คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เทพศาสตรา
ทวีปหยวนหวงบริเวณใจกลางทวีปมียอดเขาสูงเสียดฟ้านามว่ายอดเขาหยินหลงเป็นหนึ่งในยอดเขาที่อยู่ในเทือกเขาเสินหนงอันทอดยาวสุดสายตา ยอดเขาหยินหลงนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะเนื่องจากที่นี่เป็นจุดสูงสุดของทวีปหยวนหวง บนยอดเขาแห่งนี้มีต้นสนยักษ์ยืนต้นตระหง่านอย่างเดียวดายท้าทายลมหิมะที่พัดแรง บริเวณลำต้นหนาถึงหนึ่งร้อยจั้ง(1) กิ่งก้านที่แผ่ออกไปสุดสายตากับปลายยอดที่ทะลุเมฆหมอกขึ้นไปต่างแผ่รัศมีจักระสีทองอันเข้มข้นแผ่ออกไปดั่งลูกคลื่นกระจายไปทั่วขุนเขาและทั้งทวีป นี่คือต้นไม้วิญญาณโลกที่ปลดปล่อยพลังวิญาณให้แก่สรรพชีวิต
บริเวณใต้ต้นไม้มีชายชุดแดงยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางลมหิมะ ร่างกายสูงใหญ่กล้ามเนื้อแข็งแกร่งเงางามประหนึ่งหล่อหลอมจากทองแดง ใบหน้าเหลี่ยม จมูกสันโด่ง ริมฝีปากหยักลึก รวมกับดวงตาดอกท้อสีทองที่ดุจน้ำนิ่งไร้ระลอกคลื่นให้ความรู้สึกถึงความสง่างามบวกกับชุดสีแดงที่สวมใส่ทำให้ดูโดดเด่นท่ามกลางผืนหิมะ เพียงแต่หากมองให้ดีจะเห็นว่าตั้งแต่บริเวณช่วงเอวลงไปมีน้ำแข็งเกาะแน่นคาดว่าจะทำให้ชายชุดแดงไม่สามารถขยับร่างกายช่วงล่างได้
นอกจากชายชุดแดงแล้วทิศตรงข้ามยังยืนอยู่ด้วยหญิงสาวหนึ่งคนและชายสามคน แต่ละคนล้วนสง่างามและเปล่งรัศมีพลังอันแข็งแกร่งหาที่ใดเปรียบ ชายชุดดำดวงตาดุจสุนัขป่าเปิดปากทำลายความเงียบ “พี่ฮั่ว พวกเราพี่น้องคบหากันมานานนับพันปี เราท่านต่างสละเลือดเนื้อเพื่อสันติสุขแห่งทวีปนี้มามากมาย อย่างไรเสียวันนี้ท่านก็เสียสละอีกครั้งเถอะ หากสิ้นท่านแล้วทวีปแห่งนี้จึงจะเรียกได้ว่าเกิดสันติสุขอย่างแท้จริง”
ชายชุดแดงได้ฟังพลันแสยะยิ้ม “โจวเสิน เจ้าคิดว่าข้ามองไม่ออกจริงหรือว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำนั้นประสงค์สิ่งใดกันแน่” พลันหันหน้าไปทางหญิงสาวชุดขาว “เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าเพื่อฆ่าข้าแล้ว ชิงเยว่เจ้าถึงกับสละแก่นน้ำแข็งหยกเหมันต์ที่เจ้าบำเพ็ญมาทั้งชีวิต” ยาพิษที่เขาได้รับในขณะนี้ส่วนผสมหลักคือแก่นน้ำแข็งหยกเหมันต์ซึ่งเป็นแก่นพลังปราณที่ไป๋ชิงเยว่บำเพ็ญมาหลายร้อยปี ตัวเขาไม่สามารถใช้พลังปราณขับออกมาโดยตรงพิษนี้จึงค่อยๆลามไปตามชีพจรในร่างกาย หากจะขับพิษจำเป็นต้องรวบรวมโอสถจำนวนมากพร้อมทั้งยังต้องการคนผู้หนึ่งเพื่อทำการกลั่นแต่เวลานี้คนผู้นั้นไม่อยู่ที่นี่และถึงจะอยู่เมื่อมีคนทั้งสี่ต้องการชีวิตเขาคนผู้นั้นก็ยากจะทำการใดได้
หญิงสาวชุดขาวนั้นมีใบหน้างดงาม ผิวพรรณขาวดั่งหิมะ เมื่อแสงอาทิตย์ที่ลอดม่านเมฆตกกระทบใบหน้าเล็กๆของนางก็เปล่งประกายดุจเกล็ดหิมะกระทบแสงช่างงดงามจนผู้คนไม่กล้าจ้องมองนาง เพียงแต่ใบหน้างดงามนี้กลับเย็นชาไร้ความรู้สึก นางเอ่ยปากพูดช้าๆ “พี่ใหญ่ ที่ผ่านมาสิ่งที่ท่านทำเพื่อเผ่ามนุษย์ทั้งหลายข้าจดจำได้ดีเสมอ แต่เพื่อความสมดุลของโลกแล้วการดำรงอยู่ของท่านเป็นอันตรายต่อมนุษย์มากเกินไป ขอเพียงท่านยอมทำลายการบ่มเพาะ ข้ารับรองว่าเผ่ามนุษย์ทั้งหลายจะไม่มีวันลืมความดีของท่าน”
ชายชุดแดงจ้องมองดวงตาใบหลิวบนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของนาง สัมผัสได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยในดวงตาคู่นั้น ชายชุดแดงนามว่าฮั่วเฉิน ในจุดสูงสุดของชีวิตเผ่ามนุษย์ทั้งหลายขนานนามเขาว่าเทพศาสตรา ผู้ฝึกฝนระดับเทพยุทธเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าพันธ์มนุษย์ ทั้งยังเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธผู้อันยิ่งใหญ่ที่หลอมสร้างอาวุธให้กับกองทัพเผ่ามนุษย์ เขาถ่ายทอดเคล็ดการหลอมให้กับเหล่าศิษย์มากมาย ด้วยความสามารถของเขาทำให้เผ่ามนุษย์สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรที่หมายจะยึดครองทวีปแห่งนี้
หลายร้อยปีก่อนเขาได้รวบรวมเหล่าสหายร่วมอุดมการณ์ก่อตั้งเป็นพันธมิตรผู้กล้า ไป๋ชิงอวิ๋นและชายทั้งสามเป็นคนกลุ่มแรกๆที่เข้าร่วมกับเขา เวลานั้นนางเป็นมือกระบี่น้อยที่งดงามและกระตือรือร้น ขณะที่คนที่เหลือล้วนอยู่ในวัยที่เลือดร้อนห้าวหาญไม่เกรงกลัวอันตราย ในขณะนั้นทวีปหยวนหวงมีกองทัพสัตว์อสูรขนาดใหญ่มากมาย มีสัตว์อสูรระดับเทพอสูรถึงหกตัว ฮั่วเฉินมีพลังฝึกปรืออยู่ในจุดสูงสุดของแดนจักรพรรดิไม่สามารถต่อสู้กับเทพอสูรได้โดยตรง กลุ่มพันธมิตรจึงต้องวางแผนมากมายรวมถึงเสียสละเหล่าสหายร่วมรบไปเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกลุ่มพันธมิตรก็สามารถสังหารสัตว์อสูรระดับเทพอสูรตัวแรกลงได้ เขาได้นำแก่นและร่างของเทพอสูรตัวนี้มาหลอมสร้างอาวุธระดับศาสตราเทพยุทธชิ้นแรก
ศาสตราเทพยุทธที่เขาหลอมสร้างได้สำเร็จชิ้นแรกคือกระบี่ กระบี่เล่มนี้ยาวห้าฉื่อ(2)ใบกระบี่กว้างสามชุ่น(3) ใบกระบี่สีเงินแผ่รัศมีสีส้มด้ามและฝักสีดำสลับขาว เขาตั้งชื่อให้กระบี่เล่มนี้ว่า กระบี่ถามฟ้า เมื่อมีกระบี่เล่มนี้การต่อสู้ของมนุษย์และสัตว์อสูรสามารถเรียกได้ว่าสูสีกันมากขึ้น เมื่อเขาสามารถสังหารเทพอสูรตัวที่สองลงได้สำเร็จ ศาสตราเทพยุทธชิ้นที่สองก็ถือกำเนิดทำให้เผ่ามนุษย์สามารถต่อกรกับสัตว์อสูรได้อย่างสมดุลย์มากขึ้น หลังจากสามารถสังหารเทพอสูรตัวที่สาม ในที่สุดเขาก็ก้าวข้ามเขตแดนกลายเป็นเทพยุทธคนแรกของเผ่ามนุษย์ได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญไปทั้งทวีป การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปนับร้อยปีจนกระทั่งเขาสังหารเทพอสูรตัวที่ห้าได้สำเร็จ จึงหลอมสร้างศาสตราเทพยุทธขึ้นเป็นชิ้นที่ห้า เมื่อมีศาสตราเทพยุทธทั้งห้าชิ้นนี้ตัวเขาก็พร้อมที่จะท้าทายเฮยหลง เทพอสูรตัวสุดท้ายที่มีกำลังกล้าแกร่งที่สุด เขามีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถสังหารเฮยหลง ในที่สุดสงครามของมนุษย์และสัตว์อสูรที่มีมายาวนานก็มาถึงฉากสุดท้าย
ในศึกครั้งนั้นฮั่วเฉินและยอดฝีมือระดับจักรพรรดินับร้อยคนพร้อมด้วยกองทัพพันธมิตรกว่าล้านคนได้เข้าสู้ศึกกับกองทัพสัตว์อสูรของเฮยหลง ศึกครั้งนี้ได้รับการเรียกขานต่อมาว่ามหาสงครามแดง เนื่องจากชุดเกราะสีแดงที่เขาสวมใส่นำทัพและสีแดงของโลหิตที่ย้อมผืนปฐพีในขณะนั้น ในศึกครั้งนั้นทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรได้ตกตายรวมกว่าล้านชีวิต และด้วยความมั่นใจจนเกินไปในตอนนั้นทำให้เผ่ามนุษย์เกิดการสูญเสียยอดฝีมือระดับจักรพรรดิมากมาย
เฮยหลงที่เขาคิดสังหารกลับมีพลังชีวิตอันน่าตกตะลึง ขณะที่เขาคิดว่าจะได้รับชัยชนะ เฮยหลงก็ฟาดกรงเล็บขนาดมหึมาลงมาด้วยพลังมหาศาล การโจมตีนี้รุนแรงมากจนสหายร่วมรบของเขาต่างล้มตายไปเกือบหมดสิ้น ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเฮยหลงที่เจ็บหนักเช่นกันกลับไม่มีทีท่าว่าจะตกตายแต่อย่างใด ในนาทีนั้นเขาตัดสินใจหลอมรวมแก่นพลังของศาสตราเทพยุทธทั้งห้า เพื่อโจมตีเฮยหลงเป็นครั้งสุดท้ายด้วยกระบวนท่าพิฆาตของเขา “สรรพสิ่งล้วนดับสูญ”
อานุภาพของแก่นพลังศาสตราเทพยุทธเมื่อหลอมรวมกัน ทำให้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าดิน ลมพายุพัดโหมกระหน่ำ สายฟ้าจำนวนมากผ่าลงมาจากท้องฟ้า น้ำในแม่น้ำทะเลและทะเลสาบเดือดพล่าน แผ่นดินถล่มทรุดตัวเสาลาวาจำนวนมหาศาลพุ่งแทงออกมาจากผืนดินเข้าโจมตีเฮยหลง พลังสะเทือนฟ้าดินเข้าบดขยี้เฮยหลงจนร่างกายฉีกขาด เท้าอันใหญ่โตทั้งสองขาดสะบั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิอาจสังหารเฮยหลงลงได้ แก่นพลังของศาสตราเทพยุทธทั้งห้าทำได้เพียงสะกดเฮยหลงลงไปใต้ผืนปฐพีเท่านั้น แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกโล่งใจเขาเชื่อว่าด้วยพลังของแก่นศาสตราเทพยุทธทั้งห้านี้เฮยหลงจะไม่สามารถออกจากการคุมขังได้อีกตลอดกาล ในที่สุดเผ่ามนุษย์ก็จะสามารถนอนหลับได้อย่างสงบสุข
หลังจากจมอยู่ในห้วงความคิดเพียงชั่วครู่ฮั่วเฉินก็ระบายลมหายใจออกมา เมื่อมองไปยังคนสี่คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามวันเวลาผ่านไปดั่งลัดนิ้วมือ ตอนนี้สหายร่วมรบคนสำคัญเหลือไม่ถึงสิบคนอีกทั้งยังมีถึงสี่คนที่หมายจะสังหารเขา พวกเขาต่างอยู่ในแดนจักรพรรดิขั้นสูงสุด เพียงครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่เขตแดนเทพยุทธ จิตใจของฮั่วเฉินกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า คิดจะใช้ข้าเป็นบันไดอย่างนั้นรึ” ฮั่วเฉินมองไปยังคนทั้งสี่อย่างเย็นชา “พวกเจ้าอย่าได้ฝันไปข้าจะดับความหวังของพวกเจ้าเอง”
แหวนสีเงินที่นิ้วของฮั่วเฉินปล่อยหินก้อนเล็กออกมาก หินก้อนเล็กลอยขึ้นจากฝ่ามือฮั่วเฉิน พลันขยายใหญ่ขึ้นจนบดบังแสงอาทิตย์ นี่คือ สะเก็ดดาว หนึ่งในศาสตราเทพยุทธที่ฮั่วเฉินหลอมรวมแร่อุกกาบาตหลายชนิด มีน้ำหนักได้มากถึงหนึ่งร้อยล้านจิน(4) สามารถหดได้เล็กเท่าเมล็ดถั่วและขยายได้เท่าภูเขา ผู้ที่เชื่อมจิตเป็นนายของอาวุธวิเศษนี้เพียงนึกคิดก็สามารถกำหนดขนาดและน้ำหนักได้อย่างง่ายดาย น่าเสียดายที่แก่นพลังของอาวุธนี้ถูกแยกออกไปทำให้เหลือพลังเพียงหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น
ฮั่วเฉินเรียกสะเก็ดดาวออกมาโจมตีไปทางทิศของคนทั้งสี่ สะเก็ดดาวพุ่งใส่คนทั้งสี่ด้วยความเร็วดุจเกาทัณฑ์ แม้ความเร็วระดับนี้จะไม่เร็วมากสำหรับผู้ฝึกยุทธระดับจักรพรรดิ แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่มหึมาก็ยังสามารถผลักดันคนทั้งสี่จนปลิวกระเด็นถอยออกไป เวลานี้ฮั่วเฉินที่ถูกพิษเหลือกำลังเพียงสองส่วนบวกกับสะเก็ดดาวที่เหลือกำลังเพียงหนึ่งล้านจินย่อมไม่สามารถโจมตีสังหารครึ่งก้าวเทพยุทธทั้งสี่คนได้ แต่จุดประสงค์ในการโจมตีของฮั่วเฉินเองก็ไม่ได้หมายจะสังหารทั้งสี่คนแต่อย่างใด เขารู้ว่ากำลังที่เหลืออยู่ในขณะนี้ไม่เพียงพอ ฮั่วเฉินอาศัยจังหวะเรียกศาสตราเทพยุทธอีกสี่ชิ้นออกมา แสงสี่สีหมุนวนกันเป็นเกลียว ฮั่วเฉินบีบอัดพลังวิญญาณรวมกับพลังปราณระเบิดออกเป็นห้าสายกระจายเข้าหาศาสตราเทพยุทธ “เถ้าธุลีแหลกสลาย” นี่เป็นอีกหนึ่งเคล็ดพิฆาตของฮั่วเฉิน สะเก็ดดาวถูกพลังสายหนึ่งเข้ากระทบจนพุ่งทะยานดุจดาวตกหายไปจากคลองจักษุของทุกคน
ในเวลานี้คนทั้งสี่กำลังเตรียมพร้อมรับการโจมตีของศาสตราเทพยุทธที่เหลือ พวกเขาเชื่อว่าแม้กำลังที่เหลือของฮั่วเฉินไม่สามารถสังหารพวกเขาพร้อมกันได้ แต่หากฮั่วเฉินทุ่มกำลังทั้งหมดไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง คนผู้นั้นจะต้องตกตายอย่างแน่นอน แต่เมื่อมองออกไปพวกเขาทั้งสี่คนก็ต้องดวงตาเบิกกว้าง ศาสตราเทพยุทธของฮั่วเฉินไม่ได้โจมตีพวกเขาแต่กลับพุ่งตรงเข้าโจมตีใจกลางของต้นไม้วิญญาณโลก
ศาสตราเทพยุทธทั้งสี่ชิ้นหมุนเป็นเกลียวพุ่งเข้าโจมตีบดขยี้แก่นกลางของต้นไม้โลกจนทะลวงไปอีกฝั่งของลำต้น หลังจากทะลุไปแล้วศาสตราเทพยุทธก็พุ่งกระจายออกไปในทิศทางที่ต่างกัน คนทั้งสี่ต่างก็ตกตะลึงไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะหันมามองฮั่วเฉินที่บัดนี้คล้ายตะเกียงที่ขาดน้ำมัน ดวงตาสีทองที่เคยเจิดจ้าค่อยๆหรี่จางลงแต่มุมปากกลับยกยิ้มก่อนที่แววตาจะค่อยๆหม่นลง เกล็ดน้ำแข็งคืบคลานจนปกคลุมร่างกายของฮั่วเฉินด้วยพิษเหมันต์หยก เมื่อไร้พลังปราณต่อต้านพิษก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงยืนตะหง่านในชุดแดงราวกับถูกผนึกไว้แก้วใส หลังจากได้สติจักรพรรดิมายาโจวเสินเป็นคนแรกที่ได้สติพลันตะคอกด้วยความเกรี้ยวกราด “บัดซบ ไอ้คนบัดซบนี่ถึงโจมตีทำลายต้นไม้วิญญาณโลก สารเลว ไอ้คนบัดซบสารเลว” ไป๋ชิงอวิ๋นหางตากระตุกเล็กน้อยก่อนสีหน้าจะกลับมาเรียบเฉย “ดูจากความเสียหายและพลังเบาบางที่ต้นไม้วิญญาณโลกแผ่ออกมาแล้ว หากจะให้ฟื้นฟูสมบูรณ์ดังเดิมคาดว่าคงใช้เวลานับหมื่นปี ในระหว่างนั้นไม่ว่าผู้ใดก็อย่าหมายทะลวงเขตแดนเทพยุทธได้อีก”
คนที่เหลือต่างก็หน้าเปลี่ยนสี จักรพรรดิดาบซวนหยวนหมิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ถึงแม้พวกเราจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นสูงสุดแต่ก็มีชีวิตได้นานที่สุดเพียงสองพันปีเท่านั้น ตอนนี้ข้าผ่านมาแล้วกว่าพันปี ผู้ใดจะอยู่รอได้ถึงหมื่นปีบ้าง” จักรพรรดิขวานเย่ฉานที่เงียบมาตลอดกล่าวว่า “เรื่องอนาคตค่อยว่ากัน ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้พวกเราข้ามเขตแดน ก่อนอื่นเราต้องรวบรวมศาสตราเทพยุทธทั้งหลายกลับมาเสียก่อน”
เย่ฉานมีความคิดในใจ ตัวเขาสร้างชื่อในหมู่จักรพรรดิด้วยเคล็ดขวานผ่าโลกาที่เขาสร้างขึ้นเองร่วมกับขวานคู่กัมปนาทอาวุธระดับจักรพรรดิที่ฮั่วเฉินหลอมสร้างให้ หากเขาสามารถได้รับศาสตราเทพยุทธทั้งห้ามาเพิ่มเติมแล้วล่ะก็ คงจะเกิดประโยชน์แก่เขาไม่น้อย กล่าวจบเย่ฉานก็พุ่งทะยานไปในทิศทางหนึ่งโดยไม่กล่าวคำร่ำลา โจวเสินและซวนหยวนหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าพุ่งทะยานไปในทิศทางที่ต่างกัน ไป๋ชิงอวิ๋นยืนมองร่างสีแดงในผลึกน้ำแข็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังจากไปเช่นกัน หากฮั่วเฉินยังมีชีวิตอยู่คงต้องหัวเราะออกมา อาวุธที่ข้าใชัพลังวิญญาณสะกดพวกเจ้าจะหาพบง่ายๆได้อย่างไร
(1)หนึ่งจั้ง ประมาณ 3.3เมตร
(2)หนึ่งฉื่อ ประมาณ 33เซนติเมตร
(3)หนึ่งชุ่น ประมาณ 3.3เซนติเมตร
(4)หนึ่งจิน ประมาณ 500กรัม
ความคิดเห็น