คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 11 ฟรี 31/10/67
“หยุดทำหน้าเหม็นเบื่อแบบนั้นใส่อาจารย์สักทีเยว่ซิน อาจารย์เองก็ไม่ได้อยากมาพบเจ้าหรอกนะ” ลู่หวังเหล่ยกลอกตามองบนเมื่อเห็นสีหน้าของลูกศิษย์ที่มองมาเหมือนต้องการไล่เขาออกไปจากบ้านตัวเองแบบนี้
“ถ้าท่านไม่อยากมา ท่านก็ไม่ต้องมาครับ ไม่มีใครบังคับท่านหรอก” คนงามตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชา ขณะที่ใช้กรรไกรในมือตัดแต่งกิ่งของดอกไม้บนโต๊ะ
เช้าวันนี้หวังเยว่ซินตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ไม่มีอาการฝันร้ายหรือสะดุ้งตื่นอย่างที่เคยเป็นมานาน คนงามเปลี่ยนน้ำในแจกันให้ดอกไม้ ทานอาหารเช้าและทำงานอีกสักพักจนแดดตอนเที่ยงเริ่มหายไป ก็ได้เวลาออกไปจัดการสวนข้างนอก
สิ่งที่ทำให้ที่ปรึกษาคนงามอารมณ์ดีขึ้นไปอีก ก็คือการที่ดอกไม้เกือบครึ่งของเขา กลับมาบานอีกครั้งหลังจากพายุเมื่อ 2 เดือนก่อน แน่นอนว่าหวังเยว่ซินก็ตัดสินใจเก็บดอกไม้พวกนั้นมาประดับแจกันในทันที
ถึงแม้จะว่าดอกไม้ที่เขาใส่ไว้เมื่อสองเดือนก่อนจะยังไม่เหี่ยวเฉา เพราะว่าตัวเขาดูแลพวกมันอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสดเหมือนเดิม ยังไงดอกที่เก็บจากต้นก็สวยกว่าอยู่แล้ว
แต่อารมณ์ดีๆ ของเขาก็ต้องหายไปเมื่ออาจารย์ที่ดูเหมือนว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาจะชอบหาเรื่องให้เขาเหลือเกินมาหา หรือบางทีหวังเยว่ซินอาจจะพิจารณาให้อาจารย์เข้าโรงพยาบาลไปอีกสัก 1 ปีดีนะ...
อือ... ไม่เอาดีกว่า ระยะเวลา 1 ปี ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เผื่อว่ามีคนมาหาเรื่องอาราม จะได้ปล่อยให้อาจารย์จัดการไปคนเดียว เอาสัก 3 เดือนก็น่าจะพอ..
“แล้วเจ้ายอมให้ลูกศิษย์คนอื่นเข้ามาส่งข่าวแทนอาจารย์ไหมล่ะ” แม้จะไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้างดงามนี้ อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ความรู้สึกเสียวสันหลังที่เกิดขึ้นก็บ่งบอกได้ไม่ยากว่าถ้าหากครั้งนี้มีเรื่องที่ทำให้หวังเยว่ซินไม่พอใจ เขาคงได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ
“ไม่มีทาง ถ้าอาจารย์กล้าส่งลูกศิษย์พวกนั้นเข้ามา ผมก็กล้าที่จะพวกนั้นลงไปที่ตีนเขาโดยไม่ต้องลงบันไดเหมือนกัน” ที่ปรึกษาคนงามพ้นหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
ในสมัยที่เขาแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวแรกๆ อาจารย์ก็ไม่ได้เป็นคนเดียวที่เอางานมาให้เขาหรอก ยังมีลูกศิษย์หลายคนที่เคยเข้ามาเหยียบห้องนี้ แต่เพราะหวังเยว่ซินไม่ค่อยพอใจกับสายตาหรือท่าทางการแสดงออกของพวกเขาเท่าไหร่ ก็เลยไล่ออกไปโดยไม่ปล่อยให้พูดอะไรเลย
ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่มองมาเหมือนเขาเป็นสิ่งของที่งดงามจนอยากได้มาครอบครอง หรือท่าทางการแสดงออกที่ส่องแววไปทางชู้สาว ทั้งหมดล้วนแต่ทำให้หวังเยว่ซินรู้สึกระคายสายตา
พวกนั้นคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน กล้าดียังไงถึงได้มาส่งสายตาแบบนั้นใส่เขา หวังเยว่ซินรู้ว่าตัวเองนั้นงดงาม งามจนไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ แต่บางครั้งก็ควรคำนึงถึงความเหมาะสมและมีสติบ้าง
สิ่งทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ก็การมีสติและมีความคิดอ่าน ถ้าหากไม่มีสองสิ่งนี้ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นมนุษย์อีกแล้ว
“งั้นก็อย่าบ่นนักสิ” ดวงตาของชายวัยกลางคนที่ผ่านโลกมามากจ้องมองเด็กที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนใจ
ถึงแม้หวังเยว่ซินจะสร้างปัญหาขนาดไหน ทำให้เขาเจ็บตัวมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ลึกๆ แล้วลู่หวังเหล่ยเอง ยังรู้สึกรักและเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ต่างจากวันแรกที่รับเขาเข้ามา เพราะแบบนั้นถึงได้ยอมหลับตาเข้าข้างและเมินเฉยต่อความผิดที่อีกฝ่ายทำ
ถึงแม้ลู่หวังเหล่ยจะชอบอ้างว่าไม่มีทางเลือก เพราะบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ติดกับอีกฝ่าย แต่คงเป็นแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ถ้าหากตัวเองให้บทลงโทษแบบจริงจังกับอีกฝ่าย มีเหรอที่เยว่ซินจะขัดขืน
เห็นที่ปรึกษาคนงามเป็นพวกอารมณ์ร้ายและเอาแต่ใจแบบนี้ ใครจะรู้ล่ะว่าเยว่ซินเป็นพวกที่ให้ความเคารพกับคนที่เลี้ยงดูตัวเองมาก ไม่งั้นคงไม่ยอมอ่อนข้อขนาดยอมทำงานที่เขาขอหรอก
ส่วนเรื่องการตกเขาหรือเลือดตกยางออกนั้น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่การระบายอารมณ์ของเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่งเท่านั้น ออกจะน่าเอ็นดู...
คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของคนตรงหน้า คงไม่ได้คิดอะไรน่ารำคาญอยู่หรอกใช่ไหม หรือว่าครั้งนี้ควรจะแขนขาสักข้างหักไปด้วยดี เผื่อว่าจะคิดอะไรได้บ้าง
“แล้วรอบนี้มีธุระอะไร” สีหน้าของที่ปรึกษาคนงามยังคงเรียบเฉย แม้ว่าจะไม่อยากรับรู้เนื้อหาของงานเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ... จำคดีเมื่อวานที่มีตำรวจมาปรึกษาได้ไหม” เอาจริงๆ นะ หลายครั้งที่ลู่หวังเหล่ยคิดว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาที่เขาตั้งให้แบบง่ายๆ เนี่ย ดูจะเหมาะกับเยว่ซินมากกว่าที่คิดไว้
ไม่ใช่ที่ปรึกษาให้เหล่าศิษย์ในอาราม แต่เป็นที่ปรึกษาสำหรับคนนอกที่ต้องการความช่วยเหลือต่างหาก
“จำได้ ทำไมเหรอ อย่าบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังจับคนร้ายไม่ได้อีก” น้ำเสียงหวานใสเต็มไปด้วยความเหยียบหยามในแบบที่ ถ้าหากตำรวจทั้งสองมาอยู่ตรงนี้คงได้อับอายจนหน้าแดง
ด้วยความที่ต้องทำงานกับรัฐบาล หลายครั้งเหมือนกันที่หลังเยว่ซินจำเป็นต้องทำงานกับพวกตำรวจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนล่ะผลที่ออกมานั้น ไม่เคยจบได้ดีเลยสักครั้ง
หวังเยว่ซินไม่ปฏิเสธ ว่าตัวเขาเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองในแบบที่ไม่เห็นคนอื่นอยู่สายตา การเกิดการปะทะคารมกันเพราะนิสัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่เขาไม่ผิดสักหน่อย ตำรวจพวกนั้นเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือกับเขาก่อน การยอมรับนิสัยของเขาให้ได้มันก็เป็นเรื่องที่พวกเขาควรทำ หวังเยว่ซินถือว่าความพอใจของตัวเองคือกฎ คนที่ไม่สามารถทำตายได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องสนใจไยดี
อีกอย่างนะ ตำรวจพวกนั้นก็ทำงานช้ากันเหลือเกิน ต้องหานั้น หานี่มันสนับสนุนเหตุผลอยู่ได้ หลายคนไม่ได้เชื่อในเรื่องวิญญาณด้วยซ้ำ กล้าดียังไงถึงมองเขาเหมือนมองพวกหลอกลวง หวังเยว่ซินสูงส่งกว่านั้นมาก!
“กลับกันเลย พวกเขาหาคนร้ายเจอแล้ว แต่คนร้ายคนนั้นดันฆ่าตัวตายไปก่อนจะได้จับน่ะสิ” เจ้าอารามยื่นภาพที่ขอมาจากตำรวจให้เด็กตรงหน้า
“....เป็นไปไม่ได้..เด็กคนนั้นเป็นนักพรตไม่ใช่เหรอ...” คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากัน ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าใสฉายแววมึนงงปนไม่เข้าใจ
“ใช่ เพราะแบบนี้จึงต้องรบกวนให้เจ้าลงไปจัดการไง” ลู่หวังเหล่ยจ้องมองที่ปรึกษาคนงามที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของเขา
นักพรตต่างจากคนธรรมดา ต่อให้จะเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากอาจารย์ว่าสามารถออกไปเผชิญกับวิญญาณร้ายได้ แต่ยังไงพวกเขาก็ได้รับการสั่งสอนเรื่องต่างๆ ที่ควรจะรู้มาแล้ว
ทั้งการควบคุมพลังวิญญาณในตัว และกฎแห่งความตายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
พวกเขารู้ว่าการฆ่าตัวตายนั้นจะสร้างความเสียหายให้กับวิญญาณได้มากกว่าการตายแบบอื่น เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง แถมยังมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดวนลูปความตายขึ้นมา
หือ... วนลูปความตายคืออะไรงั้นเหรอ ก็คือเหตุการณ์วิญญาณบังคับให้ตัวเอง ฆ่าตัวตายซ้ำๆ อย่างไม่รู้จบทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว ความเจ็บปวดและความทรมานก็ยังคงเหมือนเดิม
เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเฉพาะกับวิญญาณที่ลงมือฆ่าตัวตายเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไม แต่ถ้าให้เดา คงคล้ายกับบทลงโทษของคนที่ไม่เห็นค่าของชีวิตอะไรแบบนี้
นักพรตที่รู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าคนธรรมดา ไม่มีทางอยู่แล้วที่จะเลือกฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด
คดีนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาในตอนแรก น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่ว่า...
ดวงตาคมสีฟ้าใสหรี่ลงเล็กน้อย ประกายความไม่พอใจค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
เขาไม่ชอบพวกตำรวจ...
“เยว่ซิน... อาจารย์รู้ว่าเจ้าไม่ชอบ แต่เรื่องนี้มันรอช้าไม่ได้ ถ้าหากว่ามันมีเบื้องหลังอยากที่คิดไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อีก”
ไม่ใช่ว่าเจ้าอารามอยากจะใช้งานที่ปรึกษาคนงามให้จัดการกับเรื่องนี้ เพียงแต่คนเดียวที่สามารถบังคับให้วิญญาณออกมาได้มีเพียงหวังเยว่ซินคนเดียว
ตัวเขาเองก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น เมื่อเช้านี้ทางรัฐก็พึ่งจะให้งานใหม่กับเขามา เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นในเขตชายแดนประเทศ
อยากจะไปจัดการเองอยู่หรอก แต่ว่างานนี้เลื่อนไม่ได้จริงๆ ...
“ก็ได้... แต่ผมไม่รับประกันว่าพวกตำรวจจะปลอดภัย” หวังเยว่ซินถอนหายใจเสียงเบา
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าเคยเกิดขึ้นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จุดเริ่มต้นของการอาละวาดของราชาผีก็เริ่มต้นแบบนี้เหมือนกัน
เป็นเพียงคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นักพรตส่วนใหญ่มองข้าม มารู้สึกตัวอีกที ราชาผีก็ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว หวังเยว่ซินจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองอายุเพียง 10 ปี ได้เห็นภาพการตายของนักพรตมากมายต่อหน้าต่อตาเลย
“แค่เจ้ายอมไปก็พอแล้ว จะเอาศิษย์ไปด้วยสักคนไหม” เจ้าอารามยกยิ้มบางบนใบหน้า แม้หวังเยว่ซินจะเอาแต่ใจ ก็แต่ไม่ได้โง่ ยิ่งตัวเขาเป็นพวกที่มีประสาทสัมผัสเร็วกว่าคนอื่นมาก ไม่แน่ว่าอาจจะรู้สึกแปลกๆ มานาน แต่ว่าไม่ได้สนใจก็ได้
“ไม่จำเป็น” คนงามพ้มลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรำคาญใจ
ลูกศิษย์พวกนั้นมีแค่ถ่วงแข้งถ่วงขาเขาเท่านั้นแหละ..
“พวกตำรวจบอกว่า ถ้าหากลงไปได้เร็วแค่ไหนก็ยิ่งดี เพราะตอนนี้เริ่มเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นในส.นแล้วด้วยนะ โอเคๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น อาจารย์จะออกไปเอง ไม่ต้องไล่หรอก”
เห็นสีหน้าที่เริ่มแสดงความไม่พอใจของอดีตลูกศิษย์ ลู่หวังเหล่ยที่ยังไม่อยากมีเฝือกใส่ไว้ที่ขาตอนไปทำงานก็รีบออกจากบ้านหลังขนาดกลางๆ ที่สร้างขึ้นมาอย่างงดงามมากกว่าหลังอื่นในอารามนี้อย่างรวดเร็ว
ถ้าช้ากว่านี้ คงโดนผลักออกไปจนตกเขาแน่ๆ
ผู้ครอบครองความงดงามที่เหนือกว่าผู้ใดพ้นลมหายใจออกมาออกมาเบาๆ มือที่งดงามราวกับหยกจัดเรียงดอกไม้ทั้งหมดบนโต๊ะลงในแจกัน ขณะที่ในหัวก็เรียบเรียงความคิดทั้งหมดอย่างช้าๆ
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าอยู่ ถ้าหากลงไปจัดการให้เรียบร้อย ก็อาจจะกลับขึ้นมาได้ก่อนเที่ยง หวังเยว่ซินไม่อยากเสี่ยงกินอาหารข้างทาง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้อยู่ดีว่าพวกตำรวจพวกนั้นจะไม่เข้าใจวุ่นวายจนทำให้งานช้าไปกว่าเดิม
สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรู้เกี่ยวกับตัวเขาก็คือ หวังเยว่ซินเป็นพวกที่ทานอาหารตรงเวลามาก เพราะว่าถูกตามใจและมีคนจัดอาหารเอาไว้ให้ตลอดตั้งแต่เกิด เขาจึงมองว่าการกินอาหารผิดเวลาเป็นที่ไม่สมควรทำ
ราวกับรับรู้ถึงความกังวลของคนงาม ปิ่นโตจีนโบราณที่ภายในเต็มไปด้วยอาหารมากมายก็ปรากฏขึ้นที่กลางโต๊ะในทันที
“รู้ดีจริงๆ นะ...แต่ฉันไม่ถือไปหรอก” หวังเยว่ซินถอนหายใจเสียงเบา เขาไม่มีทางยอมถือปิ่นโตเดินลงจากเขาแน่นอน
สิ้นเสียงนั้น ปิ่นโตก็หายไปจากโต๊ะ เปลี่ยนเป็นร่มจีนโบราณสีแดงสดที่วางเอาไว้แทน
“โอเค...ไปก็ได้” ที่ปรึกษาคนงามคว้าร่มสีแดงสดนั้นเอาไว้ ก่อนจะเดินไปคว้าแส้สีขาวประจำตัวและสวมรองเท้าปักคู่ใหม่ที่พึ่งจะทำเสร็จ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวให้ยุ่งยาก
เพราะหวังเยว่ซินนั้นสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เกิด...
...........................
แต่บางครั้งหวังเยว่ซินก็คิดว่าตัวเองควรจะลงมาช้ากว่านี้สักหน่อย...
ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ขนมราคาแพงและน้ำชาที่ถูกสั่งมาถูกวางนิ่งไว้บนโต๊ะโดยไร้ซึ่งการแตะต้อง
“ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่นะ...หวังซูฉี” หวังเยว่ซินค่อยๆ พูดชื่อของหญิงสาวตรงหน้าออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก แม้ว่าสีหน้าและท่าทางของเขาจะไม่ได้อะไรต่างจากปกติมากนัก แต่ถ้าหากอาจารย์มาอยู่ตรงนี้..
ลู่หวังเหล่ยจะมองเห็นความโกรธแค้นที่แฝงอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน
“พี่... สบายดีไหมคะ...” หวังซูฉีพยายามส่งยิ้มแบบฝืนๆ ให้ชายหนุ่มผู้งดงามตรงหน้า แผ่นหลังของเธอชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในห้องแอร์
“อย่ามาเรียกพี่ มันระคายหู” ร่างงดงามเอนหลังพิงกับเก้าอี้ เขาไม่ได้มีความสนใจที่จะถนอมน้ำใจของผู้หญิงตรงหน้าเลยสักนิด สิ่งเดียวที่ทำให้ได้ มีเพียงความโกรธเท่านั้น
“พี่...หนูรู้ว่าพี่โกรธพวกเรามาก แต่ขอร้องเถอะค่ะ กลับไปหาแม่หน่อยเถอะ แม่เขาป่วยหนักจนลุกจากเตียงไม่ไหวอยู่แล้วนะคะ!” หวังซูฉีจ้องมองใบหน้างดงามของพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองสายตาหวาดกลัว แต่ถึงแบบนั้นเธอก็จำเป็นต้องพูดในสิ่งที่คิดออกไปอยู่ดี
“อา....ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผู้หญิงคนนั้นจะไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก จนกว่าที่เธอจะได้รู้สึกถึงความทรมานในแบบที่ทำกับฉันในตอนนั้น เธอก็จะต้องอยู่ และทำหน้าที่หาเงินมาให้ฉันใช้ไปเรื่อยๆ ...” หวังเยว่ซินไม่มีความผูกพันอะไรกับหญิงสาวที่ให้กำเนิดเขามาเลยสักนิด
สำหรับเขา คำว่าครอบครัว ก็คือแหล่งผลิตเงินชั้นดีที่มีเอาไว้ให้เพื่อความสะดวกสบายของตัวเขาเอง จะทำลายทิ้งหรือว่าให้อยู่ต่อ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หวังเยว่ซินกำหนดได้ด้วยตัวเอง
จะไปปล่อยให้ป่วยตายไปง่ายๆ หรอกนะ อยู่รับบทลงโทษไปจนกว่าเขาจะพอใจเถอะ
“พี่... ทำไม.. ต้องทำกับครอบครัวเราขนาดนี้ด้วยค่ะ หยุดเถอะนะคะ!” หวังซูฉีน้ำตาคลอ ถ้าหากว่าเธอว่าเรื่องทุกอย่างจะออกมาเป็นแบบนี้ วันนั้น... เธอน่าจะห้ามพ่อกับแม่ไม่ให้ทำแบบนั้นกับพี่
“บอกให้ฉันงั้นเหรอ หึๆ รู้ไหมหวังซูฉี เสื้อผ้าทั้งหมดที่เธอใส่ อาหารดีๆ ที่เธอได้ ตำแหน่งทางสังคมที่ทุกคนเคารพ ทุกๆ อย่างที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นผลพลอยได้จากสิ่งที่กำลังครอบครัวกำลังทรมานอยู่” ต้องยอมรับว่าสีหน้าตกใจของผู้หญิงตรงหน้าสร้างความบันเทิงให้เขาไม่น้อย
“ ถ้าหากฉันหยุดทุกอย่าง ธุรกิจของครอบครัวก็จะล้มละลายในทันที รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ชีวิตดีๆ ของเธอจะพังทลาย เธอจะกลายเป็นคนเป็นไร้บ้านที่ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ สวม กลายเป็นเด็กสกปรกที่ต้องอ้าปากกินน้ำฝนประทังชีวิต ยังจะบอกให้ฉันหยุดอีกไหมล่ะ” รอยยิ้มเหยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม
“ขะ...ขอโทษที่มารบกวนค่ะพี่” หวังซูฉีพูดเสียงสั่น ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีกันอยู่ในหัวของเธอ หญิงสาวว่าพี่ชายนั้นไม่สามารถพูดโกหกได้ เพราะงั้นทุกสิ่งที่เขาพูดมาต้องเป็นความจริงอยู่แล้ว
ถ้าหากพี่หยุดสิ่งที่ทำ ครอบครัวเราจะต้องล้มละลายงั้นเหรอ... งั้น...ยังไงพ่อแม่และพี่ชายคนโตก็ทนมาตลอด... ทนต่อไปอีก... ก็คงไม่เป็นไรหรอก
ยังไงพี่ชายก็บอกแล้วว่าทุกคนจะไม่ตาย งั้น... รออีกหน่อยค่อยมาขอให้พี่หยุดก็ได้!ใช่แล้ว... คุณพ่อคุณแม่ก็คงไม่ได้อยากให้ครอบครัวเราล้มละลายจนไม่มีแม้แต่บ้านหรอก
ดวงตาคมคู่งามจ้องมองแผ่นหลังของน้องร่วมสายเลือดที่เดินออกไปด้วยสายนิ่งๆ
ไม่ได้เจอกันเกือบ 20 ปี สันดานเดิมไม่เปลี่ยนเลย...
................................
เดี๋ยวจะค่อยๆ เปิดเผยอดีตของคนสวยออกมาทีละนิดนะคะ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นพระเอกเหมือนเดิม
ปล.ยังไม่ตรวจคำผิดนะคะ
ความคิดเห็น