NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ss1+2+3) | Fic Jujutsu Kaisen x OC | The Grim reaper eye

    ลำดับตอนที่ #34 : หลายเหตุการณ์ในหนึ่งคืน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 67


    Note : หลังจากนี้เราขอเปลี่ยนคำเรียกดวงตายมทูตเป็นเนตรยมทูตแทนนะคะ

     

     

     

     

    “อากาเนะ?!”

    “หือ? ทั้งสองคนกลับมาแล้วเหรอ ขอบคุณที่ทำงานหนักนะ” ไม่นานหลังจากที่อากาเนะมาหาฟุชิงุโระ อิตาโดริและคุงิซากิที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บเล็กน้อยก็ตามมาสมทบหลังจัดการศัตรูฝั่งตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวเจ้าของชื่อได้ยินเสียงเพื่อนตัวเองก็ทักทายอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ส่วนสองคนนั้นพอเห็นเธอที่มาก่อนก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

    “ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย” คุงิซากิถามก่อน

    “ไม่เลยๆ ปลอดภัยครบ32อยู่” 

    “ฟุชิงุโระล่ะ?” ตามมาด้วยอิตาโดริ

    “เมงุมิคุงเหรอ พอฉันกลับมาก็เจอในสภาพนี้แล้วน่ะ” อากาเนะชี้ไปที่เด็กหนุ่มผมดำที่ยังหลับอยู่

    “หือ? กลับมาก็เจอ?” เด็กหนุ่มผมชมพูทำหน้างง “ฟุชิงุโระบอกฉันว่าเสร็จจากนี่แล้วจะไปช่วยเธอนะ”

    “...โอ้ หมอนั่นพูดแบบนั้นจริงๆด้วย” เรียวตะพูดหลังจากที่ใช้พลังเนตรยมทูตดูเหตุการณ์ในอดีตแล้วพบว่ามันมีเหตุการณ์นี้จริง “แปลว่าเผลอหลับก่อนจะไปช่วย”

    “...หือ? กลับมาแล้วเหรอ” ในตอนนั้นเองฟุชิงุโระก็ตื่นพอดีหลังจากที่ได้ยินเสียงก็รีบลุกขึ้นมานั่ง สองคนนั้นเลยแปะมือกันด้วยความโล่งใจ

    “ต-ตกใจหมด นึกว่านายตายแล้วซะอีก! ดีจริงๆ!”

    “ช่วยเบาเสียงหน่อยได้มั้ย ฉันปวดหัว”

    “หลับสบายเลยนะเจ้าเนี่ย ได้ข่าวว่าเสร็จจากนี่จะมาช่วยพวกข้าเหรอ” เรียวตะที่ยืนกอดคอเด็กสาวผมแดงจากด้านหลังและเอาคางวางบนหัวเธอก็เอ่ยปากแหย่

    “!?” ฟุชิงุโระได้ยินแบบนั้นก็สตั๊นไปเนื่องจากตัวเองเคยพูดแบบนั้นเอาจริงๆ แต่หลังจากที่เขาสู้กับคำสาประดับพิเศษมามันก็เหนื่อยจนเผลอหลับไปนี่แหละ

    “เห็นแก่ที่เจ้าชนะระดับพิเศษที่ได้พลังนิ้วสุคุนะได้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่แหย่เจ้าละกัน”

    “...ฟุบูกิ” เด็กหนุ่มผมดำทักอากาเนะ

    “หือ?”

    “ขอโทษ…”

    “ไม่ต้องขอโทษหรอกเมงุมิคุง มันเป็นเหตุสุดวิสัยฉันเข้าใจได้”

    “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นายก็อย่าถือนิ้วสุคุนะแล้วหลับไปด้วยสิมันอันตรายนะ” คุงิซากิว่า

    “เธอรู้เรื่องนิ้วสุคุนะได้ไง” ฟุชิงุโระถามกลับ

    “ยังมีแรงเหลือฟังคำอธิบายมั้ยล่ะ”

    “…ยังไงก็ต้องติดต่อคุณนิตตะก่อน แล้วก็รีบผนึกไม่งั้นมันจะดึงดูดวิญญาณคำสาป”

    “ให้ฉันกินเข้าไปมั้ย” อิตาโดริเสนอให้ตัวเองเป็นคนกินนิ้ว แน่นอนว่าคุงิซากิแย้งไม่เห็นด้วยทันที

    “ไม่ใช่ข้าวเหลือนะยะ”

    “ฉันว่าไอเดียนี้ไม่-” อากาเนะที่กำลังแย้งเสริมนั้นอยู่ๆก็หยุดพูดกะทันหันจนเด็กสาวผมน้ำตาลทัก

    “อากาเนะ?”

    “…ห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์เหรอ”

    “ห๊ะ? หมายความว่าไง”

    “โนบาระจังรอดูดีกว่านะ”

    “ตอนนี้ยังไม่รู้ขีดจำกัดความจุที่นายจะรับได้ ห้ามกิน” แน่นอนว่าฟุชิงุโระเองก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน แต่ก็ยังยื่นนิ้วของสุคุนะไปหาเด็กหนุ่มผมชมพู “แต่ให้นายที่ดูแข็งแรงสุดไปก่อนแล้วกัน ขอย้ำอีกรอบ ห้าม-กิน”

    ‘หมอนี่คิดว่าทักษะการจับใจความของฉันพอๆกับหมาสินะ…’ อิตาโดริคิดในใจแล้วก็ยื่นมือไปเอาวัตถุต้องสาปชิ้นนี้

     

    แต่ว่า

     

    ง่ำ!!

     

    “?!”

    “!? อึก!!?” ปากของสุคุนะก็โผล่ออกมาที่ฝ่ามือของเด็กหนุ่มและกินนิ้วที่เน่าเปื่อยนั่นเข้าไปทันที ทำให้รอยสักปรากฎขึ้นมาตามใบหน้าและทำหน้าบิดเบี้ยวจากการได้รับพลังแบบไม่ทันตั้งตัว

    “ก็บอกว่าห้ามกินไง!!” ฟุชิงุโระและคุงิซากิตะโกนลั่น

    “แล้วทำไมมาว่าฉันล่ะ!?” อิตาโดริทำหน้ามุ่ย “ให้ตายเถอะเจ้านี่ ครั้งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแท้ๆ”

    “นี่แหละที่ฉันบอกว่ารอดูน่ะ” ส่วนอากาเนะก็ยิ้มแห้งใส่เพราะตอนที่ตัวเองจะแย้ง พลังเนตรยมทูตก็ฉายภาพเหตุการณ์เมื่อครู่เข้ามาในหัวทำให้เธอรู้ว่าห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์จริงๆ

    “หมายถึงที่เกิดขึ้นเมื่อกี้?” คุงิซากิถาม

    “อื้อ”

    “เธอมีพลังเห็นอนาคตแบบนี้ก็ควรบอกกันตั้งแต่เนิ่นๆสิ” ฟุชิงุโระพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

    “มันจะบอกได้ไงในเมื่อพวกเจ้าอยู่ในอนาคตนั่นน่ะ” แต่ประโยคของยมทูตหนุ่มที่แทรกขึ้นมาทำเอาทุกคนทำหน้างง

    “จริงอยู่ที่เนตรยมทูตมันสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ แต่หากเราเห็นใครทำอะไรในอนาคตที่กำลังจะเกิดอันนั้นเราจะบอกไม่ได้ อย่างเมื่อกี้ข้ากับอากาเนะเห็นว่าปากสุคุนะโผล่มากินนิ้วนั่นซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้คือพวกเจ้าทุกคน ดังนั้นพวกข้าสองคนเลยไม่สามารถบอกพวกเจ้าได้ว่าสุคุนะจะโผล่ออกมา อะไรแบบนี้” เรียวตะอธิบายและยกตัวอย่างให้ฟัง “มันเป็นกฎที่มีมานานและผู้ถือครองพลังนี้ทุกคนต้องรู้ ถามว่าใครตั้งก็จ้าวแห่งยมโลกนี่แหละถ้าอยากเจอเจ้าตัวก็ต้องตายก่อนนะถึงจะได้เจอ”

    “ใครจะไปทำกันก่อน!” สามคนนั้นแย้งใส่ แต่อีกฝ่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วดำเข้าเงาอากาเนะไป

    “งั้นข้าไปล่ะนะ บ๊ายบายยยยย”

    “ไอ้หมอนี่…เธออยู่ด้วยกันได้ไงกันเนี่ย” อิตาโดริถามเด็กสาวผมแดงเมื่อได้เห็นท่าทีของยมทูตผู้กวนบาทา

    “อยู่กันแบบรักกันดีตีกันตายไง ทุกวันนี้คือฉันปลงแล้ว”

    “นี่พวกเธออออออ!!!! ไปทำอะไรกันมาเนี่ยยยยยยย!!!!” ในตอนนั้นเองก็เสียงตะโกนดังมาจากบนสะพาน ซึ่งเจ้าของเสียงนี้ก็นิตตะที่โมโหได้ที่เพราะทั้งสี่คนออกมาโดยไม่ได้บอกกันก่อนและโวยวายไปเรื่อยๆ

    “โอ๊ะ? คุณนิตตะ?”

    ”โมโหน่าดูเลยนะนั่น”

    “พวกเราน่าจะได้โดนเทศน์กันยับแน่ๆ” คุงิซากิและอิตาโดริพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในขณะที่อากาเนะขำแห้ง

    “เอาล่ะ กลับกันเถอะพวกเรา” สุดท้ายอิตาโดริก็ดึงตัวฟุชิงุโระให้ลุกขึ้นยืนจากนั้นทั้งสี่คนก็กลับไปบนสะพาน และภารกิจที่สะพานยาโซฮาจิก็จบลงด้วยดี

     

     

     



    .

    .

    .

     

    ห้องของอากาเนะ

    “…”

    จึก!

    “เป็นอะไร ทำหน้าเครียดขนาดนั้น?” หลังจากที่ทั้งสี่คนรายงานผลภารกิจเสร็จสรรพรวมถึงโดนเทศน์มาแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง อากาเนะก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมเข้านอนแต่ตอนนี้เธอนั่งบนเตียงพลางดูภาพพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็งที่ตัวเองถ่ายมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเรียวตะอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วมาจิ้มตรงระหว่างคิ้วของเธอ

    “แค่คิดว่าขอให้ไม่มีใครมาเจอพื้นที่ตรงที่ฉันถ่ายน่ะ”

    “เดี๋ยวพวกเบื้องบนปิดเรื่องให้อยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

    “งั้น…” เด็กสาวไม่พูดอะไรต่อแต่เธอกดเข้าหน้าเบอร์โทรศัพท์แล้วกดโทรหาใครบางคน “ฮัลโหลค่ะ?”

    ฮัลโหลอากาเนะจัง โทรมาหาฉันมีอะไรเหรอ” ซึ่งคนที่เธอโทรหาก็คือฮิโตมินั่นเอง

    “พรุ่งนี้คุณฮิโตมิว่างมั้ยคะ”

    พรุ่งนี้เหรอ เรามีอะไรรึเปล่า

    “ที่บ้านใหญ่เรียกหนูให้ไป หนูจะไปวันพรุ่งนี้นะคะ

    “…ห๊ะ?” ประโยคของเธอทำเอาคนปลายสายอึ้ง “-เดี๋ยวนะ เราจะมาพรุ่งนี้เหรอ

    “ค่ะ คุณฮิโตมิติดภารกิจเหรอคะ”

    เปล่าๆ แค่ตกใจที่ตอบตกลงน่ะเพราะพวกเราเตรียมใจเผื่อเราจะไม่มาแล้ว ถ้าจะมาก็อาจจะขอเวลาซักสามสี่วันแล้วค่อยมาอะไรแบบนี้น่ะ

    “ไม่ได้ยุ่งกันใช่มั้ยคะ”

    ไม่ๆ ไม่ได้ยุ่งจริงๆแต่จะบอกว่าเราอาจจะเจอคนเยอะหน่อย พอดีว่า…เราไม่ได้โดนเรียกไปแค่คนเดียวนะ

    “หือ? ยังมีคนอื่นด้วยเหรอคะ”

    อื้อ ถ้าเป็นไปได้เอาอาวุธมาด้วยก็ดีนะเผื่อต้องได้สู้

    “อ่า…ค่ะ…” เด็กสาวได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ทำหน้าเหนื่อยใจ “แล้วโลเคชั่น-”

    บ้านใหญ่ตระกูลฟุบูกิอยู่ที่นางาโนะจ้า ขึ้นชินคันเซ็นจากโตเกียวประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว เดี๋ยวฉันกับฮิโรโตะจะไปรับเอง เอ้อ! พูดแล้วเดี๋ยวเอาเบอร์ฮิโรโตะให้เราก่อนดีกว่าเผื่อติดต่อฉันไม่ได้

    “โอเคค่ะ แค่นี้นะคะคุณฮิโตมิเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

    เจอกันพรุ่งนี้นะอากาเนะจัง

     

    ตู๊ด!!

     

    “คิดดีแล้วใช่มั้ยที่จะไปบ้านใหญ่?” เรียวตะที่ฟังบทสนทนาทุกอย่างก็ถามด้วยสงสัย

    “นายพูดเหมือนที่นั่นมันไม่ค่อยดีเลยนะ”

    “ไม่ใช่ไม่ดีหรอก แค่ตกใจที่เจ้าตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้เฉยๆ”

    “เหรอ…” อากาเนะครางในลำคอก่อนจะเรียกยูกิฮิเมะในใจ

    ‘นี่ยูกิฮิเมะ ว่างมั้ย’

    ‘ว่า? ’

    ‘มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย เดี๋ยวฉันไปหานะ’

     

     

     

     

    .

    .

    .

     

    “…ตามนั้นนะคะทุกคน ได้ยินกันหมดแล้วเนอะ?” ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ตระกูลฟุบูกิที่นางาโนะ ช่วงที่ฮิโตมิคุยกับอากาเนะอยู่เธอได้เปิดลำโพงให้คนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นรวมถึงเธอเป็นจำนวนทั้งหมด 7 คนได้ยินบทสนทนาทั้งหมด หลังจากที่วางสายกันแล้วฮิโตมิก็กวาดตามองหน้าทุกคนในห้องแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “แปลว่าพรุ่งนี้ก็จะได้เจอว่าที่เจ้าบ้านฟุบูกิคนต่อไปแล้วสินะ~” หญิงสาวเรือนผมสีชานมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชอบอกชอบใจ

    “อย่าพึ่งด่วนสรุปสิโคซากุระ อายาเมะ เด็กคนนั้นบอกตอนไหนว่าจะเป็นเจ้าบ้าน?” ชายวัยกลางคนนัยน์ตาสีโทปาซผู้มีแผลเป็นลากยาวที่ตาขวาแย้งหญิงสาวเจ้าของประโยคเมื่อครู่

    “ขอตื่นเต้นหน่อยไม่ได้รึไงคะคุณฮิเดโยชิ หรือคุณไม่อยากเจอเขาเหรอ”

    “เอาอีกแล้ว…อาการอยากเจอเด็กของอายาเมะกำเริบอีกแล้ว…” คราวนี้เป็นหญิงสาวเรือนผมสีเบจสั้นประบ่าสวมแว่นตาทรงเหลี่ยมกรอบสีเงินบ่นด้วยความเอือมระอา

    “ก็พวกเราไม่เคยเจอเด็กนั่นเลยไงมานามิ ไม่แปลกหรอกที่ยัยนั่นจะตื่นเต้นกว่าชาวบ้านชาวช่อง คนที่เคยเจอก็มีแค่ฮิโตมิ ฮิโรโตะแล้วก็คุณเซย์จิแค่สามคนเอง” ชายผู้มีทรงผมอันเดอร์คัตสีเขียวอมน้ำตาลพูดในขณะที่ปากคาบบุหรี่และกำลังจะจุดไฟแช็คสูบ

    “คุณฮิโรมาสะ ถ้าจะไปสูบบุหรี่ก็ไปสูบข้างนอกค่ะ” ฮิโตมิพูดแทรก

    “อ้อโทษที ลืมตัวน่ะ” ชายเจ้าของชื่อเก็บไฟแช็คและเอาบุหรี่ออก “แต่ระหว่างที่พวกเราคุยกันอยู่เนี่ย ก็มีอยู่คนนึงไม่พูดไม่จาเลยนะ”

    “…” สิ้นประโยคของฮิโรมาสะ ทุกคนในห้องก็หันไปหาชายหนุ่มเรือนผมสีเทาหม่นที่กำลังดื่มชาอยู่ พอเขาดื่มเสร็จก็ตวัดตามองแรงใส่ทันที

    “จะให้ฉันดื่มชาไปแล้วพูดไปรึไง ฮิโรมาสะ จิน”

    “แซวแค่นี้ถึงขึ้นเรียกชื่อเต็มกันเลยเหรอ อิชิดะ ริวโนะสุเกะ

    “อะแฮ่ม!” ไม่ทันที่จินกับริวโนะสุเกะจะสงครามประสาทใส่กัน เสียงกระแอมไอของชายสูงอายุในชุดยูกาตะสีเข้มสามารถหยุดทั้งสองคนไว้ก่อน “จิน อย่าแหย่ริวโนะสุเกะ”

    “ขอโทษด้วยครับ คุณเซย์จิ” ฮิโรมาสะ จินโค้งหัวขอโทษ ส่วนเซย์จิก็มองริวโนะสุเกะด้วยสายตาเรียบนิ่ง

    “ริวโนะสุเกะ”

    “ครับ?”

    “พรุ่งนี้อย่าแรง”

    “ไม่รับปากครับ”

    “ไอ้เวรนี่”

    “พ่อ” เซย์จิด่าได้ไม่ทันไรก็โดนฮิโตมิขัดไว้ก่อน เขาจึงสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อสงบอารมณ์ตัวเองทางฮิโตมิก็ทำการปิดจบการคุยวันนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิวาทะเกิดขึ้น “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้รอต้อนรับอากาเนะจังก็แล้วกันนะคะ ว่าแต่ทุกคนจะค้างที่นี่หรือกลับ-”

    “ค้างที่นี่”

    “แกอย่าถามอะไรที่มันรู้คำตอบอยู่แล้วสิฮิโตมิ” แขกทั้งห้าคนพูดพร้อมกันจนเซย์จิกุมขมับเหนื่อยใจ

    “ถามเป็นมารยาทเฉยๆ เถอะพ่อ”

    “อ้อจริงสิ ฉันว่าจะถามตั้งนานแล้วแต่ลืมถามเลย” ในตอนนั้นเอง มานามิ ริเสะก็พูดแทรกขึ้นมา

    “หือ? อะไรเหรอคะคุณมานามิ”

    “ฮิโรโตะหายไปไหนอะ”

    “อ๋อ หมอนั่นบอกจะไปหาข้อมูลเพิ่ม-เออว่ะ ลืมบอกฮิโรโตะเรื่องอากาเนะจังเลย?!”

     

     

     



    .

    .

    .

     

    ‘แม่งเอ๊ย…หัวจะปวด’ ฮิโรโตะที่อยู่ที่ร้านอาหารเปิดดึกแห่งหนึ่งในนางาโนะตอนนี้กุมขมับด้วยความเหลืออดกับข้อมูลในโน้ตบุ๊คตัวเองโดยในนั้นคือข้อมูลของอากาเนะที่ตัวเองรวบรวมมาได้จากคำขอของพี่สาวตัวเอง

     

    แต่ประเด็นคือเขาติดปัญหาตรงที่เขายังตามหาข้อมูลพ่อของอากาเนะหรือพี่เขยตัวเองไม่เจอเนี่ยสิ ตอนที่เจอกันเขาแค่รู้สึกว่าคนๆ นั้นมีออร่าบางอย่างที่ค่อนข้างทรงพลังแต่ไม่ใช่ออร่าจากวิญญาณคำสาป บอกว่าเป็นพลังไสยเวทอ่อนๆ น่าจะถูกกว่า

     

    พลังไสยเวทอ่อนแต่ไม่ถึงขั้น0แถมยังให้ความรู้สึกทรงพลังนี่มันน่าสงสัยจริงๆ

     

    “เอ่อ…คือว่า…”

    “?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงไม่คุ้นหูดังเข้าโสตประสาทของเขา ฮิโรโตะเงยหน้าขึ้นมามองก็พบกับชายสูงวัยคนหนึ่งที่เขาเห็นแล้วก็ตาโตด้วยความตกใจ

    “คุณชิเงฮิโตะ ทาคาชิ!?”

    “ดูเหมือนจะจำได้อยู่นะ ฟุบูกิ ฮิโรโตะคุง” ชายเจ้าชื่อยิ้ม แต่ทว่าหนุ่มแว่นตอนนี้กลับทำหน้าเศร้าซะอย่างนั้น

    “ขอโทษนะครับ…”

    “หือ? เธอขอโทษเรื่องอะไรเหรอ”

    “ที่พี่คาสึยะ-”

    “เรื่องมันผ่านมาแล้วน่าพ่อหนุ่ม พวกฉันปล่อยวางกันแล้ว” ทาคาชินั่งที่ตรงข้ามกับอีกฝ่ายแล้วเอามือวางบนหัวเขาเป็นการปลอบใจ “แต่เห็นหน้าเครียดมาแต่ไกลเชียว กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”

    “…ทำงาน…ครับ”

    “...” ชายแก่จ้องหน้าคนผมส้มไปพักนึงแล้วบางอย่างออกมา “ฉันว่าฉันควรบอกเธอ”

    “หือ? อะไรเหรอครับ”

    “ที่จริงแล้ว…”

     

     

    “…เรื่องจริงเหรอครับ” เมื่อทาคาชิเล่าความลับบางอย่างให้ฟังจนจบ ฮิโรโตะก็ทำหน้าช็อกและถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

    “อืม ทุกวันนี้ฉันยังไม่เห็นใครดึงพลังนี้ได้เลยจนฉันคิดว่าไม่น่ามีใครทำได้หรอก”

    “…” ชายหนุ่มได้ยินแล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่นแล้วพึมพำ “ตอนนี้มันมีแล้วไง…”

    “หือ? เธอพูดอะไรเหรอ”

    “อ๋อไม่มีอะไร-”

     

    ♬♪~

     

    “ขอตัวแปบนะครับ” ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของฮิโรโตะก็ดังขึ้น เขาเลยขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ก่อน ซึ่งคนที่โทรมาคือฮิโตมิ

    “ฮัลโหล”

    ฮิโรโตะนายอยู่ไหน

    “ทำงานที่พี่ขออยู่ไง มีอะไร”

    พรุ่งนี้อากาเนะจังจะมาบ้านใหญ่

    “ห๊ะ!? ล้อเล่นป้ะเนี่ย” ชายหนุ่มร้องตกใจ

    เรื่องจริง แล้วก็มีอีกเรื่องที่อยากขอโทษด้วย

    “คือ?”

    ฉันบอกอากาเนะจังไปแล้วว่าฉันกับนายจะไปรับเขาถ้าถึงสถานี

    “…ทำอะไรไม่ปรึกษาผมอีกแล้วนะพี่!!?” ฮิโรโตะตวาดลั่น “นี่กะจะไม่ให้ผมนอนเลยใช่มั้ย!”

    ขอโทษได้มั้ยล่ะ ฉันสำนึกผิดไม่ทันแล้วเนี่ย!”

    “โอนตังค์มาให้ซักห้าล้านเยนก่อนผมถึงจะหายโกรธ”

    จะเป็นคุณเมย์เวอร์ชั่นผู้ชายรึไงห๊ะ” ฮิโตมิแซะกลับ “แล้วก็พรุ่งนี้เราอาจจะได้เห็นคนตีกัน เพราะงั้นกลับมาบ้านก่อน

    “เดี๋ยว? พี่หมายถึงใคร”

    กลับมาบ้านก่อนเดี๋ยวบอก

    “ก็ได้ๆๆๆ เดี๋ยวผมกลับบ้านแล้ว”

     

    ตู๊ด!

     

    “เฮ้ออออ~”

    “ถอนหายใจยาวอายุจะสั้นนะฮิโรโตะคุง ว่าแต่เมื่อกี้พี่เธอโทรมาเหรอ” ทาคาชิแซวฮิโรโตะที่ถอนหายใจยาวหลังจากกดวางสายไปเมื่อครู่แล้วกลับมาเก็บของบนโต๊ะ

    “ครับ พี่สาวเรียกให้กลับบ้านเพราะพรุ่งนี้มีแขกมาบ้านครับ”

    “กะทันหันจังนะ แล้วแขกนี่-”

    “ฟุบูกิ อากาเนะจังลูกสาวของพี่คาสึยะ หลานพวกผมเอง ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะครับคุณทาคาชิ ขอตัวก่อนนะครับ”

    “?!” แล้วฮิโรโตะก็ออกจากร้านไปด้วยความเร่งรีบปล่อยให้ชายแก่นั่งเอ๋อรับประทานไป

    ‘ให้ตายเถอะ ถ้าวันนี้ไม่เจอคุณทาคาชินะฉันต้องมืดแปดด้านไปอีกนานแน่’ หนุ่มแว่นคิดในใจแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์กลับไปที่คฤหาสน์ฟุบูกิ ข่าวดีที่สุดของวันนี้คือการที่ชิเงฮิโตะ ทาคาชิมาเจอเขาและบอกความลับบางอย่าง นั่นจึงทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่ฮิโตมิขอให้เขาไปสืบมาแล้ว

     

    ฮิโรโตะฝากสืบเรื่องพี่เขยให้ที ฉันรู้สึกว่าเขามีบางอย่างที่ไม่ได้บอกพวกเรา

     

     

    “ได้เรื่องแล้วนะพี่แต่โทษฐานที่ทำอะไรไม่ปรึกษาผมก่อน ผมจะยังไม่บอกก่อนละกัน”

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

     

    Talkๆ desu : สตอรี่ในอนิเมะซีซั่น1ก็จบไปแล้ว แต่ของเราไม่จบเพราะเรายังมีตอนที่อากาเนะไปบ้านใหญ่ยังไงล่ะ5555555555555 แถมมีตัวละครใหม่งอกเพิ่มมาด้วยแต่เอาจริงก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ที่บอกว่าอาจจะจบ4-5ตอนนี่ขอถอนคำพูดนะคะ คิดว่าน่าจะยาวกว่าหรือไม่ก็เท่าเดิม เอาเป็นว่ารอดูกันก่อนนะคะ

     

    แล้วก็เสริมเรื่องความสามารถของเนตรยมทูตก่อนเผื่อมีคนงง

    เนตรยมทูตคือพลังที่สามารถมองเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ เหมือนจะดีแต่ก็มีข้อจำกัดที่น่าปวดหัวอยู่คือ

    เมื่อเห็นเหตุการณ์ในอนาคตแล้วจะไม่สามารถบอกคนอื่นได้ตรงๆว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อย่างเช่นเหตุการณ์ที่สุคุนะออกมากินนิ้วในเรื่อง คนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้คือแก๊งค์ปีหนึ่งทุกคนดังนั้นทั้งอากาเนะและเรียวตะจะไม่สามารถบอกสามคนนั้นได้เลยว่าถ้าเอานิ้วให้ยูจิไปสุคุนะก็จะออกมา อะไรแบบนี้ค่ะ

     

    สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ เข้าช่วงท้ายของเรื่องเกือบจะจบแล้วค่ะ

    เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยย

     

                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×