ถ่าย ทอด ศพ - ถ่าย ทอด ศพ นิยาย ถ่าย ทอด ศพ : Dek-D.com - Writer

    ถ่าย ทอด ศพ

    ทำไมญาโญต้องตาย และทำญาโญต้องรับผิดชอบ

    ผู้เข้าชมรวม

    222

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    222

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ค. 65 / 15:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ถ่าย ทอด ศพ
     

    “มาแล้วเหรอเวเกล ช้ากว่าฉันนะ” เสียงจากเงาทมิฬ สะท้อนภาพชายร่างใหญ่ ยืนหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง บนบ้านร้างเงียบสงัด พวกเขาคาดว่าที่นี่เป็นจุดอับสายตา

    “แล้วคุณจะปิดไฟทำไม...มาตอง เราไม่ได้เริ่มลงมือวันนี้สักหน่อย” เวเกลถามออกไป เธอคิดว่ากำลังอยู่ในห้องมืดเกินกว่าจะหายใจสะดวก

    ----------

    สองสัปดาห์ก่อน ชาวเมืองไลฟ์โทเปียดำเนินชีวิตบนเส้นทางแห่งความจริงอย่างสงบสุข ไลฟ์โทเปียก่อตั้งขึ้นโดยพลโทหญิงนาเดียร์มากว่าสามร้อยปี ตระกูลของพลโทหญิงนาเดียร์แตกแขนงลูกหลานสืบทอดการปกครองเมืองรุ่นต่อรุ่น เปิดรับประชากรใหม่จากเมืองอื่นอย่างต่อเนื่อง ชาวเมืองใจบริสุทธิ์คือวัตถุดิบหลักของไลฟ์โทเปีย ส่วนชาวเมืองใหม่มีความผิดติดตัว จิตวิญญาณเปรอะเปื้อนมลทิน ไลฟ์โทเปียจะเป็นดินแดนชำระล้างสิ่งสกปรกภายในจิตใจของพวกเขาเหล่านั้น และก้าวข้ามประตูเข้าสู่เมืองแห่งสุจริตธรรม

    ญาโญหยุดนิ่งหน้าประตูเมือง ใบหน้าสาวรุ่นดูอิดโรย ร่างกายของเธอมีเชื้อสายไลฟ์โทเปียเต็มเปี่ยม เธอซมซานข้ามเมืองอ้อมมาทางป่าต้องห้าม ภาพย่านการค้าใจกลางเมืองฉายบนแววตาของเธอ พ่อค้าแม่ขายต่างโหวกเหวกเรียกลูกค้า เธอเคยชินกับภาพตรงหน้า เพราะที่นี่คือบ้านเกิด

    ----------

    “ทำไมกลับมาในสภาพแบบนี้” ทริอาช ผู้ว่าฯ คนปัจจุบันของไลฟ์โทเปีย ถามน้องสาวของเขา หลังจากชาวเมืองเห็นเธอนอนหมดสติอยู่หน้าร้านขายเนื้อ

    “ฉันหิวมาก ฉันจำได้ว่าพยายามเดินมาที่บ้าน แล้ว...”

    “แล้วอะไร”

    “แล้วภาพก็มืดลง ฉันคงหิวมากจริง ๆ” ญาโญย้ำความหิวของเธออีกครั้ง

    “นี่ซุปฟักทอง กินเสร็จแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน” ทริอาชว่าจบยื่นถ้วยซุปให้เธอ

    ญาโญใช้เวลากินอาหารมื้อทดแทนส่วนของเมื่อวาน และวานซืนไม่เกินสิบห้านาที แล้วเดินออกมาหาพี่ชาย เขากำลังนั่งดูโทรทัศน์รอเธออยู่ในห้องรับแขก แต่ทุกคนในไลฟ์โทเปียรู้ว่าเธอไม่ใช่แขกของบ้านหลังนี้

    “ดีขึ้นบ้างไหม” คำถามสื่อความห่วงใยของคนในครอบครัว เปล่งออกมาจากปากผู้เป็นพี่

    “พอมีแรงบ้าง” ญาโญตอบออกไป “ฉันกำลังโดนพวกมันตามฆ่า” สีหน้าของเธอฉายแววกังวล

    “ดร.เรวา ใช่ไหม”

    “นี่พี่รู้เหรอ” ญาโญตกใจกับคำตอบคาดไม่ถึงของทริอาช

    “ใคร ๆ ก็ลือกัน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง”

    “ฉันถูกจับได้ ฉันได้ยินว่ามันจะซื้อตำแหน่งผู้ว่าฯ ของเกเรส เรื่องนี้เราต้องแจ้งท่านประธานาธิบดี” ญาโญหันกลับไปมองตาพี่ชาย เขานั่งอยู่บนโซฟา เธอยืนบังหน้าจอโทรทัศน์ทำให้องศาความสนใจในสายตาของทริอาชมีเพียงน้องสาวของเขาเท่านั้น

    “เธอก็เรียนจบแล้ว กลับมาอยู่ที่นี่เลย ไม่ต้องกลับไปให้พวกมันฆ่า” ทริอาชตอบปัดประเด็น

    “ฉันก็ว่าอย่างนั้น จบการปกครองมาน่าจะช่วยพี่ดูแลไลฟ์โทเปียได้”

    “ไม่ต้องมายุ่งกับการบริหารเมืองของฉัน” ทริอาชตะคอกกลับ

    “ฉันลืมไปว่าเมืองของเราไม่มีเลือกตั้งเหมือนเมืองอื่น ระบบสืบทอดทายาทคงมีเมืองเดียวบนโลก” ญาโญประชด

    “ย่าทวดของเราเป็นคนก่อตั้งเมืองนี้ และระบบนี้ก็ทำให้ตระกูลเรามีอำนาจ”

    “พี่ยังมีนิสัยเหมือนเดิมเลยนะ”

    “ฉันไม่มีทางเปลี่ยนไป ถ้าฉันยังอยู่ในตำแหน่งนี้”

    “ประชากรของเมืองเราเท่าเดิมไหม” ญาโญเบี่ยงประเด็น ถ้าคุยเรื่องนี้ต่อไปอาจทำให้พี่ชายหัวเสีย

    “หากไม่นับพวกลักลอบเข้าทางป่าต้องห้าม ก็คงเท่าเดิม” ทริอาชตอบเสียงนิ่งพลางหยิบซิการ์บนโต๊ะไม้ข้างโซฟามาสูบ

    “แล้วที่นั่นระบบใช้ได้ปกติไหม” ญาโญถามต่อ

    “ถ้าเธออยากรู้ ฉันจะพาไปดู” ทริอาชลุกขึ้น เดินนำญาโญลงไปห้องใต้ดิน

    ในห้องเต็มไปด้วยหน้าจอแสดงผลการถ่ายทอดสดอิริยาบถของชาวเมือง และการดำเนินไปของทุกสรรพสิ่งในไลฟ์โทเปียนับแสนช่อง

    ช่วงแรกของการประกาศกฎหมายใหม่ร่างโดยพลโทหญิงนาเดียร์ความว่า บ้านทุกหลังในเมืองต้องถูกติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อถ่ายทอดสดความเป็นอยู่ ควบคุมการกระทำ และจับตามองการทุจริต มันอาจเกิดขึ้นในบ้านเรือน และจุดลับสายตาคน ประชาชนจำนวนมากต่อต้านพลโทหญิงนาเดียร์ การลุกล้ำความเป็นส่วนตัว และละเมิดสิทธิส่วนบุคคลคือเหตุผลหลัก แต่อำนาจของผู้ก่อตั้งเมือง ทำให้ชาวเมืองส่วนใหญ่ในไลฟ์โทเปียต้องยอมรับกฎหมายใหม่อย่างจำนน พวกต่อต้านต่างพากันเดินทางไปเมืองแห่งใหม่ ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อไปหาเมืองแห่งเสรีภาพและความเป็นส่วนตัว

    ภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองกำลังแสดงผ่านช่องโทรทัศน์ประจำเมือง ทุกคนในเมืองมีสิทธิรับชมด้วยรหัสผ่านตามเลขประจำตัวประชาชน จะเข้าชมเวลาใด ที่ใดก็ได้ในไลฟ์โทเปีย บางช่องฉายภาพครอบครัวผมทอง ตาสีฟ้านั่งกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องครัว ห้องอื่นในบ้านหลังนั้นเงียบและดูปกติ บางช่องฉายภาพห้องนอน บนเตียงนอนสีขาวหลังโตมีสามีภรรยากำลังแสดงความรักแสนอบอุ่นผ่านร่างกาย บางช่องฉายภาพชายแก่ ผมหงอก หัวล้านกำลังอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ตัวละครในช่องต่าง ๆ คือชาวเมืองของไลฟ์โทเปีย ทุกคนไม่มีความเขินอาย ดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณมนุษย์ และแน่นอนว่าเหตุการณ์ผิดศีลธรรมไม่เคยถูกถ่ายทอดให้เห็น ตรงตามจุดประสงค์ผู้สร้างเมืองไว้เป็นอย่างดี ทุกคนคือผู้กระทำ และทุกคนคือผู้ตรวจตราทุกคนในเมืองแห่งนี้ การติดกล้องวงจรปิดคือความลับเฉพาะของคนในไลฟ์โทเปีย และสิทธิสั่งการลงโทษเป็นของผู้ว่าฯ คนเดียวเท่านั้น

    ----------

    “ที่รัก ผมได้ข่าวมาแล้ว” มาตองพูดหลังเปิดประตูเข้ามา เขาเดินตรงดิ่งไปหาภรรยา

    “มันอยู่ที่ไหน” เวเกลถามกลับ ตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มีโต๊ะไม้กั้นกลาง บนโต๊ะมีแจกันไร้ช่อดอกไม้แต่เต็มไปด้วยหยากไย่วางอยู่ บนเพดานมีหลอดไฟทรงกลมคอยมอบแสงสลัวสีนวลยามค่ำคืนให้ทั้งสองชีวิตได้สักระยะ

    “มันอยู่บ้านผู้ว่าฯ”

    “งั้นลงมือเลย แผนของเราคือคุณต้องไปจีบเด็กนั่น และพามันมาที่นี่”

    สีหน้ามาตองเริ่มเปลี่ยนเมื่อได้ยินแผนการของภรรยา “ทำไมฉันต้องแกล้งรักมันล่ะ”

    “เพราะว่าความรักหลอกลวงได้ง่ายที่สุด”

    “ผมไม่มั่นใจสักเท่าไหร่...ว่าผมจะทำมันสำเร็จ” หลังจบประโยค เวเกลหรี่ตามองสามีของเธอ จากนั้นค่อย ๆ ลุกออกจากเก้าอี้ ก้าวเดินอย่างแผ่วเบา และนั่งลงบนตักของมาตอง

    “ฉันเชื่อว่าคุณทำได้” เวเกลกระซิบข้างหูของเขา กดจมูกลงคลอเคลีย ไล่มายังแก้มนุ่ม ประกบริมฝีปากเข้ากับปากของสามี ทั้งสองใช้ปากบดขยี้แลกความหวานกันไปมาก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นจนสุขสม

    ----------

    หลังจากเริ่มแผนการ...ทุกเช้ามาตองจะมุ่งหน้าไปหาญาโญ ใช้เสน่ห์และความหล่อเหลากระชากให้หญิงสาววัยยี่สิบห้าปีตกหลุมพรางแห่งความรัก

    “คุณมาหาฉันทุกวัน คุณคิดอะไรกับฉันใช่ไหม” ญาโญถามขึ้น ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในร้านกาแฟดังของเมือง ภายในร้านตกแต่งด้วยบรรยากาศของไลฟ์โทเปียดั้งเดิม

    “ผมไม่มาหาคนที่ผมไม่ได้ชอบทุกวันหรอก” เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มปลอม ๆ ของผู้ชายแต่งงานแล้ว

    “คุณรู้จักฉันจากที่ไหน” เธอถามออกไปท่ามกลางความเขินอาย สายตาของเธอพยายามหลบแววตาฉ่ำวาวของชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า

    “ผมเจอคุณที่ร้านขายเนื้อ ตอนนั้นคุณหมดสติอยู่บนถนน”

    “แสดงว่าคุณพาฉันกลับบ้าน” เธอช้อนนัยน์ตาใสกริบขึ้นมองมาตอง

    “ผมหาบ้านคุณอยู่นานเลยล่ะ กว่าจะพาคุณไปส่งให้ผู้ว่าฯ เอ่อ...พี่ชายของคุณได้”

    “ฉันอยากไปบ้านของคุณบ้าง”

    “ได้สิ วันเสาร์นี้คุณว่างไหม ผมจะพาไป” หนุ่มสาวชักชวนกันไม่นาน หลังจากนัดหมายลงตัวก็แยกย้ายกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง

    ----------

    “วันเสาร์นี้คุณเตรียมตัวให้พร้อม” มาตองพูดขึ้น หลังจากเดินเข้ามาในบ้านร้าง

    “คุณคะ งานนี้เป็นงานสุดท้ายของเราได้ไหม”

    “ผมก็คิดเหมือนคุณ จบงานนี้แล้วเราไปอยู่ยุโรปด้วยกันนะครับ” มาตองเดินเข้าไปโอบกอดภรรยาจากด้านหลัง

    “คุณได้ค่าจ้างมาครึ่งหนึ่งแล้วใช่ไหม”

    “ใช่ แต่ยังไม่มากพอสำหรับเราสองคน ทำสำเร็จถึงจะเหลือใช้” มาตองตอบกลับ

    ----------

    เช้าวันเสาร์ญาโญกำลังทาปากด้วยลิปสติกสีชมพูนู้ดหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน เธอสวมชุดสีชมพูหวานวาดด้วยลวดลายไลฟ์โทเปียพื้นเมือง ผ้าชนิดนี้ทอด้วยลวดลายภูมิปัญญาของชาวเมืองสืบทอดต่อกันมา เธอเดินออกมาที่ห้องรับแขกเตรียมตัวไปเจอมาตองตามนัด

    “จะไปไหนแต่เช้าวันหยุด” ทริอาชเดินถือแก้วกาแฟออกมาจากห้องครัว

    “ไปร้านกาแฟ” ญาโญตอบกลับพี่ชายของเธอ

    “กาแฟที่บ้านก็มี” ทริอาชว่าเสียงนิ่ง

    “ฉันนัดเพื่อนไว้ที่นั่น” พูดจบ เธอรีบเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมาย

    ----------

    “ขอโทษค่ะ คุณรอนานไหม ฉันคุยกับพี่ชายนานไปหน่อย” ญาโญวิ่งเข้ามาทักทายมาตอง เมื่อเธอถึงร้านกาแฟประจำเมือง หญิงสาวหอบกระเส่าจากความเหนื่อย หน้าใสมีหยาดเหงื่อเปื้อนเล็กน้อย

    “ไม่ครับ ผมพึ่งถึงเหมือนกัน” มาตองตอบกลับ “เราไปกันเลยไหม”

    “ค่ะ” เธอขานรับเสียงแผ่วเบา “ว่าแต่คุณอยู่บ้านกับใคร”

    “ผมอยู่คนเดียว” เขาว่าแล้วเดินนำเธอไปยังบ้านร้างท้ายเมือง

    “ทำไมฉันไม่เคยเห็นบ้านหลังนี้เลย”

    “คุณเป็นถึงลื่อของผู้ก่อตั้งเมือง จะไม่รู้จักที่นี่จริงเหรอ” มาตองพูด

    “คุณรู้จักฉันขนาดนี้ได้อย่างไร”

    “เดาไม่ยากหรอก” เวเกลเปิดประตูออกมาจากบ้านร้าง ในมือถือมีดสั้นด้ามสีเงิน “อย่าขัดขืนและเดินตามฉันเข้ามา” เวเกลว่าต่อ มาตองเข้าจับแขนทั้งสองข้างของญาโญรวบไว้กลางแผ่นหลัง แรงของสาวร่างบางมิอาจสู้กำลังของหนุ่มล่ำสันได้

    โทรทัศน์ทุกเครื่องในไลฟ์โทเปียถ่ายทอดภาพเหตุการณ์ในบ้านร้าง ถึงแม้ว่าช่องของบ้านหลังนี้จะไม่ได้รับความสนใจ เพราะขึ้นชื่อว่าร้าง หลายคนคิดว่าคงไม่มีใครในไลฟ์โทเปียเข้าไปกระทำผิดแน่นอน ทุกคนรู้ว่าแม้จะเป็นบ้านร้างแต่กล้องในบ้านหลังนั้นไม่เคยร้างตามไปด้วย ชาวเมืองหลายคนกำลังดูเหตุการณ์โหดร้าย บางคนบังเอิญเลื่อนเจอ บางคนชักชวนเพื่อนดูเป็นทอด ๆ เสียงฮือฮากึกก้องไปทั่วไลฟ์โทเปีย หลายคนต่างภาวนาให้ทริอาชเห็นเหตุการณ์ และสั่งพวกตำรวจเฉพาะกิจเข้าไปช่วยเหลือน้องสาวของเขาให้ทันท่วงที …เขาออกคำสั่งได้คนเดียวในเมืองนี้

    “พวกแกเป็นใคร” คำถามแรกของญาโญ เธอถูกผลักให้นั่งลงบนพื้นไม้ฝุ่นเขลอะ แขนและขาของเธอถูกมัดไว้แน่นด้วยเชือกป่านสีน้ำตาลเข้ม

    “เธอคงจำได้ว่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เธอไปรู้เรื่องอะไรมา” เวเกลพูดและเดินวนรอบตัวญาโญ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นไม้เก่าดังเป็นจังหวะ

    “ดร.เรวา ส่งพวกแกมาใช่ไหม”

    “ฉันว่าแกไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครส่งพวกเรามา” มาตองตอบกลับ เขาเดินไปโอบเอวของเวเกล

    “ใช่แล้วค่ะที่รัก แกนี่มันยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

    “ขนาดเสียงของคนเลือกดร.เรวายังปลอม แล้วนับภาษาอะไรกับการบริหารเมืองมันจะไม่ปลอม” ญาโญตะคอกใส่หน้าสองสามีภรรยา

    “มันจะปลอมหรือไม่ปลอมสุดท้ายทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ ดร.เรวาได้เป็นผู้ว่าฯ คนในเกเรสได้เงิน ทุกอย่างกำลังไปได้สวยถ้าแกจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกประธานาธิบดี” เวเกลพูดแล้วเอื้อมมือไปกระชากผมของเธอ

    ญาโญสะบัดออก เธอก้มหน้าลง “เมืองเกเรสพังแน่” เสียงสั่นเครือพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

    “เลิกต่อปากต่อคำสักที” มาตองเดินไปคว้ามืดแหลมจากมือเวเกล เขาวิ่งเข้าไปหาญาโญใช้หัวเข่าดันแผ่นหลังของเธอ มือขาวช้อนคางหญิงสาวให้หน้าแหงนขึ้น

    “ถึงความลับของดร.เรวาจะตายไปพร้อมกับฉัน แต่ทุกคนในเกเรสรู้ดีว่าเขาเป็นผู้ว่าฯ ได้อย่าง..อึก” ไม่ทันจบเสียงพูดของญาโญ มีดแหลมเงาวับก็ปาดลงบนคอขาว เส้นเลือดใหญ่ฉีกขาด เลือดไหลอาบทั่วร่างกาย เธอหงายหลังนอนลงบนพื้น ปากอ้ากว้างแต่ไม่มีเสียงหอบหายใจ เปลือกตาค้างไม่ยอมปิดลง

    ภาพศพของญาโญกำลังถ่ายทอดทั่วไลฟ์โทเปีย เสียงกรีดร้องจากผู้หวาดกลัว เสียงร้องระงมสื่อความสงสารดังประสานขึ้นชั่วขณะ เหมือนหนังสยองขวัญภาคดึกของเมืองอื่น แต่ไลฟ์โทเปียไม่เคยมีรายการโทรทัศน์ ชาวเมืองดูการถ่ายทอดสดของคนในเมืองเป็นสื่อบันเทิงใจ เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น พวกเขาเคยเห็นคนตายที่โรงพยาบาล และตายในบ้าน ถึงจะทุกข์ทรมานแต่ทุกการตายเกิดจากตัวผู้ตาย ไลฟ์โทเปียไม่เคยมีคนถูกฆ่าตาย คำอธิษฐานไม่สมหวัง ทริอาชไม่ได้สั่งการให้ตำรวจเข้าระงับเหตุการณ์ ชาวเมืองคิดว่าทริอาชคงไม่ได้ดูช่องนี้

    “มันตายแล้วครับนาย” มาตองพูดผ่านโทรศัพท์มือถือของเขา

    (ฉันเห็นแล้วล่ะ ฉันกำลังจะบอกดร.เรวาว่ากำจัดได้แล้ว)

    “ให้ผมจัดการศพมันอย่างไรดีครับ”

    (ปล่อยไว้ในบ้านร้างนั่นล่ะ และพวกคุณก็กลับเกเรสไปได้แล้ว คนในไลฟ์โทเปียจะไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้)

    มาตองคุยโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งและกดวางสาย

    “ที่รัก คุณทริอาชโอนเงินก้อนที่เหลือให้เราแล้วนะ” เขาเดินไปจับมือภรรยา พร้อมรอยยิ้มปริ่มสุข

    “เรากลับเกเรสไปเก็บของ และย้ายไปอยู่ยุโรปกันใช่ไหมคะ”

    “แน่นอนครับ เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กัน”
     

     

    เขียน 14 พฤษภาคม 2565

    เผยแพร่ 12 กรกฎาคม 2565

    Twitter : @Mybollod

    Faceboook : Bollod

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×