ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #8 : หยางป๋อ

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    “ยังลุกขึ้นได้งั้นรึ ดูท่าขนของมันจะแกร่งไม่น้อย” ลั่วเฉินมองวานรขนเหล็กด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขามองออกว่าวานรที่โดนโจมตีล้วนได้รับบาดเจ็บแต่มันไม่แสดงความอ่อนแอกลับยิ่งแสดงออกอย่างดุร้าย เวลานี้ฝูงวานรต่างล้อมวงเข้ามาหมายฉีกกระชากลั่วเฉินเป็นชิ้นๆ  ลั่วเฉินใช้ออกด้วยท่าร่างในเคล็ดกระบี่ตระกูลลั่วหลบการโจมตีพร้อมกับฟันกระบี่ออกไปหลายสาย วานรขนเหล็กต่างถูกการโจมตีกระเด็นออกไป แต่เพียงไม่นานพวกมันก็พากันโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ลั่วเฉินรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ตอนข้าเจอกับเจ้าพวกนี้เมื่อก่อน เพียงข้าตบฝ่ามือออกไปพวกมันก็เกลื่อนพื้นแล้ว”

    เหล่าวานรต่างรับบาดเจ็บแต่เวลานี้ดวงตาของพวกมันแดงก่ำพากันแยกเขี้ยวคำรามท่าทางดุร้ายกว่าเดิม ลั่วเฉินกระชับกระบี่ในมือดวงตาสีทองทั้งคู่จ้องมองฝูงวานรอย่างละเอียด  เมื่อฝูงวานรนับร้อยกระโจนมาจากทุกทิศทางลั่วเฉินก็รวมพลังปราณใช้ออกด้วยหนึ่งในกระบวนท่าของเคล็ดกระบี่ตระกูลลั่ว “พิรุณโลหิต” ฝนกระบี่ดั่งสายพิรุณร่วงหล่นเข้าโจมตีดวงตาของวานรขนเหล็ก ฝนกระบี่สาดไปทางทิศใดก็เกิดบุปฝาโลหิตเบ่งบานดั่งชื่อพิรุณโลหิต ฝูงวานรดุร้ายพริบตาโลกที่เคยสว่างของพวกมันก็มืดดับลง ฝูงวานรดั่งคนจมน้ำต่างอ้าปากร้องคำราม ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนยิ่งแสวงหาความตายเวลานี้ฝนกระบี่นับพันร่วงหล่นลงในปากของเหล่าวานร โลหิตสาดพุ่งทุกทิศทางเหล่าวานรนับร้อยร่างกระตุกก่อนจะล้มลง 

    ลั่วเฉินมองร่างไร้วิญญาณของเหล่าวานรที่อยู่บนพื้นด้วยความพึงพอใจ หากท่านปู่ได้เห็นการใช้กระบวนท่านี้ของเขาคงจะต้องตกตะลึง เคล็ดกระบี่พิรุณโลหิตนี้แม้แต่ท่านปู่ของเขาก็สามารถใช้ออกได้ราวสามสิบกระบี่เท่านั้น นอกจากนี้ในการต่อสู้ลั่วเฉินก็สามารถทะลวงแดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าได้สำเร็จ ลั่วเฉินรวบรวมร่างไร้ชีวิตของวานรทั้งหมดเก็บเข้าไปในแหวนดาวตก เขาวางแผนที่จะใช้วานรเหล่านี้ไปหลอมสร้างสิ่งที่จะเพิ่มชื่อเสียงให้เขาในอนาคต ลั่วเฉินมองพื้นที่ระยะไกลเบื้องหน้าก่อนจะคิดคำนวณในใจ “ในป่าส่วนลึกน่าจะมีอีกสามร้อยตัวพร้อมตัวจ่าฝูง” เขากระชับกระบี่ก่อนจะพุ่งทะยานไปในทิศทางของฝูงวานร 

    สองชั่วยามต่อมาลั่วเฉินปรากฏตัวออกมาจากอีกฝั่งของป่าด้วยสีหน้าผิดหวัง แม้เขาจะโจมตีสังหารฝูงวานรขนเหล็กสามร้อยตัว อีกทั้งต่อสู้อย่างดุเดือดกับวานรจ่าฝูงสัตว์อสูรระดับสี่แต่เขายังไม่อาจทะลวงระดับเข้าสู่แดนปฐพี แม้สัมผัสถึงแดนปฐพีได้อย่างชัดเจนแต่ยังไม่อาจก้าวขาข้ามไปได้ สิ่งเดียวที่พอจะสร้างความพึงพอใจได้เล็กน้อยคือวัสดุที่เขาได้รับ ลั่วเฉินสำรวจพื้นที่โดยรอบจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกแต่ก็ไม่พบสัตว์อสูรที่เหมาะสม เขาพบพื้นที่ที่เหมาะจะพักแรมจึงตัดสินใจที่จะพัก คืนนี้ลั่วเฉินยังคงย่างเนื้อหมูหินกินอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดมารบกวน เขาจึงสามารถเพลิดเพลินกับอาหารอย่างมีความสุข ก่อนที่นั่งหลับตาลงพักผ่อนบนสะเก็ดดาว 

    วันต่อมาลั่วเฉินยังคงเดินทางต่อไป หลังจากสังหารสัตว์อสูรระดับสี่อีกสามตัว เขาก็ยังไม่สามารถทะลวงเขตแดนปฐพีได้ สิ่งที่พอจะทำให้เขามีความสุขได้คือเขาได้วัสดุอีกหลายอย่างและได้หมูหินมาอีกหลายตัว ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ลั่วเฉินจึงวางแผนในใจอีกครั้ง “อีกสองวันจะถึงงานเทศกาลคารวะผู้กล้าในเมืองปิง เทศกาลนี้จัดเพื่อรำลึกถึงข้างั้นรึถ้าอย่างนั้นข้าควรจะร่วมชมความสนุกสักหน่อย ถ้ามีโอกาสวันหน้าข้าจะไปชมงานเทศกาลนี้กับเจ้าไป๋ชิงอวิ๋น” 

    สองวันต่อมาในเมืองปิง ถนนภายในเมืองล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คน นอกจากผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองปิงแล้วยังมีชาวบ้านที่ปกติอาศัยอยู่นอกเมืองเดินทางเข้ามาชมความสนุก งานเทศกาลคารวะผู้กล้าเมืองปิงจะมีการจัดงานทั้งหมดสามวัน ทำให้โรงเตี๊ยมที่พักล้วนมีผู้เข้าพักจนเต็ม ร้านค้าต่างขายสินค้ากันอย่างคึกคัก ภายในเหลาสุราหอมอัมพันผู้คนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน “ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองเชิญคณะละครจากเมืองเฉียวมาแสดงในงานปีนี้ ท่านเจ้าเมืองช่างลงทุนยิ่งนัก” “เพื่อจะได้คณะละครของแม่นางหลินมาแสดงข้าได้ข่าววงในว่าท่านเจ้าเมืองจ่ายค่าจ้างสูงถึงหนึ่งพันเหรียญทอง” “หากเป็นยามปกติค่าจ้างคณะละครย่อมไม่สูงถึงเพียงนี้ ข้าได้ยินว่าหลายเมืองต่างแข่งราคากันจึงทำให้ราคาสูง” “เจ้าจะรู้อะไรเทศกาลคารวะผู้กล้าล้วนจัดกันทุกเมือง ในรัศมีพันลี้มีเมืองใดไม่อยากได้คณะละครของแม่นางหลินไปแสดง”

    “เมืองปิงเป็นเพียงเมืองชายแดน กลับสามารถเชิญแม่นางหลินมาได้ ท่านเจ้าเมืองคงต้องใช้ความพยายามไม่น้อย” “ได้ยินมาว่าเวทีผู้กล้าปีนี้มีผู้สูงศักดิ์เดินทางมาชมการแข่งขันด้วย เพื่อจะสร้างความประทับใจให้กับผู้สูงศักดิ์ท่านเจ้าเมืองกับท่านรองเจ้าเมืองล้วนออกเงินสนับสนุนในการจัดงานส่วนหนึ่ง” “เป็นผู้สูงศักดิ์ท่านใดเดินทางมาเจ้ารู้หรือไม่” “ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดแต่ได้ยินว่าเดินทางมาจากเมืองหลวง” ไม่ว่าในเหลาสุราหรือร้านน้ำชา งานเทศกาลคารวะผู้กล้าในปีนี้เป็นหัวข้อที่ผู้คนล้วนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

    บนถนนการค้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาแสดงถึงความเป็นชายอย่างชัดเจนสวมชุดนักสู้สีดำคนหนึ่งกำลังเดินไปมาคล้ายลังเลใจอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มคนนี้นามว่าหยางป๋อเป็นบุตรชายของนายกองในกองกำลังรักษาเมืองผู้หนึ่ง หยางป๋อปีนี้อายุสิบหกปี ตัวเขามีชื่อเสียงในหมู่บุตรหลานขุนนางว่าเป็นผู้คลั่งการฝึกฝน ปีก่อนหยางป๋อที่มีอายุสิบห้าปีมีพลังฝึกฝนอยู่ในแดนก่อกำเนิดขั้นที่หกสามารถแสดงออกได้ดีบนเวทีผู้กล้าเขาสามารถเข้าถึงรอบแปดคนสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ก็พ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย 

    หยางป๋อมุมานะฝึกฝนอดทนต่อความยากลำบากจนในที่สุดเขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เจ็ดได้สำเร็จ ปีนี้หยางป๋อคาดหวังว่าจะทำได้ดีกว่าเดิมและจะดีมากหากตัวเขาสามารถชนะเลิศเป็นอันดับหนึ่งบนเวทีผู้กล้าได้ แต่เมื่อเขาทราบข่าวว่า กัวซีเฉียง ผู้ชนะเลิศเมื่อปีที่แล้วก็สามารถทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดได้สำเร็จ หยางป๋อก็เริ่มเสียความมั่นใจ 

    หยางป๋อตั้งใจที่จะหาซื้ออาวุธที่ดีขึ้น หากเขามีอาวุธที่ดีกว่าเดิมอาจยังพอมีความหวังที่จะชนะ  แต่หยางป๋อเป็นเพียงบุตรนายกองผู้หนึ่งเท่านั้น เพื่อช่วยให้เขาได้ฝึกฝนเต็มที่บิดาแทบจะใช้จ่ายเงินทองที่มีไปทั้งหมด ถึงกระนั้นทรัพยากรที่ได้รับก็ไม่อาจตามทันกัวซีเฉียงได้ เดิมทีหยางป๋อตั้งใจที่จะทุ่มเทการฝึกอีกหนึ่งปีเพื่อเป็นผู้ชนะในปีหน้า แต่ข่าวที่บิดานำมาบอกทำให้เขาไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป

    ปีนี้นอกจากผู้ชนะจะได้เงินรางวัลหนึ่งพันเหรียญทองซึ่งมากกว่าปีก่อนแล้ว ผู้ชนะยังได้สิทธิเข้ารวมงานชุมนุมผู้กล้าที่จะจัดขึ้นในปีหน้าที่เมืองหลวงอีกด้วย งานชุมนุมผู้กล้าจัดขึ้นทุกสิบปีโดยทั้งห้าแคว้นจะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดงาน หากงานปีหน้าจัดขึ้นที่แคว้นอื่นผู้ชนะจากเมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมไม่อาจมีส่วนร่วม แต่เนื่องจากชุมนุมผู้กล้านี้จะจัดขึ้นที่นครผิงอานเมืองหลวงของแคว้นเซี่ยทำให้ผู้ชนะบนเวทีผู้กล้าวัยเยาว์จากทุกเมืองของแคว้นเซี่ยจะได้สิทธิเข้าร่วมงานโดยอัตโนมัติ นี่คือสิ่งที่หยางป๋อคาดหวัง 

    หยางป๋อมิใช่คนที่หลงใหลในลาภยศแต่เขามีใจให้หญิงสาวคนหนึ่ง เพียงได้พบนางครั้งแรก รูปร่างบอบบาง ดวงหน้างดงามหาใดเปรียบ อีกทั้งนางยังเป็นคนกระตือรือร้นไม่ถือตัว เมื่อเห็นรอยยิ้มและได้ฟังเสียงหัวเราะของนางแทบจะพรากวิญญาณของเขาไป ติดตรงที่สำหรับสถานะของหยางป๋อแล้วนางนั้นสูงศักดิ์กว่าเขามาก หานอี้หนิงธิดาคนรองของเจ้าเมืองปิงหานฉู่กวง สำหรับบุตรชายของนายกองเช่นเขานี่จึงเป็นความรักที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่แล้วเขาก็มองเห็นโอกาส หากตัวเขาสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมผู้กล้าย่อมไม่มีสตรีใดในเมืองปิงที่เขาไม่คู่ควรอีก ผู้กล้าวัยเยาว์ที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมผู้กล้าเพียงหนึ่งเดียวในรอบหลายสิบปีย่อมกลายเป็นวีรบุรุษของคนทั้งเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย

    หยางป๋อมองเงินสิบห้าเหรียญทองในถุงเงินอีกครั้งนี่แทบจะเงินทั้งหมดในครอบครัว ก่อนหน้านี้เขาได้ไปมองหากระบี่ที่เหมาะสมทั้งในหอการค้าพันสมบัติและหอการค้าลมวสันต์มาแล้ว ในหอการค้าพันสมบัติมีกระบี่วิญญาณที่เขาสามารถซื้อได้อยู่หลายเล่มแต่หยางป๋อมองว่ากระบี่เหล่านั้นยังไม่ดีพอ หลังจากไปที่หอการค้าลมวสันต์เขาก็พบกระบี่ที่ถูกใจแต่กระบี่เล่มนั้นราคาถึงยี่สิบเหรียญทองซึ่งหยางป๋อมีเงินไม่เพียงพอ ขณะที่กำลังลังเลว่าควรจะซื้อกระบี่ที่สามารถจ่ายได้หรือควรจะหาทางหาเงินเพิ่มก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมา

    “เสี่ยวป๋อ เจ้ากำลังทำสิ่งใด เหตุใดจึงเดินวนไปมาคล้ายหนูติดจั่นเช่นนี้” หยางป๋อหันมองตามเสียงก่อนจะพบว่าผู้มาเป็นสหายสนิท ลั่วเฉินอายุน้อยกว่าหยางป๋อหนึ่งปีแต่พวกเขาอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นมายังสร้างวีรกรรมและผ่านอันตรายมาด้วยกันหลายครั้ง เวลานี้ลั่วเฉินกำลังยืนมองเขาอย่างตลกขบขัน 

    หยางป๋อจะเรียกว่าเป็นสหายสนิทคนเดียวของลั่วเฉินในเมืองปิงก็ว่าได้ ยามที่เขาทะเลาะวิวาทกับบุตรหลานขุนนางคนอื่นมีเพียงหยางป๋อเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างไม่เคยหันหลังหนี หยางป๋อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาแทบทุกครั้ง หยางป๋อเมื่อเห็นสหายสนิทก็รู้สึกยินดีแต่เพียงไม่นานก็รู้สึกหดหู่อีกครั้ง เขารู้สภาพการเงินของลั่วเฉินมากกว่าผู้ใด สหายอาจจะมีเงินห้าเหรียญทองให้หยิบยืมได้ก็จริง แต่นั่นเป็นเงินที่สหายหามาได้อย่างยากลำบาก

    ลั่วเฉินเห็นการแสดงออกของหยางป๋อเดี๋ยวยินดีเดี๋ยวหดหู่จึงอดที่จะถามไม่ได้ “นี่เจ้าเป็นอันใดกันแน่ เหตุใดจึงทำตัวแปลกประหลาดเช่นนี้” หยางป๋อลังเลเล็กน้อยก่อนจะเล่าถึงสถานะการณ์ให้ลั่วเฉินฟังอีกครั้ง “เพียงห้าเหรียญทองเท่านั้นข้าย่อมสามารถให้เจ้ายืมได้ มาสิข้าจะไปซื้อกระบี่กับเจ้า” ลั่วเฉินชักชวน หยางป๋อรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของสหาย เขาพยักหน้าก่อนจะเดินนำลั่วเฉินไปทางหอการค้าลมวสันต์ “หากข้าได้เงินรางวัลชนะเลิศข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นสิบเท่าแน่นอน” หยางป๋อกล่าวสัญญา ลั่วเฉินที่ได้ฟังเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย

    ในหอกาค้าลมวสันต์เสมียนตู้เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดดำกลับมาใบหน้าอ้วนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยประสบการณ์งานขายกว่าสิบปีลูกค้าผู้นี้ต้องกลับมาเพื่อซื้อสินค้าอย่างแน่นอน ขณะจะกล่าวคำทักทายก็เห็นชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาเสียก่อน เสมียนตู้อดไม่ได้ที่จะหางตากระตุก หยางป๋อไม่ทันสังเกตการแสดงออกที่แปลกไปของเสมียนตู้จึงกล่าวโดยตรง “ข้ากลับมาเพื่อซื้อสินค้า ขอท่านนำกระบี่เล่มนั้นมาชมอีกสักครั้ง” 

    เสมียนตู้รู้สึกหดหู่แต่ก็ยังนำกระบี่จากชั้นวางลงมาแสดงให้หยางป๋อดูอีกครั้ง “นี่ไงเสี่ยวเฉิน กระบี่ที่ข้าต้องการ เจ้าดูรัศมีธาตุลมนี้ก่อน นี่เป็นกระบี่วิญญาณระดับสูงอีกทั้งยังเสริมแกร่งถึงสี่ส่วน ราคายี่สิบเหรียญทองนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก” ลั่วเฉินหรี่ตามองเสมียนตู้คล้ายต้องการจะสื่อสารทางสายตาว่า “ท่านช่างทำการค้าได้ดียิ่งนัก” ลั่วเฉินหันไปกล่าวกับหยางป๋อว่า “หากเจ้าต้องการกระบี่นี้เจ้าไม่จำเป็นต้องซื้อหรอก” หยางป๋อรู้สึกงงงวยกับคำพูดของสหาย เขากล่าวอย่างไม่เข้าใจ “หากไม่ซื้อข้าจะได้รับกระบี่นี้ได้อย่างไร” “นี่เป็นกระบี่ที่ข้าหลอมสร้างเอง หากเจ้าต้องการข้ายังคงมีเหลือเก็บไว้ สามารถให้เจ้าได้เล่มหนึ่ง” ลั่วเฉินกล่าวตอบ 

    หยางป๋อมองสหายสนิทอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าหลอมสร้างขึ้นเอง เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด” ลั่วเฉินยักไหล่ “เจ้าลองถามเสมียนตู้ดูก็ได้ จริงไหมเหล่าตู้” เสมียนตู้ยิ้มแห้งก่อนจะตอบทันที “ถูกต้องแล้วคุณชายท่านนี้ กระบี่นี้เป็นผลงานของคุณชายลั่วจริงขอรับ” หยางป๋อยังคงรู้สึกมึนงงแต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรก็ถูกลั่วเฉินลากออกไปเสียก่อน “เจ้าตามข้าไปที่จวน” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×