ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #7 : วานรขนเหล็ก

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    ลั่วเฉินถอนความคิดจากเรื่องราวในอดีตกลับสู่ปัจจุบัน แม้ยามนี้ขั้นการบ่มเพาะของเขาจะอยู่เพียงแดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดแต่เขาประเมินว่าแม้จะเผชิญกับคู่ต่อสู้แดนปฐพีขั้นปลายเขาก็สามารถรับมือได้ อีกทั้งเขายังมีไพ่ตายอย่าง สะเก็ดดาวการจะเข้าไปในพื้นที่ป่าส่วนลึกน่าจะไม่เกิดปัญหาใด ลั่วเฉินสะพายกระบี่ลมขจีก้าวทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของป่าไผ่ม่วง 

    ระหว่างทางลั่วเฉินพบสมุนไพรและสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่นอกจากสัตว์อสูรดุร้ายที่เข้าโจมตีเขาก่อนสัตว์อสูรที่เหลือลั่วเฉินล้วนปล่อยไป สมุนไพรอายุน้อยและสัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้ ลั่วเฉินเร่งเดินทางตลอดวันจนท้องฟ้าเริ่มมืดก็มาถึงริมลำธารแห่งหนึ่ง ลำธารขนาดเล็กกว้างเพียงไม่กี่จั้งเมื่อมองไปจะเห็นสายน้ำไหลที่ใสสะอาดและสัมผัสได้ถึงความเย็นสบาย ลั่วเฉินตั้งใจจะพักแรมที่นี่ในคืนนี้ ที่นี่อยู่ห่างจากชายขอบของป่าไผ่ม่วงราวสิบลี้ หากข้ามชายป่านี้ไปก็จะเป็นพื้นที่ส่วนต้นของเทือกเขาเสินหนงจะเริ่มพบสัตว์อสูรระดับสี่และอาจเจอระดับห้า ซึ่งเทียบได้กับผู้ฝึกฝนระดับปฐพีขั้นกลางถึงขั้นสูงสุด เมื่อรีบเร่งเดินทางมาทั้งวันการพักผ่อนฟื้นฟูพลังสักเล็กน้อยจึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า

    ลั่วเฉินก่อกองไฟเตรียมจะปรุงอาหาร ระหว่างทางเขาได้เนื้อหมูหินมาโดยบังเอิญ หมูชนิดนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก ตัวใหญ่สุดหนักประมาณห้าสิบจินเท่านั้นแต่มีผิวหนังที่แข็งแกร่งมีสีคล้ายหิน มันมักจะปลอมเป็นก้อนหินเมื่อมีเหยื่อผ่านมาก็จะพุ่งเข้าโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เจ้าหมูตัวนี้นับว่าโชคร้ายที่กลายเป็นเหยื่อเสียเองผิวหนังที่แข็งแกร่งไม่นับเป็นอย่างใดเมื่ออยู่ภายใต้ความคมของกระบี่ลมขจี ลั่วเฉินเคยลิ้มรสหมูชนิดนี้มาก่อนย่อมทราบว่าภายใต้ผิวหนังเหมือนหินนั้นมีส่วนเนื้อที่รสชาติอร่อยอย่างมาก เจ้าหมูตัวนี้จึงกลายมาเป็นมื้อเย็นของวันนี้ 

    การทำอาหารในป่าย่อมเลี่ยงการย่างด้วยไฟไม่ได้ ลั่วเฉินได้เตรียมเครื่องปรุงสมุนไพรปรุงรสอาหารมาอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งเขายังมีเครื่องปรุงพิเศษที่ล้ำค้าเป็นเคล็ดลับความอร่อยอีกอย่างหนึ่ง สำหรับลั่วเฉินนอกจากการหลอมอาวุธแล้วอีกสิ่งที่เขาหลงไหลก็คือการได้ชิมอาหารประเภทต่างๆ เมื่อเจออาหารที่ถูกกใจเขาก็จะพยายามจดจำวิธีการทำเอาไว้ หลังจากเตรียมวัตุดิบเรียบร้อยลั่วเฉินก็นำเตาหินสำหรับทำอาหารและสะเก็ดดาวออกมา 

    ครั้งนี้สะเก็ดดาวกลายเป็นแผ่นหินสี่เหลี่ยมบางเรียบกว้างยาวประมาณหนึ่งฉื่อ ลั่วเฉินนำเนื้อหมูหินที่คลุกเคล้าสมุนไพรก่อนจะเพิ่มความกลมกล่อมด้วยเครื่องปรุงพิเศษนั่นคือสุราแปดสมบัติ สุราชนิดนี้ลั่วเฉินได้มาจากสหายเก่าในอดีตเกือบหนึ่งพันปีก่อน สุราสีเหลืองอำพัน รสนุ่มนวลแต่ร้อนแรง มีกลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ สำหรับลั่วเฉินนี่เป็นสุราที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัย ลั่วเฉินใช้สุราอาหารเลี้ยงกองทัพเขาจึงเก็บสุราแปดสมบัตินี้ไว้ในแหวนมิติเป็นจำนวนมหาศาล

    ลั่วเฉินหมักเนื้ออย่างดีก่อนจะแล่เป็นชิ้นหนาประมาณหนึ่งนิ้วมือลงไปย่าง สะเก็ดดาวส่งความร้อนอย่างทั่วถึงทำให้เนื้อหมูหินสุกสม่ำเสมอทั้งยังส่งกลิ่นหอมจนยากจะอดใจไว้ได้ ลั่วเฉินใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูหินที่ย่างจนสุกส่งเข้าปาก เนื้อหมูหินนุ่มละมุนจนแทบจะละลายไปกับลิ้น ลั่วเฉินสัมผัสรสเข้มข้นละมุนลิ้นพลางดื่มสุราตามก่อนจะส่งเสียงออกจมูกด้วยความพึงพอใจ ระหว่างที่ลั่วเฉินกำลังมีความสุขกับสุราอาหารเขาก็สัมผัสได้ถึงคนกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา ด้วยระดับพลังที่เขาสัมผัสได้แม้ไม่ทราบว่าผู้มาจะมีเจตนาอย่างไรลั่วเฉินก็คร้านจะใส่ใจ เขายังคงเพลิดเพลินกับหมูย่างรสอร่อยกับสุราตรงหน้า 

    เมื่อกลุ่มคนเข้ามาใกล้ก็พบว่าผู้มามีทั้งหมดห้าคน ผู้นำเป็นชายหนุ่มชุดขาวอายุประมาณยี่สิบปี หน้าตาหล่อเหลาท่าทางเย่อหยิ่ง ลั่วเฉินมองเห็นระดับพลังฝีมือของคนผู้นี้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในแดนปฐพีขั้นต้นซึ่งนับว่าสูงทีเดียวสำหรับคนอายุเพียงเท่านี้ คาดว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้คนจากเมืองปิง คนที่เหลือสามคนเป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี กับแม่นางน้อยอายุราวสิบห้าปีหน้าตางดงามดูดื้อรั้นผู้หนึ่ง ทั้งหมดมีพลังฝึกฝนอยู่ในแดนก่อกำเนิดขั้นปลาย 

    แม่นางน้อยกล่าวกับชายหนุ่มผู้นำด้วยรอยยิ้ม “พี่เอ้อร์หลี่ท่านเชื่อข้ารึยัง ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าได้กลิ่นหอมมาจากทิศทางนี้” กลุ่มคนมองไปทางลั่วเฉินที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอย่างพิจารณา แม้ไม่อาจเห็นขั้นการฝึกฝนแต่เมื่อดูจากอายุแล้วคาดว่าคงเป็นเพียงผู้ฝึกฝนแดนก่อกำเนิดผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นำพลันกล่าวว่า “น้องชายผู้นี้เนื้อที่เจ้าย่างดูไม่เลวทีเดียว ข้าขอแลกเนื้อกวางแดงนี่กับเนื้อย่างของเจ้าเป็นอย่างไร”

    ลั่วเฉินเหลือบมองกวางสีแดงตัวเล็กเท่าสุนัขอย่างขบขันก่อนจะกล่าว “ไม่สนใจ” ชายหนุ่มผู้นำหรี่ตาส่อเจตนาฆ่าออกมาอย่างชัดเจน แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดแม่นางน้อยพลันตวาดเสียงดังออกมาก่อน “นี่ เจ้าคนชั้นต่ำเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราคือผู้ใด หากเจ้าไม่มอบเนื้อย่างนี้มาแต่โดยดีข้าจะเฆี่ยนตีเจ้าแล้วยังจะเผาบ้านเจ้า เจ้าเชื่อหรือไม่” กล่าวจบก็หยิบม้วนแส้ที่คาดเอวออกมาสะบัดฟาดไปทางลั่วเฉิน 

    ลั่วเฉินแม้เคยพบเจอคนไร้เหตุผลมามากมายแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในตัวแม่นางน้อยผู้นี้ อายุน้อยแต่กลับลงมือเหี้ยมโหดไม่เบา เมิ่งเตี๋ยฟาดแส้โจมตีชายตรงหน้าแส้นี้เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงทั้งยังฟาดออกด้วยพลังปราณห้าส่วนของนาง ผู้ฝึกฝนทั่วไปหากถูกแส้นี้ต้องได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ลั่วเฉินมองแส้ที่ฟาดใกล้เข้ามาอย่างไม่ใส่ใจ เพียงยื่นมือออกไปก็จับกุมปลายแส้ไว้อย่างง่ายดาย 

    เมิ่งเตี๋ยคาดไม่ถึงว่าแส้ที่นางฟาดออกไปจะถูกผู้อื่นกับกุมไว้ นางพยายามกระชากแส้กลับคืนมาด้วยกำลังทั้งหมดแต่กลับเป็นนางที่ไม่อาจกุมแส้ในมือไว้ได้ แส้ที่นางภาคภูมิใจตอนนี้ถูกผู้อื่นกระชากหลุดมือไปก่อนจะถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจลงข้างกองไฟ ชายหนุ่มผู้นั้นเพียงกล่าวออกมาว่า “ข้าจะเห็นแก่ว่าเป็นเพราะอาหารของข้าหอมมากเกินไปพวกจึงอดใจไม่ไหว เพราะฉะนั้นข้าจะยังให้โอกาสพวกเจ้าไสหัวไป” เมิ่งเตี๋ยใบหน้าขาวซีดนางไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางเป็นธิดาของเจ้าเมืองเฟิงถูกเลี้ยงดูมาไม่ต่างจากองค์หญิง ทั้งนางยังมีพลังแดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าจนถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะหญิงอันดับหนึ่งของเมืองเฟิง นางไม่เคยถูกผู้ใดดูถูกเช่นนี้มาก่อน 

    ลั่วเฉินคร้านจะมองนาง คนพวกนี้สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงเด็กน้อยที่ยังไม่เคยเห็นโลกเท่านั้น ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าพี่เอ้อร์หลี่ตะโกนอย่างเดือดดาล “เจ้าคนชั้นต่ำรนหาที่ตาย” พลันชักกระบี่พุ่งทะยานเข้าหาลั่วเฉิน กระบี่ในมือส่องประกายฟาดฟันจากบนลงล่างก่อนจะแยกเป็นเงากระบี่สามสายพุ่งเข้าหาลั่วเฉินจากสามทิศทาง คนที่เหลือเห็นแบบนี้อุทานออกมา “พี่ฟงใช้เคล็ดกระบี่สังหารอสูรอันยอดเยี่ยม คนผู้นี้ตายแล้ว” ลั่วเฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมคล้ายไม่อาจหลบหนี 

    แต่ก่อนที่เงากระบี่จะเข้าถึงตัวเขาพลันมีแสงสีเขียววาดผ่านคลองจักษุของผู้คนก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ลั่วเฉินที่ควรจะโดนกระบี่สังหารอสูรอันยอดเยี่ยมฟาดฟันกลับยังคงคีบเนื้อย่างกินต่อไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ในขณะที่มือข้างที่กุมกระบี่ของชายชุดขาวเวลานี้กำลังปลิดปลิวอยู่กลางอากาศ คนที่เหลือล้วนเหม่อมองอย่างว่างเปล่า เมื่อมือข้างนั้นร่วงหล่นสู่พื้นดินก็เกิดเสียงกรีดร้อง “อ๊ากก มือของข้า มือของข้า” ชายผู้ถูกเรียกว่าพี่เอ้อร์หลี่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะตะโกนอย่างคลั่งแค้น “เจ้าคนชั้นต่ำ ข้าจะฆ่าเจ้า” ลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ“ฆ่าข้ารึ ด้วยมือที่เหลืออีกข้างของเจ้าหรือด้วยคนพวกนี้ล่ะ” พูดจบพลางเหลือบมองไปยังสี่คนที่เหลือ

    คนทั้งสี่เวลานี้รู้สึกหนังศีรษะชาไปชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างมองกันไปมาโดยไม่รู้จะต้องทำอย่างไร พวกเขาล้วนเห็นความหวาดกลัวในสายตาของกันและกัน ลั่วเฉินคีบชิ้นเนื้ออีกชิ้นส่งเข้าปากก่อนจะยืนขึ้นก่อนจะกล่าวเบาๆ “ในเมื่อให้โอกาสพวกเจ้าไปแล้วพวกเจ้าไม่ไป งั้นก็อยู่เฝ้าป่านี้ตลอดไปเถอะ” ลั่วเฉินกางมือเล็กน้อยแส้บนพื้นราวกับถูกแม่เหล็กดูดพุ่งเข้าไปอยู่ในมือของลั่วเฉิน เมิ่งเตี๋ยมองอย่างตกตะลึง นั่นคืออาวุธวิญญาณของนาง แม้แต่นางที่ผูกวิญญาณไว้ก็ยังไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ คนผู้นี้กลับทำได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะมีทักษะพิเศษบางอย่าง ก่อนที่นางจะได้สติก็มีเสียงแหวกอากาศตรงเข้ามา

    แส้ยาวฟาดใส่ช่วงเอวของนาง นางถูกแรงที่มากับแส้กระแทกถอยหลังไปหลายก้าวก่อนที่จะทรงตัวได้ พลังปราณที่มากับแส้สร้างความเจ็บปวดให้กับนางอย่างหนักก่อนจะกระอักโลหิตออกมา ไม่เพียงแต่นาง ชายหนุ่มที่เหลือต่างกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ทุกคนมีรอยแส้ยาวอยู่บริเวณใบหน้า หลายคนถ่มฟันปนเลือดออกมาจากปากหลังได้สติมีเพียงสิ่งเดียวที่คนเหล่านี้คิดได้ “ต้องหนี” กลุ่มคนพากันหลบหนีโดยไม่ต้องส่งสัญญาณใด พี่เอ้อร์หลี่วิ่งทะยานออกไปแม้แต่มือที่ขาดก็ไม่มีเวลาเก็บ เมิ่งเตี๋ยเค้นพลังหลบหนีด้วยดวงตาแดงกล่ำ “เจ้าคนชั้นต่ำความแค้นนี้ข้าต้องเอาคืนเจ้าเป็นร้อยเท่า” ลั่วเฉินไม่สนใจเขายังคงกินอาหารต่อ เขาไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้แต่ถึงรู้เขาก็ไม่ใส่ใจ สำหรับเขาแล้วเด็กน้อยเหล่านี้หากยังไม่ถนอมชีวิตเขาก็รังเกียจที่จะฆ่าทิ้งเสีย 

                แสงสว่างมาเยือนในยามเช้า วิหกอสูรนานาชนิดส่งเสียงร้องก้องป่า ลั่วเฉินที่นั่งหลับตาอยู่บนสะเก็ดดาวค่อยๆลืมตาขึ้น เวลานี้สะเก็ดดาวอยู่ในลักษณะคล้ายตั่งเตียงที่สร้างจากหิน รัศมีพลังที่ปล่อยออกมาทำให้สัตว์อสูรน้อยใหญ่ไม่กล้าเข้าใกล้ ลั่วเฉินค่อยๆลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจก่อนจะเก็บสะเก็ดดาวกลับเข้าไปในแหวนดาวตก หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในลำธารเขาก็รู้สึกสดชื่นพร้อมจะเดินทางต่อ วันนี้เขาจะเดินทางเข้าสู่ส่วนต้นของเทือกเขาเสินหนง หลังจากเดินทางได้หนึ่งชั่วยาม(1)เขาก็พบว่าบริเวณนี้ไม่มีสัตว์อสูรอยู่เลย ลั่วเฉินสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจึงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เดินต่อไปอีกไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบนต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไป “นี่น่าจะเป็นถิ่นของวานร สัตว์อสูรอื่นจึงไม่กล้าเข้ามา” เวลานี้ฝูงวานรขนเหล็กเองก็สัมผัสได้ถึงการรุกล้ำอาณาเขตของสิ่งมีชีวิตอื่นเช่นเดียวกัน

    วานรขนเหล็กขนาดเท่ามนุษย์กว่าร้อยตัวเริ่มส่งเสียงร้องจนดังก้องป่าก่อนจะพากันโหนต้นไม้เข้าหาลั่วเฉิน วานรชนิดนี้มีความว่องไวเป็นอย่างมากทั้งยังมีขนสีดำเส้นหนาที่แข็งแกร่งจนได้ชื่อว่าวานรขนเหล็ก ลั่วเฉินเคยเผชิญกับฝูงวานรชนิดนี้มาก่อนจึงทราบถึงความแข็งแกร่งของพวกมันดี วานรเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์อสูรระดับสามเทียบเท่ากับแดนปฐพีขั้นต้น พลังพอๆกับจักจั่นจ่าฝูงแต่มันมีการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่า ซ้ำยังอยู่รวมกันเป็นฝูงนี่จึงควรเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก 

    ลั่วเฉินวาดกระบี่เข้าโจมตีกลุ่มวานรสี่ตัวทางด้านซ้าย “ประกายอัสนี” กระบี่ลมขจีในมือพลันกลายเป็นปราณกระบี่สี่สายฟาดโจมตีลงมา ปราณกระบี่สีเขียวฟาดกระทบวานรจนกระเด็นไปหลายหมี่กลิ้งเกลือกบนพื้น แม้การโจมตีจะดูรุนแรงแต่วานรทั้งสี่ตัวกลับม้วนตัวก่อนจะพุ่งกลับมาโจมตีลั่วเฉินอีกครั้ง

    (1) หนึ่งชั่วยาม ประมาณ 2ชั่วโมง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×