกิจพรุ่งนี้ให้เซย์จิซึ่งเป็นโรงเรียนร้างแห่งหนึ่งในนางาโนะ ทุกคนในบ้านต่างกรูกันเข้ามาอยู่ใกล้ๆกับเซย์จิเพื่อขอดูว่าอยู่ตรงไหน
“โรงเรียนเหรอ…น่าจะมีคำสาปอยู่หลายตัวแน่ๆ”
“…เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปส่ง”
“!?” ประโยคเมื่อครู่ทำเอาทุกคนต่างหันไปมองด้วยความตกตะลึง เพราะคนที่บอกว่าจะไปส่งคือชายหนุ่มผู้ชอบทำงานคนเดียวอย่างอิชิดะ ริวโนะสุเกะ
“แปบนะนี่ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย นายจะพาอากาเนะไปส่งที่สถานที่ทำภารกิจเหรอ” ริเสะถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ก็แค่ไปส่งเอง อีกอย่างฉันก็เอารถมาด้วยนี่”
“รถลูกรักของนายที่หวงนักหวงหนาไม่ยอมให้ใครขึ้นนอกจากตัวเองนั่นน่ะนะ?” จินถาม
“…มันก็มีอยู่คันเดียวมั้ยล่ะ”
“…ริวคุงชอบอากาเนะจังล่ะทุกคนนนนนนน!!!”
“หา!? ใช่ที่ไหนกันก่อน!!” อายาเมะตะโกนลั่นบ้านจนชายเจ้าของชื่อต้องรีบอุดปากเธอทันที
“ไม่ต้องมาซึนหรอกน่า ริวคุงบอกตรงๆ ก็ได้ว่าสนใจอากาเนะจังอยู่น่ะ~”
“ไม่ได้สนใจซักหน่อย!”
“แต่หลังจากนายสู้กับอากาเนะแล้วนายดูเปลี่ยนไปจริงๆนั่นแหละ” ริเสะพูดเสริม
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายชอบเด็ก~” จินแซว
“เลิกคิดอะไรแปลกๆจะได้มั้ย!” จากบรรยากาศที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงจากการที่แขกสามคนเอ่ยปากแซวกันอย่างสนุกปาก ด้านคนแก่ทั้งหลายก็ไม่ได้ห้ามปล่อยให้เหล่าหนุ่มสาวพูดแซวกันต่อไป
“อะไรที่ไม่เคยเห็นก็มาได้เห็นวันนี้ รู้สึกโชคดีชะมัดที่พวกเบื้องบนไม่ได้เอาภารกิจมาให้ฉันทำเนี่ย” ยาสุโอะพูดพลางจิบชาไปด้วย
“…พ่อครับ” ในระหว่างนั้นเอง เซย์จิก็เรียกเรียวตะพอดี
“หืม? มีอะไร”
“ช่วยตามผมมาหน่อยได้มั้ยครับ”
.
.
.
“พ่อไม่เคยบอกอากาเนะว่าตัวเองเป็นปู่ทวดเลยเหรอ”
“ไม่เลย พ่อแค่กลัวว่านางจะรู้สึกแปลกๆก็เลยไม่ได้บอก” พอเซย์จิกับเรียวตะแยกตัวออกมาจากห้องนั่งเล่นแล้ว ระหว่างที่เดินทั้งคู่ก็ได้พูดคุยสัพเพเหระกัน
“แล้วทำไม…พ่อถึงแทนตัวเองว่าข้ากันล่ะ?”
“?”
“ปกติพ่อไม่ได้พูดแทนตัวเองแบบนี้กับคนอื่นนี่ครับ” สิ้นประโยคของชายแก่ ยมทูตหนุ่มกับหัวเราะออกมา
“ฮะๆๆๆๆ! ยังจำได้ด้วยเหรอ สุดยอดไปเลยนะ” เรียวตะยิ้ม “ก็ยมทูตจากปรโลกเป็นพวกใช้ภาษาโบราณกันนี่ พ่อก็เลยต้องปรับตัวตามแต่ถ้าถามว่าพ่อยังพูดแบบเดิมหรือตามภาษาสมัยนี้ได้มั้ยพ่อยังพูดได้อยู่”
“งั้นเหรอ…”
“แล้วนี่จะพาพ่อไปไหนก่อน”
แอ๊ด~!
“พามาหาแม่กับน้องไง”
“?!” ทันทีที่ทั้งคู่มาถึงห้องๆ หนึ่งและเซย์จิเปิดประตู ในห้องนั้นเป็นห้องธรรมดาๆ ที่มีแท่นบูชาบรรพบุรุษอยู่ และที่แท่นนั้นก็มีภาพถ่ายแนวย้อนยุคผู้หญิงสองคน คนนึงเป็นหญิงสาวอายุราวๆ40 ปี อีกคนเป็นเด็กผู้หญิงวัยสามขวบ ด้านเรียวตะเห็นภาพนั้นก็ชะงักไปพักใหญ่
“…เซย์จิ”
“ครับ?”
“พ่อขอ…อยู่คนเดียวแปบนะ”
“…เข้าใจแล้วครับ” แล้วเซย์จิก็ออกจากห้องปล่อยให้ยมทูตหนุ่มอยู่คนเดียว ส่วนคนที่บอกขออยู่คนเดียวก็นั่งลงแล้วสวดมนตร์ทำความเคารพจนเสร็จสรรพ
“…ฉันน่าจะเอะใจก่อนว่าเซย์จิจะพาฉันไปไหน ที่แท้ก็มาหาเธอกับเซย์รินี่เอง” เขาพูดคุยคนเดียวและเปลี่ยนสรรพนามที่ตัวเองเคยใช้เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่
“มาเขียนพินัยกรรมเรื่องผู้นำตระกูลแบบไม่ปรึกษาฉันก่อนนี่ฉันน้อยใจนะ แถมยังเจาะจงให้คนมีวิชาของแม่มาเป็นผู้นำตระกูลอีกนี่เธอคงจะไปรู้อะไรมาล่ะสิ”
…
“แต่เอาเถอะ ตอนนี้อากาเนะเองก็ดูไม่ได้สนใจกับตำแหน่งผู้นำเท่าไหร่ ฉันอยากให้เด็กคนนั้นฝึกใช้ไสยเวทให้เก่งๆอยู่ถึงตอนนี้จะเก่งแล้วก็เถอะ แต่ทั้งฉันทั้งแม่ก็คุยกันแล้วว่านางยังต้องฝึกต่อเผื่อได้สู้กับสุคุนะซักวัน เพราะตอนนี้หมอนั่นตื่นเพราะเจ้าเด็กอิตาโดริ ยูจิไปกินนิ้วของมันแต่วิญญาณเด็กนั่นมันแกร่งพอจะขังสุคุนะได้ก็เลยได้เป็นภาชนะของสุคุนะไปเลย”
…
“แต่พูดถึงแม่แล้ว ที่จริงอากาเนะแอบมาบอกฉันว่าเหมือนแม่กับโกโจมีซัมติงแปลกๆ ถ้าได้โอกาสเดี๋ยวจะเค้นให้ยับเลย อ้อ! ไอ้กิ๊บผีเสื้อที่พ่อกับแม่อากาเนะซื้อมานั่นเป็นวัตถุต้องสาปของนางเอง ฉันจำได้ว่านางเคยทำสัญญากับฉันว่าถ้าฉันตายไป พลังของนางก็ถูกแบ่งออกมาเป็นวัตถุต้องคำสาปตอนนี้เจอแล้ว 1 ชิ้น ที่เหลือยังไม่รู้จนฉันสงสัยว่ามันมีกี่ชิ้นกันแน่ ขออย่างเดียวอย่าเยอะเหมือนสุคุนะก็พอ”
…
“…แต่เห็นบรรยากาศที่บ้านวันนี้แล้วก็โล่งใจหน่อยที่เซย์จิยังหาพันธมิตรดีๆได้อยู่ถึงจะมีตีกันตอนช่วงเช้าก็เถอะ ลูกเรานี่โตขึ้นเยอะเลยว่ามั้ยยูอิ อ้อจริงสิ ถ้าเซย์ริอยู่ด้วยนี่ก็คงจะดีเหมือนกันนะ”
…
“นี่…ยูอิ…เซย์ริ…” น้ำเสียงของเรียวตะจากที่เคยเจื้อยแจ้วเริ่มสั่นเครือ “ขอโทษนะ…ที่เป็นภาระ…แถมยังตายไปก่อนอีก…”
และน้ำตาที่ไม่เคยมีใครเห็นก็ไหลออกมา
“ขอโทษ…ที่ปกป้องทั้งเธอ…แล้วก็ลูกไม่ได้อีก…ขอโทษนะยูอิ…พ่อขอโทษนะเซย์ริ…ขอโทษ…ขอโทษจริงๆ…”
.
.
.
Talkๆ desu : ยังสอบไม่เสร็จแต่ขอมาอัพก่อน อะไรที่ไม่เคยเห็นก็มาได้เห็นของแทร่ เรียวตะร้องไห้ค่าทุกคนนนนนนนนนนนนน ถ้าใครตามอ่านมาทุกคนจะเห็นแต่มุมติ๊งต๊องของพี่แกแต่จริงๆแกก็มีมุมเศร้าเหมือนกันนะคะ (แต่งดราม่าไม่เก่ง ขออภัยทุกคนด้วยค่ะ) โดยรวมในตอนนี้ก็คือมาเฉลยว่าพ่อน้องอากาเนะจริงๆเป็นคนธรรมดานี่แหละแต่แค่มีพลังไสยเวทอยู่แต่ก็เอาออกมาใช้ไม่ได้จนมาส่งให้น้องได้ใช้แล้วก็ที่จริงเรียวตะเป็นทวดอากาเนะอีก เดี๋ยวเราขอแปะแผนผังครอบครัวของบ้านฟุบูกิประกอบนะคะ
ปล.ตรงนามสกุลเรียวตะนี่เป็นนามสกุลเก่าก่อนจะเปลี่ยนใหม่เป็นฟุบูกิ
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ ตอนนี้คือเช้าช่วงท้ายของเรื่องและเตรียมปิดจบแล้วค่า
เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยย
Twitter: @bdm1228
ความคิดเห็น