ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัฐบุรุษของโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนจบ

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 50


    ที่เมืองมิวนิค  เวลานั้นปรากฏว่ามีนักการเมืองรวมกลุ่มขึ้นเป็นกลุ่มๆไม่น้อยกว่า 12 กลุ่ม  แต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นไปแต่ละอย่าง  แต่ก็มีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งมีความคิดเห็นในการต่อต้านรัฐบาลนั้นอย่างรุนแรง  ทั้งๆที่กลุ่มนี้มีสมาชิกอยู่เพียงไม่กี่คน  ซึ่งรวมตัว อดอล์ฟ  ฮิตเลอร์ ที่มาสมัครเป็นคนสุดท้ายด้วยแล้ว ก็มีอยู่เพียง 7 คนเท่านั้น สมาชิกทั้ง 7 คนของกลุ่มนี้จะนัดพบประชุมกันในร้ายขายเหล้า  ในเขตที่พักคนงานเป็นประจำ  เพราะเหตุที่แต่ละคนล้วนแต่เป็นกรรมกรทั้งนั้น ยกเว้น ฮิตเลอร์คนเดียวเพราะก่อนที่ฮิตเลอร์จะเข้ามาร่วมกับพรรค์นี้  เขาเองเป็นผู้ที่กองทัพฝ่ายปกครองและปราบปรามพวกคิดร้าย  เป็นผู้ส่งเขาเข้ามาสอดแนมความเคลื่อนไหวของพวกเหล่านี้  แต่แล้วเขาเองกลับมานิยมชมชอบในแนวความคิดของกลุ่มกรรมกรแห่งเยอรมนี(Geaman Labour Party)นี้เข้าอย่างบอกไม่ถูก

          เมื่อเข้ามาอยู่ในกลุ่มกรรมกรแห่งเยอรมนี  ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้แล้ว  ฮิตเลอร์เองกลับกลายเป็นคนสำคัญของกลุ่มไป  จนถึงกับลาออกจากอาชีพทหาร  มาดำเนินการเป็นหัวหน้ากลุ่มเสียเอง  โดยเหตุที่ว่า  เมื่อเขาออกโรงแสดงปาฐกถาชักจูงให้คนฟังเกิดเลื่อมใสเข้ามาสมัครร่วมอยู่ในกลุ่มของเขามากขึ้นทุกที  ซึ่งแท้จริงแล้ว ฮิตเลอร์ไม่ใช่นักปาฐกถามาก่อนด้วยซ้ำ  แต่เห็นจะเป็นด้วยบุคลิกลักษณะ  และท่าทางในการพูดของเขาเข้มแข็งเด็ดขาดแบบทหาร  เขาจึงทำให้ผู้ฟังส่วนมากพากันเลื่อมใส  และพากันมาสมัคนเป็นสมาชิกพรรคกันมากทุกที   ฮิตเลอร์ประสงค์จะใช้ชื่อของพรรค์   มีความหมายครอบคลุมไปในชนทุกชั้น  ไม่เฉพาะแต่กรรมกรอย่างเดียว    ในขณะนั้นเยอรมนีกำลังอยู่ในความไม่สงบ  เหตุด้วยการเงินตกต่ำลงมาก  รัฐบาลเองก็อยู่ในฐานะที่ต้องขอยืมเงินจากประชาชนแล้วออกพันธบัตรทดแทน  ซึ่งยังไม่แน่ว่า  พันธบัตรนั้นจะเป็นที่เชื่อถือได้หรือไม่  เหตุนี้ ประชาชนจึงเกิดความเสื่อมนิยมรัฐบาลลงทันที  แม้รัฐบาลเยอรมนีจะได้ขอกู้เงินจากธนาคารของอเมริกามาช่วยกู้สถานการณ์  และพัฒนาประเทศ แต่ก็ไม่เพียงพอ  ทั้งปรากฏว่า  คนใหญ่คนโตในวงการราชการบางคนมีการกอบโกย  และโกงกินเงินของประชาชนอยู่ด้วย ความเกลียดชังในรัฐบาลชุดนี้ของประชาชน จึงเกิดขึ้นทุกที

        แต่ฮิตเลอร์ก็ยังไม่มีโอกาส  จะหาทางปฏิวัติคณะรัฐบาลนี้ได้  จนกระทั่งภายหลังเขาได้รับการทาบทามจากนายทุนผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง  ให้เขาหาทางทำลายสหพันธ์กรรมกรซึ่งมีส่วนร่วมจัดตั้งขึ้นนี้ได้  เขาจะได้รับตำแหน่งในวงการราชการโดยการสนับสนุนของเขา  ฮิตเลอร์ตกลงยอมรับ  ทั้งที่รู้ว่าเป็นวิธีการขัดกับหลักการของเขา  แต่ก็ยอมทำ  เพราะหวังจะเข้าไปมีอำนาจในวงการราชการ  ในที่สุดฮิตเลอร์ก็เข้าไปมีอำนาจในวงการราชการ  ร่วมกับคณะรัฐบาลชุดเดียวกันนี้  ฮิตเลอร์เริ่มมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ  จนกระทั่งปี ค.ศ. 1933  ประธานาธิบดีไฮเดนเบอร์กของเยอรมนี ในขณะนั้นแต่งตั้งให้เขาเป็น  นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี  ฮิตเลอร์ทรยศต่อพรรคกรรมกรของเขาเอง   เพียงเพื่อจะแสวงหาทางของความเป็นใหญ่ให้แก่ตนเอง  แล้วก็ได้ดังใจคิดสมหวัง  แต่ฮิตเลอร์ก็ฉลาดพอดู  เขายังคงรักษาความเป็นพรรคนาซีของเขาไว้อยู่เรื่อยๆ  เขาทำให้พรรคนาซีของเขาอยู่ได้โดยไม่ต้องแตกฉานกันไป  เพราะเขาหวังว่าจะให้พรรคนาซีของเขาได้เข้ามามีบทบาท   และเสียงสนับสนุนเขาในโอกาสเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาคราวต่อไป  ขณะเดียวกัน เขาก็วางแผนทำลายพรรคคอมมิวนิสต์ให้ย่อยยับลง  โดยวิธีป้อนความผิดให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์  และหาทางจับกุมพวกคอมมิวนิสต์ในเยอรทนีมาขังไว้ในคุกร่วมพันคน  ฮิตเลอร์ดำเนินแผนการของตนเองต่อไปอยู่เรื่อยๆ  พอถึงเดือนสิงหาคมในปี ค.ศ. 1934 จอมพลไฮเดนเบอร์กประธานาธิบดีถึงแก่กรรมลง  ฮิตเลอร์ก็รวบเอาตำแหน่งประธานาธิบดีเข้ามาเป็นตำแหน่งของตน  รวมทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศอีกด้วย    เพราะฮิตเลอร์ไม่ยอมให้มีตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศอีกต่อไป  และตำแหน่งที่ตนครองอยู่นี้ ก็เปลี่ยนเรียกเสียใหม่ว่า  เดอร์ ฟูเรอห์ (Der Fuhrer) ซึ่งมีความหมายว่า ผู้นำของประเทศ

         คราวนี้เอง ที่ฮิตเลอร์ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่อย่างเต็มที่  ฮิตเลอร์ทำให้คนทั้งประเทศต้องตกอยู่ในอำนาจของตนแบบว่า ท่านผู้นำจะไปทางไหน  เราจะตามไปด้วยใครจะคิดว่า  อดีตสิบโทกองทัพบก  ลูกชายช่างเย็บรองเท้า  และมีเชื้อชาติชาวออสเตรีย  จะได้กลายเป็นจอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่แห่งเยอรมนีในศตวรรษที่ 19  แผนการครองอำนาจยิ่งใหญ่ของฮิตเลอร์คือ การกวาดล้าง  พวกที่คิดเป็นปรปักษ์ต่อตน  ฮิตเลอร์สั่งยุบพรรคการเมืองทุกพรรคหมดสิ้น  หาทางบีบให้สหพันธ์กรรมกรสลายตัวไป แล้วยึดเงินสหพันธ์มาไว้ทั้งหมด  สั่งเพิ่มเวลาทำงานให้มากชั่วโมงขึ้น  สำหรับกรรมกร แต่ไม่มีการเพิ่มแรงงานขึ้น  สั่งปิดหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายค้านทุกฉบับ  การสถานีวิทยุทุกแห่ง คงให้แต่ของรัฐฝ่ายเดียว  

        ในยุคที่ฮิตเลอร์สำแดงอำนาจนี้เอง  ที่ปรากฏว่า นักเขียน นักหนังสือพิมพ์  ศิลปิน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่ความคิดเห็นขัดแย้ง และไม่สามารถจะคล้อยตามในนโยบายของฮิตเลอร์ได้ก็พากันลี้ภัยออกนอกประเทศ  พวกที่หนีไปไม่รอด และถูกฮิตเลอร์สงสัยว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้าม  ก็สั่งจับไปคุมขังไม่ก็ประหารชีวิตเสียจำนวนมากมาย  นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่หรือคนสำคัญในกระบวนการนักเรียนหรือนักการเมืองที่เป็นพวกยิว  หรือพรรคสังคมนิยม  พรรคคอมมิวนิสต์ ต้องถูกจับไปขังไว้ในค่ายกักกันอย่างทรมานถึงขนาดเป็นบ้าสติฟั่นเฟือน  หรือไม่ก็ป่วยเจ็บตายนับจำนวนเป็นแสนกว่าคนก็ว่าได้  ฮิตเลอร์ทำการครั้งนี้อย่างที่เรียกว่าประสงค์จะตัดไฟแต่ต้นลมต่างๆ ที่ฮิตเลอร์เกรงว่าจะเป็นภัยแก่ตัว  และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจอันเหี้ยมโหดของเขา  บุคคลแต่ละบุคคลที่ทำงานอยู่ภายใต้อาณัติของเขา จึงต้องมีใจหฤโหดตามไปด้วย แม้แต่เพื่อนสนิทซึ่งเป็นพรรคนาซีด้วยกันกับฮิตเลอร์มาก่อน  ถ้าเพียงแต่สงสัยว่าจะคิดไม่ซื่อ  ฮิตเลอร์ก็สั่งประหารหรือฆ่าเสียจนนับไม่ถ้วน

           ครั้งหนึ่ง นายพลไลเซอร์  อดีตนายทหารที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา  และเป็นนายพลทหารเยอรมันที่ทุกคนเคารพรักกันมาก  แม้เมื่อปลดเกษียณอายุเพราะชราแล้ว แต่ฮิตเลอร์ก็ยังสั่งให้ทหารไปฆ่าเสีย ทั้งนายพลและภรรยาถึงบ้าน ด้วยเพียงสงสัยว่านายพลจะปฏิวัติ 

          ในปี ค.ศ.  1937 ฮิตเลอร์ก็ได้ทำความสัมพันธ์กับมุสโสลินี  ผู้นำของอิตาลี ซึ่งในขณะนั้น  มุสโสลินีกำลังก่อตั้งพรรคฟาสซิสม์ขึ้น  ฮิตเลอร์ยังได้ส่งกองทหารเยอรมัน ไปช่วยพวกฟาสซิสม์ในสเปน  ทำสงครามกลางเมืองจนได้รับชัยชนะอีกด้วย  ฮิตเลอร์ทำงานครั้งนี้ ได้ล่วงล้ำไปถึงการกดขี่พวกฟาสซิสม์ไปด้วย  โดยไม่เฉลียวใจว่า พวกฟาสซิสม์ยังเป็นพวกที่เคร่งศาสนาอยู่  แต่ฮิตเลอร์เป็นบุคคลที่ไม่เคารพศาสนา  กลับใช้โบสถ์เป็นที่ฝึกยุทธวิธีในการรบแก่เยาวชน   ซึ่งทำให้พวกฟาสซิสม์ส่วนใหญ่ไม่สู้จะพอใจนัก  แต่อาศัยที่ผู้นำประเทศต่อผู้นำยังเป็นมิตรกันอยู่พวกฟาสซิสม์จึงไม่กล้าขัดคำสั่งของฮิตเลอร์

       ต่อมา  ประเทศออสเตรียได้ส่งสารมาขอเป็นพันธมิตรด้วย  โดยประสงค์จะไม่ให้ฮิตเลอร์รุกราน  ฮิตเลอร์ยินยอมลงนามในสารฉบับนั้น  แต่อีกหนึ่งเดือนต่อมา ฮิตเลอร์ก็ส่งกองทัพเข้าไปบุกยึดเอาประเทศออสเตรีย  เข้ามาเป็นเมืองขึ้นของตนเองอีกอย่างง่ายดาย

       กองกำลังที่ฮิตเลอร์สะสมในเวลานั้น  อาจจะเรียกได้ว่า  เป็นกองทัพมหึมากองหนึ่งก็ว่าได้  เพราะฮิตเลอร์มุ่งหน้าแต่จะสร้างกำลังแก่กองทหารของเยอรมนีเต็มที่  รายได้ของรัฐแทบทุกหน่วย ต้องตกมาเป็นเครื่องบำรุงกองทัพ  ฮิตเลอร์สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ขึ้นเป็นการใหญ่  จนกระทั่งข่าวการสร้างกำลังทางรบของฮิตเลอร์  แว่วไปยังประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส  ประเทศทั้งสองจึงมีสาส์นเตือนมายังฮิตเลอร์  เป็นเชิงเตือนวิงวอนมิให้ฮิตเลอร์ก่อสงครามโลกหรืบุกรุกประเทศที่เล็กกว่า เช่นอย่างประเทศเชโกสโลวักเกียซึ่งเป็นประเทศเล็กๆในเวลานั้น  ต้องคอยหวาดผวา เพราะข่าวเรื่องฮิตเลอร์บุกประเทศออสเตรียมาแล้ว  ทางเชโกสโลวักเกีย  จึงขอร้องให้อังกฤษกับฝรั่งเศสช่วยไปเจรจากับฮิตเลอร์  เป็นเชิงป้องกันไว้ก่อน  หรือเป็นทำนองขอร้องให้อังกฤษกับฝรั่งเศสช่วยคุ้มครองให้ด้วย

        ได้มีการเจรจากันที่เมืองมิวนิค โดยประเทศทั้ง 3 คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ เชโลสโลวักเกีย ได้ส่งผู้นำทั้ง 3 ไป เจรจากับฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์กับขอให้เชโกสโลวักเกียแบ่งดินแดนตอนเหนือของเชโกสโลวักเกียให้กับเขา โดยอ้างว่าดินแดนตอนนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมันส่วนมาก  เขาต้องการจะรวมเยอรมันให้เป็นแผ่นดินเดียวกัน  ซึ่งถ้าหากเชโกสโลวักเกียยอมยกให้  ฮิตเลอร์จะไม่ใช้อำนาจทางทหารเข้าไปยึด  ข้อต่อรองนี้เชโกสโลวักเกีย ต้องยอมยกให้ฮิตเลอร์โดยดี ทั้งนี้เพื่อหวังจะหลีกเลี่ยงสงคราม  และการรุกรานของฮิตเลอร์นั่นเอง ใครจะคาดคิดว่า แม้ฮิตเลอร์จะได้ดินแดนตอนเหนือที่ตนต้องการแล้วก็ตาม ฮิตเลอร์ก็ยังอยากได้ประเทศเชโกสโลวักเกียทั้งประเทศ  มาไว้ในครอบครองเองอีกด้วย  เพราะต่อมาฮิตเลอร์ก็กรีฑาทัพบุกเข้ายึดเชโกสโลวักเกียมาไว้ในกำมือของตนอีกทั้งประเทศ  ฮิตเลอร์ทำการอุกอาจเป็นครั้งที่ 2  ภายหลังจากที่ยึดออสเตรียมาแล้วหยกๆ ยังมาเล่นเอาเชโกสโลวักเกียไปอีก ทำให้ประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น ได้แต่มองการกระทำของฮิตเลอร์อย่างงุนงง   ส่วนประเทศที่ไม่ทันคิดว่าเยอรมนีจะทำการอุกอาจถึงขนาดนี้  ก็พากันร้อนตัว  ถึงกับเร่งลงมือสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์และกองกำลังกันอย่างเร่งรีบ   เพื่อเตรียมไว้รับมือฮิตเลอร์  เพราะไม่แน่ว่าประเทศตนจะถูกฮิตเลอร์บุกเข้ามาเมื่อไร   การก็เป็นไปดังที่คาดหมายเมื่อ ต่อมา ฮิตเลอร์ก็บุกเข้ายึดเอาโปแลนด์เสียอีกประเทศหนึ่ง   เล่ากันว่า  ก่อนจะยึดโปแลนด์  ฮิตเลอร์ยังมีสารไปหยั่งเชิงรัสเซียเสียด้วยว่า  เขาจะยึดโปแลนด์  ถ้าหากมีการต่อสู้กันขึ้นก็ขออย่าให้รัสเซียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยนะ  รัสเซียตอบตกลง  ฮิตเลอร์ก็บุกเข้ายึดโปแลนด์ทันที  ฮิตเลอร์ทำการบุกโปแลนด์ครั้งนี้  ด้วยแผนการที่เขาประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า พวกเยอรมันของเขาที่อาศัยอยู่ในโปแลนด์ถูกกดขี่บังคับมาก  เขาจึงต้องเข้าทำการยึดเพื่อปกครองแทนเสียเอง  คราวนี้ฮิตเลอร์ใจดีต่อรัสเซียโดยขนาดแบ่งเนื้อที่ของโปแลนด์ให้รัสเซียครึ่งหนึ่ง  ฐานที่รัสเซียไม่เข้ายุ่งด้วยตามสัญญา

        ในขณะนี้ ฮิตเลอร์มีกำลังเป็นปึกแผ่นหนาแน่นเพิ่มขึ้น  และยิ่งจะคึกคะนองใจเมื่อสามารถตียึดประเทศดังกล่าวมาได้อย่างง่ายดาย  ฮิตเลอร์จึงเริ่มวางแผนที่จะยึดประเทศต่อไป และประเทศที่ฮิตเลอร์หมายตาไว้คือ เดนมาร์ก และ นอร์เวย์ พอข่าวการเคลื่อนไหวของฮิตเลอร์เริ่มขึ้น อังกฤษกับฝรั่งเศสก็นิ่งดูดายไม่ไหว สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเริ่มประทุขึ้น ใน ค.ศ. 1938 นี้เอง อังกฤษยกกองทัพเรือเข้าสกัดการรุกของเยอรมัน  และฝรั่งเศสก็เคลื่อนกองทัพเข้าประชิดพรมแดน  ด้านติดกับเยอรมนีพร้อมกัน  แต่ฮิตเลอร์มีแผนการณ์ที่เตรียมไว้รับและรุกอยู่แล้วไว้ดีกว่า  และกำลังสำคัญของฮิตเลอร์ในขณะนั้นก็ได้แก่ เรือดำน้ำ และเครื่องบินซึ่งฮิตเลอร์ได้ซุ่มสร้างไว้อย่างเต็มที่  ทัพเรืออังกฤษจึงตกเป็นฝ่ายปราชัยเสียหายอย่างหนัก  ทางด้านฝรั่งเศส ซึ่งยกพลไปประชิดทางบกด้านพรมแดนนั้น  กลับเสียท่าให้ฮิตเลอร์ยกกองทัพผ่านฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยม เข้ายึดฝรั่งเศสได้  ในที่สุดฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายแพ้สงคราม

               ขณะที่ฮิตเลอร์ออกสงครามนั้น  ฮิตเลอร์มีแผนการที่จะบุกรัสเซียอยู่ด้วยเหมือนกัน  ส่วนอังกฤษนั้น  ถึงหากจะยังตีไม่สำเร็จ  และอยู่ในระหว่างสงคราม ฮิตเลอร์ก็ตัดสินใจบุกรัสเซีย  ซึ่งนับว่าเป็นแผนการที่ฮิตเลอร์วางผิดพลาดก็ได้  เพราะในปี ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นซึ่งพลอยออกโลดแล่นเข้ามาสู่สงคราม  โดยเข้าเป็นฝ่านร่วมรบกับเยอมันนั้น ชะล่าใจและคิดจะตัดกำลังทางด้านสหรัฐอเมริกาที่อาจจะออกมาช่วยอังกฤษกับฝรั่งเศส  ญี่ปุ่นจึงส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดทำลายฐานทัพที่  อ่าว เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ของสหรัฐ ฯ ให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก  เป็นเหตุให้อเมริกาตั้งตนเป็นกลางอยู่ไม่ได้  ต้องตัดสินใจเข้าร่วมอังกฤษต่อต้านเยอรมนีกับญี่ปุ่น  และสงครามโลกครั้งนี้เอง ที่ดวงชะตาได้กำหนดเส้นตายไว้ให้แก้ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการของเยอรมันผู้โหดเหี้ยมต้องดับลง

          เยอรมนีกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รู้กันว่าแพ้สงครามอย่างสิ้นเชิง  ส่วนฮิตเลอร์นั้น ตามกระแสะข่าวกล่าวว่า เขาได้ยิงตัวตายเสียก่อนจะถูกจับกุม  และบางกระแสะก็ว่า เขาถูกขว้างใส่ด้วยระเบิดในที่ประชุมที่กรุงเบอร์ลิน แต่ฮิตเลอร์จะสูญไปจากโลกนี้จริงหรือไม่  จนบัดนี้ ยังไม่มีผู้ใดได้พบศพหรือซากร่างของเขาเลย.......
    credit : รํฐบุรุษโลก (บุญทรง สราวุฒิ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×