คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : เรื่องลี้ลับ ณ สะพานยาโซฮาจิ
“เดือนมิถุนายนที่โมริโอกะ คานาดะ ไทจิ เดือนสิงหาคมที่โยโกฮาม่า ชิมาดะ โอซามุ เดือนกันยายนที่นาโกย่า ยามาโตะ ฮิโรชิ ทั้งสามคนตายในสถานการณ์เดียวกันค่ะ” หลังจบงานเชื่อมสัมพันธ์ไปก็มีภารกิจเข้ามาใหม่โดยไม่พัก อย่างวันนี้ก็มีปลายทางอยู่ที่ไซตามะโดยคนที่รับทำภารกิจยังคงหนีไม่พ้นเด็กปีหนึ่งทั้งสี่โดยผู้ช่วยผู้ตรวจตราในวันนี้คือนิตตะ ฮิคาริมารายงานรายละเอียดให้ฟังระหว่างที่ขับรถไปด้วย “ถูกวิญญาณคำสาปแทงตายที่ทางเข้าของแมนชั่น แถมทุกคนยังต่อว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ก่อนตายหลายอาทิตย์ด้วยปัญหาเดียวกัน บอกว่าประตูออโต้มันเปิดค้างทิ้งไว้แต่ผู้อาศัยคนอื่นไม่รู้เรื่องอะไรด้วยค่ะ”
“แต่ทั้งวันและสถานที่ก็ต่างกัน แปลว่าถูกวิญญาณคำสาปตัวเดียวกันเล่นงานเหรอครับ” ฟุชิงุโระถาม
“นี่ๆ ที่ประตูมันออโต้เป็นเพราะวิญญาณคำสาปเหรอ” อิตาโดริถามแทรก “เซ็นเซอร์มันตรวจจับวิญญาณคำสาปได้ด้วยเหรอ กล้องยังถ่ายไม่ติดเลยนี่?”
“ไม่ใช่เซ็นเซอร์หรอก แต่เป็นดอร์โอเปอร์เรเตอร์มันเกิดรวนเพราะผลกระทบจากวิญญาณคำสาปค่ะ” นิตตะตอบ “ส่วนที่ถามว่าใช่วิญญาณคำสาปตัวเดียวกันมั้ย แค่คราบอย่างเดียวมันยังยืนยันกันไม่ได้เพราะเวลามันห่างกันเกินไป ทีนี้เราเลยตรวจสอบความเกี่ยวข้องของทั้งสามคนแล้วพบว่าพวกเขาเคยเรียนโรงเรียนม.ต้นที่เดียวกันเป็นเวลา 2 ปีค่ะ”
“แสดงว่าเมื่อก่อนทั้งสามคนก็โดนคำสาปแบบเดียวกันแล้วพอเวลาผ่านไปคำสาปมันก็แสดงผลเหรอ”
“โหหห!!” อิตาโดริร้องทึ่งในข้อสันนิษฐานของคุงิซากิ
“ใช่ มีความเป็นไปได้สูงค่ะ” นิตตะตอบกลับ “หลังจากนี้พวกเราก็จะไปถามข้อมูลจากโรงเรียนม.ต้นนั่นแล้วก็ถามคนรู้จักของผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามคน ฉันอยากให้พวกคุณทั้งสี่คนช่วยสืบหลายๆอย่างในมุมของผู้ใช้คุณไสยค่ะ”
“เจ๋งอะ คุงิซากิ”
“หึ ก็แหงล่ะ” ทางเด็กสาวผมน้ำตาลพอได้รับคำชมจากเด็กหนุ่มผมชมพูก็เชิ่ดหน้าด้วยความภูมิใจ ส่วนฟุชิงุโระที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ได้แต่ยกหน้าหนีและทำหน้าเหนื่อยใจ
“แหะๆ…” ส่วนอากาเนะที่นั่งอยู่เบาะหน้าก็ได้แต่หัวเราะแห้งและหันมาถามนิตตะ “นี่คุณนิตตะคะ”
“คะ?”
“พอจะทราบชื่อคนรู้จักที่เรากำลังจะไปหารึเปล่าคะ”
“ชื่อโมริชิตะค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” อากาเนะตอบปัด เพราะที่เธอถามแบบนั้นไปเพราะเรียวตะฝากให้มาถาม
‘โมริชิตะ…ถามหมอนั่นไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก’
‘ทำไม?’
‘มันตายแล้ว’
“…ห๊ะ?”
“หือ? เป็นอะไรรึเปล่าคะ” แต่อากาเนะตกใจจนเผลอออกเสียงทำให้นิตตะทัก
“ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร” เด็กสาวตอบปัดรอบสองแล้วกลับไปคุยกับยมทูตหนุ่มต่อ
‘อันนี้คือไม่ล้อเล่นใช่มั้ย’
‘เรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปดูจากสถานที่จริงที่กำลังจะไปเลย’
.
.
.
“แบบนี้ชักไม่ดีแล้วค่ะเพราะเขาตายแบบเดียวกันกับทั้งสามคน” เมื่อไปถึงบ้านของคนรู้จักที่ว่านั่นแล้วผลปรากฏคือที่นั่นมีงานศพโดยผู้เสียชีวิตก็คือโมริชิตะจริงๆ พอนิตตะไปสอบถามมาก็พบว่าเขาเองก็ตายแบบเดียวกันกับผู้เสียชีวิตทั้งสามก็เลยจำเป็นต้องขับรถไปหาข้อมูลอีกที่นึง “เขาอาศัยอยู่บ้านตัวเอง ประตูที่บ้านเลยไม่ใช่ประตูออโต้ล็อกแต่เขาก็ถูกฆ่าที่หน้าประตูบ้านเหมือนกัน เหมือนก่อนหน้านี้ที่กลับบ้านคนเดียวเขาบอกกับครอบครัวคนอื่นว่าไม่ได้ล็อกกุญแจแท้ๆแต่เปิดประตูไม่ได้ ด้วยค่ะ”
.
.
.
ณ เทศบาลเมืองไซตามะ โรงเรียนมัธยมต้นอุรามิฮิงาชิ
“ฉันลองไปถามพ่อแม่ของเขาดู แต่พวกเขาบอกไม่รู้ว่าลูกชายไปเกี่ยวข้องกับสามคนที่ตายไปยังไง” ทั้งห้าคนมาที่โรงเรียนมัธยมต้นของเหล่าผู้เสียชีวิต นิตตะเดินคอตกรายงานด้วยสีหน้าอมทุกข์ “เฮ้อ~ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียว…”
“ด้อนท์มายด์น่า ที่นี่มันต้องมีอะไรบ้างแหละ” อิตาโดริปลอบผู้ช่วยสาว
“ถ้าเป็นงั้นก็ดีค่ะ” แต่ดูจะไม่ค่อยช่วยได้เท่าไหร่ “ยังไงก็ตามฉันขออนุญาตจากทางอาจารย์แล้ว ขอฝากด้วยนะคะ”
“รับทราบ”
“โอ๊ะ? มีพวกเข้าใจอะไรง่ายอยู่ด้วย ต่อยดัดสันดานซักหมัดเหอะ”
“เพื่อ?”
“โนบาระจัง ฉันว่าอย่าดีกว่านะ” ในตอนนั้นเองคุงิซากิก็เห็นนักเลงสองคนกำลังสูบบุหรี่อยู่จึงเสนอให้ลองไปตีซักรอบ แน่นอนว่าอิตาโดริและอากาเนะไม่เห็นด้วย
“หา?-!?” นักเลงสองคนนั้นที่ได้ยินก็หันมาหาเพื่อเตรียมจะหาเรื่องแต่จู่ๆพวกเขาก็เกิดหน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้วก้มหัว90องศาทันที “ข-ขอบคุณที่เหนื่อยครับ!!”
“อะไรกัน ก็รู้เรื่องดีนี่”
“ไอ้ออร่าเนี่ย จะซ่อนยังไงก็เก็บไม่อยู่สินะ”
‘ทำไมฉันรู้สึกเหมือนพวกเขาไม่ได้ก้มหัวให้สองคนนั้นเลย…’ ในขณะที่สาวผมน้ำตาลและเด็กหนุ่มผมชมพูเชิ่ดหน้ากันอยู่แต่อากาเนะกลับรู้สึกว่าแปลกๆ
“ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบเลยนะครับ คุณฟุชิงุโระ” สิ้นประโยคของหนึ่งในนักเลง สองคนนั้นก็หน้าแตกทันใดและทุกคนต่างหันมามองเจ้าของนามสกุลที่ตอนนี้เบือนหน้าหนีอยู่
“เมงุมิคุงเคยอยู่ที่นี่เหรอ” อากาเนะถาม โดยคนถามก็หันหน้าหนีออกกว่าเดิม
“ฉัน…เรียนม.ต้น…ที่นี่”
“เรื่องนั้นก็ตกใจอยู่หรอกแต่ไม่ใช่ซักหน่อย มองมาทางนี้เลยนะยะ!”
“นายทำอะไร ตอนม.ต้นนายทำอะไรไว้กันเนี่ย! ไม่สิ ถามเจ้าพวกนั้นเร็วกว่า” สองคนนั้นบีบแก้มและหันคอเด็กหนุ่มผมดำให้หันมาทางสองนักเลงโดยคุงิซากิเปิดชิงถามก่อน
“เห้ย! เจ้าบ้าA เจ้าบ้าB หมอนี่ทำอะไรไว้บ้าง!”
“พวกเรา…ไม่สิ พวกนักเลงกับเด็กเกคนอื่นแถวๆนี้โดนคุณฟุชิงุโระอัดน่วมกันหมดเลยครับ” นักเลงBพูด และนั่นทำให้สองคนนั้นละมืออกเพราะตกใจและหันมามองคนที่ถูกพูดถึงทันที
“เคย…อัดน่วม” แน่นอนเจ้าตัวยังคงหันหนีไปทางอื่นอยู่แต่ก็ยังไม่วายที่โดนบังคับให้กลับมาอีกรอบ
“แล้วทำไมพูดตะกุกตะกักตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะยะ มองมานี่เลยนะ!”
“ทำอะไร? นายทำอะไรไว้เนี่ย?!”
“เอ่อ…เมงุมิคุงนี่ตัวท็อปเลยมั้ยคะ” อากาเนะถามสองนักเลงบ้างแล้วชี้ไปที่ฟุชิงุโระ
“ครับ ตัวท็อปแบบไม่มีใครเอาลงเลยครับ”
“♪~” เด็กสาวผิวปากแซวด้วยความชอบใจ เพราะดูจากปัจจุบันแล้วฟุชิโระในตอนนี้ดูเป็นเด็กดีที่สุดในบรรดาปีหนึ่งด้วยกัน
“ผิวปากอะไรของเธอ” ฟุชิงุโระตวัดตาถาม
“แค่คิดว่าเมงุมิคุงก็มาไกลเหมือนกันนะเนี่ย”
“นี่เธอ-”
“นี่พวกเธอเป็นใครกัน! เด็กโรงเรียนอื่นห้ามเข้ามานะ” ในตอนนั้นเองก็มีชายแก่คนหนึ่งที่เป็นบุคคลากรของโรงเรียนมาหาแล้วเอ่ยปากห้าม
“คุณต่างหากล่ะเป็นใคร ห๊ะ!!?”
“ก็ภารโรงน่ะสิ แล้วจะซ่าไปทำไมเนี่ย…” อิตาโดริห้ามคุงิซากิที่ไม่รู้ไปโมโหมาจากไหน
“พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้ามาแล้วค่ะ” นิตตะพูดแล้วโชว์บัตรให้อีกฝ่ายดู
“อ๋อ พวกเธอนี่เองยังดูเด็กกันทุกคนเลยนะ บัตรผ่านควรห้อยคอไว้หน่อยสิ” ชายแก่ขยับแว่นมองพวกเขาจนกระทั่งเจอกับฟุชิงุโระ “ฟุชิงุโระคุงเหรอ”
“…หวัดดีครับ” ส่งนคนโดนทักก็หันตามองทางอื่นพร้อมใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงจางๆ
“โดนจำได้ด้วย~” แน่นอนว่าทั้งอิตาโดริและคุงิซากิยังคงแซวไม่เลิก
“คนๆนี้อยู่โรงเรียนนี้มานานแล้วเหรอ” นิตตะไปร่วมวงกับสองคนนั้นแต่ก็ยังถามเพื่อเอาข้อมูลอยู่
“ประมาณนั้นครับ คุณทาเคดะเขาเป็นพนักงานประจำ”
“งั้นหลังจากนี้ฝากพวกเธอด้วยนะ”
‘โยนงานเฉย…’ เด็กหนุ่มผมดำบ่นในใจ แต่ก็สอบถามทาเคดะไปจนได้เรื่องขึ้นมาบ้างแล้วว่าทั้งสี่คนนี้เคยไปบันจี้จัมพ์ที่สะพานยาโซฮาจิ สถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องฆ่าตัวตายและเป็นจุดผีออกที่โดงดั่งแถวๆนั้น แถมในวันนั้นพวกเขาขาดเรียนโดยพลการแต่พอไปถามครอบครัวก็ไม่รู้เรื่องอีกเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่จนต้องตามหากันให้วุ่นกระทั่งมาเจอพวกเขาทั้งสี่คนนอนหมดสติที่ใต้สะพานดังกล่าว แน่นอนว่าทั้งสี่คนต่างโดนสวดกันยับแต่ที่แปลกคือพวกเขายืนกรานว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้เลย
มันแปลกจริงๆนั่นแหละ
“คงจะใช่แล้วมั้งคะ” นิตตะว่า เพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พวกเขาจึงกลับมาตรงที่จอดรถและคุยกันว่าควรลองไปตรวจสอบที่สะพานนั่นดู
“ถ้าเป็นสะพานยาโซฮาจิผมเคยไปครับ” ฟุชิงุโระพูด
“ไปบันจี้จัมพ์?”
โป๊ก!!
“โอ๊ย!?” อิตาโดริถามเล่นๆแต่ก็โดนคนผมดำทุบกะโหลกเข้าให้หนึ่งดอก
“เป็นจุดที่คำสาปที่รวมตัวกันได้ง่ายเหมือนจุดผีออกหรือโรงเรียนเพราะงั้นคนของโรงเรียนไสยเวทจึงต้องออกลาดตระเวนเป็นระยะ” คนผมดำอธิบายต่อ “ตอนนั้นไม่เจอเรื่องแปลกๆเลยครับ มันโด่งดังก็จริงแต่ก็เป็นสะพานที่ใช้สัญจรตามปกติด้วย”
“แต่ต้องลองไปดูเท่านั้นสินะ” คุงิซากิว่า
“นั่นสินะคะ” นิตตะเองก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ฟุชิงุโระคุง” ในตอนนั้นเอง ทาเคดะเห็นว่าทุกคนยังไม่กลับก็เข้ามาทัก “โทษทีนะ มีเรื่องคาใจนิดหน่อยน่ะ”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ตอนที่อยู่โรงเรียนเคยรบกวนเอาไว้เยอะน่ะนะ สึมิกิคุงสบายดีมั้ย”
“…ครับ” คำถามของทาเคดะทำเอาฟุชิงุโระเงียบไปพักนึงแต่ก็ตอบกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘สึมิกิ?’ แน่นอนว่าพอมีชื่อที่ไม่คุ้นหูออกมาก็ทำให้อากาเนะเกิดความสงสัย
“สึมิกินี่ใครเหรอ” เด็กหนุ่มผมชมพูถาม
“พี่สาว”
“หา?! นี่นายเล่าเรื่องตัวเองน้อยไปแล้วมั้งเนี่ย! หัดดูอากาเนะเป็นตัวอย่างบ้างสิ”
“ใช่ๆ!” คุงิซากิแว้ดใส่และบอกให้ดูเด็กสาวผมแดงเป็นตัวอย่างบ้าง แน่นอนว่าอิตาโดริเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน
“เอ่อ…” ส่วนเด็กสาวเจ้าของชื่อได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งเพราะจริงอยู่ที่ว่าเธอได้เล่าเรื่องของตัวเองให้สามคนนั้นฟังมาบ้างแล้ว
แต่เธอยังไม่เคยบอกพวกเขาเรื่องที่เธอกับเรียวตะมีสายเลือดเดียวกันเลยนะ
.
.
.
ตกกลางคืน
ณ หุบเขาโคอิโนะคิจิ สะพานยาโซฮาจิ
“ถึงแล้วค่ะ หุบเขาโคอิโนะคิจิ สะพานยาโซฮาจิ” พอตกกลางคืน นิตตะก็ได้ขับรถเหล่าปีหนึ่งมายังสะพานแห่งนี้เพื่อตรวจสอบวิญญาณคำสาป “ทันทีที่ยืนยันวิญญาณคำสาปมาได้ ฉันจะกางม่านทันทีค่ะ”
“รับทราบ” เด็กหนุ่มผมชมพูขานรับคำสั่งแล้วนิตตะก็ขับรถออกไปทันที ส่วนเหล่าปีหนึ่งก็ทำการตรวจสอบแถวใต้สะพานจนรุ่งสางแต่ก็ไม่เจออะไรเลย ขนาดลองให้อิตาโดริไปบันจี้จัมพ์ด้วยเชือกไวนิลแล้วก็ยังไม่เจอสุดท้ายทุกคนต้องโทรหาให้นิตตะมารับกลับและให้แวะที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อหาของกิน ในระหว่างที่รออากาเนะก็มีอาการสัปหงกหลายทีจนคนที่เหลือต่างตะโกนเรียกให้เธอตื่นอยู่หลายหนจนกระทั่งผู้ช่วยสาวมารับและพาทุกคนไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของกินไปรองท้องรวมถึงรายงานเรื่องคำสาปที่สะพานไปด้วยว่าไม่เจอเบาะแสอะไร
“ไหวมั้ยเนี่ยอากาเนะ” คุงิซากิถาม
“ง่วง…” อากาเนะว่าพลางดื่มวิตามินซีไปด้วย
“กินวิตามินซีแก้ง่วงไปเลย ซื้อมาตั้งห้าขวดก็กินให้หมดด้วยล่ะ”
‘ไม่ได้เห็นเจ้าโด๊ปวิตามินซีนานเลยนะ’ ยมทูตหนุ่มแซวขำๆ เพราะอากาเนะเป็นคนไม่กินกาแฟเลยแม้แต่นมรสกาแฟก็ยังไม่กิน แต่ถ้าอยากแก้ง่วงแบบไม่ต้องกินกาแฟก็คงหนีไม่พ้นของเปรี้ยวอย่างวิตามินซีนี่แหละ
“อ๊ะ! เจอแล้ว ค่อยยังชั่ว! คุณฟุชิงุโระ!” แต่ในตอนนั้นเอง หนึ่งในนักเลงที่เคยเจอที่โรงเรียนเก่าของฟุชิงุโระก็ปั่นจักรยานมาหาพอดีพร้อมกับพาหญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลเข้มและมีกระตามใบหน้า
“ใครน่ะ?”
“ก็รุ่นน้องฟุชิงุโระไม่ใช่รึไง คุงิซากิก็แหย่ไปตั้งเยอะนี่” แต่เหมือนสาวผมสีน้ำตาลอ่อนจำไม่ได้ อิตาโดริเลยต้องบอกทวนความจำให้
“เห็นพูดถึงสะพานยาโซฮาจิ ดีจริงๆที่อยู่” นักเลงคนนั้นพูดด้วยความโล่งใจ
“ฟูจินุมะ?”
“เมงุมิคุงรู้จัก?”
“เพื่อนร่วมชั้นน่ะ” ดูเหมือนฟุชิงุโระจะจำหญิงสาวคนนั้นได้ก็ทักชื่อของเธอไป
“พี่สาวครับ” นักเลงผายมือไปทางหญิงสาวที่พามาด้วย ซึ่งเธอก็โค้งตัวทักทายไปตามมารยาท “เมื่อวานผมเล่าเรื่องคุณฟุชิงุโระให้พี่ฟัง”
“คือว่า คุณโมริชิตะเขาจัดงานศพใกล้บ้านฉันแล้วได้ยินจากเด็กคนนี้มาว่ากำลังตรวจสอบเรื่องของคนๆนั้นกับสะพานยาโซฮาจิกันอยู่ ก็เลยคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกันรึเปล่า” ประโยคของฟูจินุมะทำให้นิตตะส่ายหัวส่งสัญญาณให้ฟุชิงุโระว่าอย่าพึ่งบอกอะไรมากนัก
“เกี่ยวอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่คุณโมริชิตะตายกับเรื่องของสะพาน…”
“ไม่เกี่ยวกันหรอก พวกเราก็แค่-”
“ฉัน…ฉันไปมาน่ะ ไปที่สะพานยาโซฮาจิตอนกลางคืนตอนที่อยู่ม.2”
”แหงะ--”
“ห๊ะ?” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าซีดเซียว ทำเอาคุงิซากิและอากาเนะร้องอุทานในขณะที่สองหนุ่มไม่ได้อุทานอะไร
“ช่วงนี้ที่บ้านมีเหตุการณ์แปลกๆบ้างมั้ยคะ” ผู้ช่วยสาวถาม “อย่างความรู้สึกแปลกๆที่ในครอบครัวมีแค่ตัวเองที่รู้สึกได้?”
“…บ้านฉันเป็นร้านขายของฝากท้องที่ค่ะ แต่เฉพาะตอนที่ฉันกลับประตูออโต้ของร้านมันชอบเปิดทิ้งไว้ค่ะ” หญิงสาวเล่าด้วยความหวาดกลัว “พ่อกับแม่บอกว่าแค่บังเอิญ แต่มันต้องมีบางอย่างอยู่แน่ๆค่ะ”
‘เลือกเฉพาะคนที่ไปสะพานนั่น…แต่คำสาปก็ไม่ได้ส่งผลทันทีหลังจากที่ไปมาแล้ว น่าสงสัย’ เรียวตะคิด
“ฉันกลัวมาก และในตอนนั้นฉันก็ได้ยินเรื่องของฟุชิงุโระคุงก็เลยนึกเรื่องสะพานยาโซฮาจิขึ้นมาได้”
“เรื่องประตูออโต้นี่เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” นิตตะถามต่อ
“หนึ่งอาทิตย์ก่อนพอดีค่ะ เลยมาวันนึงได้”
“ตอนนั้นไม่ได้ไปสะพานแค่คนเดียวใช่มั้ย จำได้มั้ยว่าไปกับใคร” คุงิซากิถามบ้าง
“มันเกี่ยวกันจริงๆด้วยสินะคะ”
“หมายถึงประตูออโต้น่ะนะแต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณโมริชิตะตายหรอกค่ะ ฉันก็แค่ให้พวกฟุชิงุโระคุงช่วยทำรายงานที่มหาลัยของฉันเท่านั้นเอง” ผู้ช่วยสาวพูดโกหกเบี่ยงเบนความสนใจเนื่องจากไม่ต้องการให้คนทั่วไปรู้เรื่องวิญญาณคำสาปที่พวกเขาตามสืบอยู่พร้อมควงแขนคุงิซากิเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ “ผลกระทบต่อคลื่นไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าในจุดผีออก เพลียสุดๆเลยค่ะ!”
“เพลียจนอยากจะกลับไปนอนจริงๆนะคะ…” อากาเนะบ่น
“แต่ว่าอยากจะฟังจากหลายๆปาก เพราะงั้นอยากให้ช่วยบอกชื่อคนที่ไปด้วยกันหน่อยค่ะ”
“…คนที่ไปทดสอบความกล้าด้วยกันเป็นรุ่นพี่ในชมรมสองคนค่ะ” หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจชื้นและมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “จริงด้วยฟุชิงุโระคุง ตอนนั้นคุณสึมิกิก็ไปด้วยนะ”
‘ชิบหายของจริง…’
‘งานหยาบแล้ว…’ ทางยมทูตหนุ่มและเด็กสาวผมแดงได้แต่ตกใจอยู่ภายในใจเพราะไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีพี่สาวของฟุชิงุโระด้วย
“…เหรอ งั้นเดี๋ยวจะถามกับสึมิกิดูนะ” เด็กหนุ่มผมดำตอบโดยยังคงสีหน้านิ่งเฉยไว้อยู่ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร
“งั้นเดี๋ยวฉันพาสองคนนี้ไปส่งที่บ้านเอง ฝากช่วยทำรายงานต่อให้ด้วยค่ะ” นิตตะว่าแล้วพาสองคนน้้นกลับไปส่งที่บ้าน
“ฟุชิงุโระ ฟุชิงุโระ!” อิตาโดริเขย่าไหล่เด็กหนุ่มผมดำที่ตอนนี้หน้าเสียเรียบร้อยแล้ว
“โฮ่ย! ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นห่วงพี่ตัวเองแต่ตอนนี้เจ้าต้องตั้งสติก่อน” เรียวตะพูดออกมาจากลูกแก้ว
“ใช่ๆ! ตั้งสติเอาไว้ นายเช็คก่อนว่าพี่นายปลอดภัยรึเปล่า”
“ไม่ใช่แค่นายคนเดียวหรอกที่เป็นห่วง พวกเราทุกคนก็เป็นห่วงคุณสึมิกิเหมือนกันนะ” อิตาโดริและอากาเนะเสริม
“…ฉันไม่เป็นไร โทษทีฉันขอตัวเดี๋ยว” แล้วฟุชิงุโระก็ขอแยกตัวไปตั้งสติ ทำให้สามคนที่เหลืออดเป็นห่วงไม่ได้
‘เรียวตะ’ ในตอนนั้นเองอากาเนะก็เรียกยมทูตหนุ่มพอดี
‘ว่า?’
‘ไปหาข้อมูลคุณสึมิกิมาให้หน่อยได้มั้ย’
‘หาได้ตั้งแต่ตอนได้ยินชื่อครั้งแรกที่โรงเรียนแล้วจ้าหนู’
‘งานไวจริงๆ…’ ประโยคของอีกฝ่ายทำเอาเธอรู้สึกยอมใจ ‘แล้วได้อะไรบ้างมั้ย’
‘บอกตามตรงว่าที่ไปหามาได้มันแอบน่าสงสัยอยู่’
‘?’
‘คืองี้…’
…
“ทำไมถึงคุยกับคุณอิจิจิล่ะ”
“พี่สึมิกิปลอดภัยดีมั้ย”
“บอกพวกเราได้นะเมงุมิคุง” ทั้งสามคนไปหาฟุชิงุโระที่นอกจากจะแยกตัวไปตั้งสติแล้วยังมีโทรหาอิจิจิเพื่อรายงานเบาะแสของงานที่ตัวเองรับมา
“ไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นความอันตรายของภารกิจเพิ่มสูงขึ้นแล้ว” เด็กหนุ่มผมดำเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย “เรื่องนี้จะส่งต่อให้กับผู้ใช้คุณไสยคนอื่น พวกนายกลับไปได้แล้ว”
“…ไม่เอา” อากาเนะปฏิเสธ “ถ้านายบอกแบบนี้แปลว่าจะจัดการเองคนเดียวใช่มั้ย”
“...”
‘ข้าว่าใช่ หมอนี่จะจัดการทุกอย่างคนเดียว’ พอฟุชิงุโระไม่ตอบกลับ เรียวตะก็นึกได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายจะจัดการทุกอย่างเอง ยิ่งการยัดทั้งสามคนเข้ารถที่นิตตะมารอรับยิ่งเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูก
“อะไรเล่า! แค่พวกฉันเหรอ แล้วฟุชิงุโระล่ะ?!” เด็กหนุ่มผมชมพูถาม
“เดี๋ยวฉันจะไปลาคุณทาเคดะก่อนแล้วค่อยกลับ เอ้า ไปได้แล้ว” ฟุชิงุโระตัดจบแล้วรถของนิตตะก็ขับออกไปทันที
‘เอาไงต่อล่ะ อากาเนะ’ ยมทูตหนุ่มถาม
‘นายก็รู้อยู่แก่ใจแล้วนี่ว่าพวกฉันจะทำยังไงต่อ’
.
.
.
ตกกลางคืน ใต้สะพานยาโซฮาจิ
“เล่าเรื่องตัวเองน้อยไปแล้วนะนาย”
“จริง”
“ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าเป็นห่วง แต่ให้ตัวเองมาจัดการคนเดียวแบบนี้พวกฉันไม่โอเคนะ” แน่นอนว่าทั้งคุงิซากิ อิตาโดริ และอากาเนะก็เลือกที่จะไม่ปล่อยให้คนผมดำต้องทำภารกิจคนเดียวเลยแอบตามมาด้วย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองโดนแอบตาม ส่วนฟุชิงุโระที่เพิ่งรู้ตัวก็กัดฟันกรอดว่าทำไมสามคนนั้นถึงตามมาอีก
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่รู้ตัวขนาดนี้ คงจนตรอกจริงๆนั่นแหละ” คุงิซากิว่า
“จะไม่บอกให้เล่าทุกอย่างหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็มาพึ่งกันบ้างสิพวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
“...” คำพูดของอิตาโดริเตือนสติของเด็กหนุ่มผมดำจนสุดท้ายเขาก็ยอมเล่าทุกอย่างแต่โดยดี “สึมิกิ…ยังหลับไม่ตื่น”
“?”
“คำสาปยาโซฮาจิจะปรากฏออกมาต่อหน้าผู้โดนสาปเท่านั้น ในเมื่อเจ้าตัวยื่นเรื่องอะไรไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนคำสาปฆ่าเมื่อไหร่เพราะงั้นฉันอยากจะปัดเป่ามันเดี๋ยวนี้”
‘แปลว่าสัญลักษณ์ที่นายเห็นนั่นก็น่าจะมาจากที่นี่แล้วล่ะ’
‘แต่มันก็แปลกอยู่ดี คำสาปที่นี่มันรุนแรงถึงขั้นทำคนอยู่ในสภาพนิทราเลยเหรอ’ เด็กสาวผมแดงคุยกับยมทูตว่าตอนที่เขาไปหาข้อมูลสึมิกิมา เขาเห็นว่าที่หน้าผากของเธอมีสัญลักษณ์แปลกๆปรากฏอยู่ทำให้เขาได้แต่สงสัยว่ามันมาจากไหน ถึงจะรู้ว่ามันมาจากสะพานนี่ก็ไม่ทำให้เขาหายสงสัยว่าทำไมมีแค่สึมิกิคนเดียวที่อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทราในขณะที่คนอื่นๆยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ก็ต้องแลกกับการโดนคำสาปที่เตรียมจะฆ่ากันเมื่อไหร่ก็ได้
“แต่ที่บอกว่าระดับความอันตรายของภารกิจสูงขึ้นคือเรื่องจริง-”
“ค่าๆ รู้แล้ว”
“ก็บอกแบบนั้นตั้งแต่แรกสิ” คุงิซากิและอิตาโดริพูดตัดจบบทสนทนาสุดแสนจะเคร่งเครียดแล้วเดินออกมา ทำให้ฟุชิงุโระนิ่งไปพักนึงก่อนจะยิ้มออกมา
“หือ? เมื่อกี้เจ้ายิ้มเหรอ”
“?!” แต่พอโดนเรียวตะที่อยู่ในลูกแก้วทักเท่านั้นแหละ ฟุชิงุโระก็หุบยิ้มทันที
“ห๊ะ อะไรนะ เมื่อกี้ฟุชิงุโระยิ้มเหรอ!” แถมอิตาโดริก็ไปได้ยินเข้าก็รีบวิ่งตรงมาหาทันที
“เปล่าซักหน่อย นายตาฝาดแล้วเรียวตะ” เด็กหนุ่มผมดำพูดกลบเกลื่อน
“เรอะ? ข้าว่าข้ามองไม่-”
“นายตาฝาดจริงเถอะเรียวตะ” อากาเนะพูดโพล่งออกมาจนทุกคนหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว
“หา? นี่เจ้า-”
“ฉันว่าอยู่เงียบๆแล้วรอให้คำสาปออกมาดีกว่านะ ตอนนั้นฉันจะให้นายจัดการได้เต็มที่เลย”
“…ก็ได้ๆ ครั้งนี้ข้ายอม” แต่ไม่นานเธอก็เกลี้ยกล่อมให้ยมทูตหนุ่มเลิกเซ้าซี้ไปได้ดื้อๆจนทุกคนงงกันว่าทำได้ไง
“ปกติเธอสั่งเจ้าหมอนี่สงบปากสงบคำได้แบบครั้งเดียวจอดเลยเหรอ” คุงิซากิถาม
“ได้แต่ไม่บ่อยนะ”
“ขอรู้วิธีหน่อยได้มั้ย เผื่อจะเอาไปใช้กับสุคุนะได้ซักวัน”
“เอ่อ…แค่เป็นสุคุนะจะใช้วิธีไหนมันก็ไม่ได้ผลทั้งนั้นแหละยูจิคุง” เด็กสาวหน้าแห้งกับคำขอที่สุดแสนจะเป็นไปไม่ได้ของอิตาโดริ ซักพักสองคนนั้นก็เดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนอากาเนะกับฟุชิงุโระยังไม่ได้ตามไปแต่ไม่นานอากาเนะก็หันมาหาคนผมดำก่อนจะยิ้มและเอานิ้วชี้วางบนริมฝีปากตัวเองพร้อมขยิบตาไปหนึ่งทีเป็นการบอกนัยๆว่าเห็นนะแต่เงียบไว้ให้แล้ว จากนั้นเธอก็ตามสองคนนั้นไป
“…:)” ส่วนฟุชิงุโระเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอีกรอบที่ได้อากาเนะมาช่วยเขาไม่ให้โดนเซ้าซี้ไปมากกว่านี้และตามทุกคนไป
ส่วนขั้นตอนที่จะทำให้คำสาปแห่งนี้มันปรากฏออกมา พวกเขาหาวิธีได้แล้วก็คือเมื่อถึงตอนกลางคืนให้มาที่สะพานยาโซฮาจิแล้วลงมาใต้สะพาน จากนั้นก็ให้ตามหาแม่น้ำ
และให้กระโดดข้ามไปอีกฝั่ง
ครืนนนนน!!!
ทันทีที่กระโดดข้ามมา บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับเข้ามาในอีกมิติ มีหลุมตัวตุ่นมากมายผุดจากบนพื้นและเพดานพร้อมส่งเสียงกรีดร้องจนแสบแก้วหู
“ดูคุ้มค่าให้ปัดเป่านะ” คุงิซากิว่า
“แต่แสบแก้วหูจริงๆ…” อากาเนะว่าพลางเอานิ้วอุดหูตัวเอง
ตึกๆๆๆๆๆ!!!!
“ยี๊ ฮ่าาาาาาาาา!!!”
“?!”
ตู้ม!!!
‘อะไรวะเนี่ย?!’ แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมพุ่งมาจากด้านหลังจนทุกทุกคนต้องเบี่ยงตัวหลบ และมันก็คือวิญญาณคำสาผตัวใหญ่ที่มีเลือดออกตามตาและปาก แถมปากของมันก็กว้างมากด้วย
“อะไรอ่ะ มีคนมาก่อนเหรอ” คำสาปตัวนั้นพูด นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่คำสาประดับทั่วๆไป แน่นอนว่าทุกคนก็ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ทันที
“ฟุชิงุโระ เจ้านี่มันคนละตัวกันสินะ” อิตาโดริถาม
“อา”
“งั้นพวกนายมีสมาธิกับทางนั้นซะ เจ้านี่ฉันจะปัดเป่าเอง” พอเด็กหนุ่มผมชมพูเอ่ยแบบนั้น เจ้าคำสาปก็หัวเราคิกคักด้วยความชอบใจ
“อะไร จะเล่นด้วยเหรอ ฮิๆๆๆๆ”
.
.
.
talkๆ desu: เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟแล้วค่าาาาาาาาาาา อยากจะบ้าตายกับการบ้านมาก เพราะเดือนหน้าก็จะสอบไฟนอลแล้ว กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ชั้นอยากลาออกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สนุกไม่สนุกยังไงก็เม้นกันเข้ามาได้นะคะ จะได้มีกำลังใจในการแต่งต่อไป
เจอกันตอนหน้า บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยย
twitter: @bdm1228
bluesky (อันนี้เป็นแอพใหม่ที่ceoทวิตเตอร์คนก่อนสร้างหลังจากโดนอีลอนไล่ออกมา มาฟอลกันได้นะคะ) : https://bsky.app/profile/bdm1228.bsky.social
ความคิดเห็น