ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #4 : หอการค้าลมวสันต์

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    ลั่วเฉินได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็มุ่งจากป่ากลับเข้าสู่เมือง “ตอนนี้เป็นเวลายามเซิน(1) ยังพอมีเวลาพอจะจัดการเรื่องราวต่างๆ” ลั่วเฉินไม่ได้กลับจวนแม่ทัพแต่มุ่งตรงไปยังถนนการค้า ถนนการค้าของเมืองปิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจัตุรัส แม้เมืองปิงจะเป็นเพียงเมืองชายแดนแต่ก็มีร้านค้าและแผงขายสินค้าไม่น้อย ร้านค้าส่วนใหญ่จะขายสิ่งของจำเป็นที่นำมาจากเมืองใหญ่ที่ไกลออกไป ทั้งยังรับซื้อสินค้าพื้นเมือง ทั้งของป่าสมุนไพรและวัสดุหายาก บนถนนการค้าแห่งนี้มีหอการค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองแห่ง หอการค้าทั้งสองแห่งนี้จำหน่ายทั้งอาวุธ ชุดเกราะ ยาเม็ดและสมุนไพรวิเศษ 

    หอการค้าที่ใหญ่สุดในเมืองปิงคือหอพันสมบัติของราชสำนักเซี่ย หอการค้านี้ดำเนินการโดยราชวงศ์ไป๋ ทั้งผู้ดูแล เสมียนไปจนถึงยามเฝ้าประตูล้วนนับเป็นขุนนางของราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊ในเมืองปิงหากซื้อสินค้าในหอการค้าแห่งนี้จะมีส่วนลดหนึ่งส่วน  หอการค้าใหญ่อีกแห่งคือหอลมวสันต์ หอการค้านี้เป็นสาขามาจากแคว้นซวนหยวน ข่าวว่าดำเนินการโดยท่านอ๋องอาวุโสผู้หนึ่ง หอการค้าลมวสันต์มีสาขาอยู่แทบทุกเมืองของห้าแคว้น นับเป็นหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดของทวีป มีสินค้าหลากหลายจากทุกแคว้น ว่ากันว่าไม่ว่าจะต้องการสิ่งใดหากมีเงินทองมากพอก็สามารถมาสั่งซื้อจากหอการค้าลมวสันต์แห่งนี้ได้

    ลั่วเฉินอยากขายสมุนไพรหายากสักเล็กน้อยแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เพื่อจะซื้ออุปกรณ์หลอมอาวุธที่จำเป็น ในแหวนดาวตกลั่วเฉินเก็บอุปกรณ์และวัสดุจำนวนมากเอาไว้ แต่เขากลับไม่เคยเก็บเงินทอง เวลานั้นลั่วเฉินไม่เคยคิดว่าตัวเขาที่อยู่ในจุดสูงสุดยังคงจำเป็นต้องใช้เงินอีกต่อไป  ในแหวนดาวตกย่อมมีอุปกรณ์หลอมอาวุธระดับจักรพรรดิ แต่น่าเสียดายที่พลังปราณของลั่วเฉินในยามนี้ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้ได้ อีกทั้งระดับอาวุธที่ลั่วเฉินต้องการสร้างไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือระดับสูง ใช้เพียงอุปกรณ์สามัญก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับลั่วเฉินในการหลอม

    หากเขานำสมุนไพรไปขายและยังซื้ออุปกรณ์การหลอมอาวุธจากหอพันสมบัติหากมีคนจำเขาได้อาจกลายเป็นประเด็นพูดคุยของคนทั้งเมือง คงไม่มีใครเชื่อว่าเด็กน้อยที่ไม่ได้เรียนการหลอมอาวุธมาก่อนอย่างเขาคิดจะเป็นนักหลอมอาวุธ นักหลอมอาวุธในเมืองปิงนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย อีกทั้งยังไม่มีนักหลอมอาวุธระดับสูงแม้แต่คนเดียว ไม่เพียงแต่ไม่มีนักหลอมอาวุธระดับสูงเท่านั้น นักปรุงยาระดับสูงในเมืองชายแดนอย่างเมืองปิงก็ไม่มีเช่นเดียวกัน สินค้าระดับสูงล้วนถูกจัดส่งโดยคาราวานการค้าจากเมืองอื่น จะเห็นว่าได้นักปรุงยา และนักหลอมอาวุธล้วนเป็นบุคคลที่หายากและมีอิทธิพลต่อเมืองอย่างสูง  เมื่อไม่อยากให้ผู้คนนำเขาไปเป็นหัวข้อสนทนาลั่วเฉินจึงเลือกที่จะไปยังหอลมวสันต์

                ลั่วเฉินก้าวเดินเข้าไปในหอลมวสันต์ที่นี่มีการตกแต่งอันวิจิตรงดงาม พอเข้ามาก็พบว่าผนังมีชั้นวางสินค้าอยู่ทั้งสามด้าน ผนังสองฝั่งซ้ายขวาจัดเรียงไว้ด้วยอาวุธนานาชนิด ลั่วเฉินเพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นอาวุธระดับต่ำ ผนังฝั่งตรงกลางเต็มไปด้วยตู้เก็บยาสมุนไพรที่มีป้ายเขียนกำกับไว้  หอการค้าแห่งนี้มีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นที่หนึ่ง จำหน่ายสินค้าทั่วไป ชั้นสอง จำหน่ายสินค้าระดับสูง ชั้นสามเป็นโรงประมูล ส่วนชั้นสี่ลั่วเฉินไม่ทราบว่าใช้ทำสิ่งใดแต่คาดว่าน่าจะเป็นที่พัก ลั่วเฉินเคยมาที่หอการค้านี้มาก่อน กระบี่ที่เขาเคยใช้ก็ซื้อมาจากที่แห่งนี้ 

    ลั่วเฉินเดินตรงเข้าไปหาเสมียนที่ว่างอยู่พลางกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ข้าต้องการขายสมุนไพรหายาก” เสมียนมองชายหนุ่มอย่างพิจารณาก่อนจะกล่าวอย่างสุถาพว่า “คุณชายต้องการขายสมุนไพรใด” ลั่วเฉินนำสมุนไพรห้าต้นออกมาวางบนถาดไม้ที่วางบนโต๊ะหน้าเสมียน ”ข้ามีหลินจือม่วงสามต้น หญ้ากระรอกแดงสองต้น” เสมียนเมื่อมองประเมินสมุนไพรบนถาดอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ”เรียนคุณชาย ข้าผู้แซ่ตู้เป็นเพียงเสมียนของหอการค้าลมวสันต์นี้ คุณชายสามารถเรียกข้าว่าเหล่าตู้ สมุนไพรของคุณชายมีค่ามากข้าไม่อาจตัดสินราคาได้ ขอเชิญท่านที่ห้องรับรองบนชั้นสองดีหรือไม่“  ลั่วเฉินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเสมียนตู้ขึ้นบันไดไป

                บนชั้นสอง การตกแต่งคล้ายกับชั้นแรกแต่พื้นที่จัดแสดงสินค้ามีน้อยกว่า พื้นที่ฝั่งหนึ่งเพิ่มมาด้วยห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องรับรอง ลั่วเฉินมองไปยังสินค้าที่จัดวางในชั้นนี้เห็นว่ามีอาวุธวิญญาณระดับสูงอยู่หลายชิ้น รวมถึงมีอาวุธระดับปฐพีเพียงแต่ประกายเสริมแกร่งของอาวุธเหล่านี้สูงสุดเพียงแค่ห้าส่วนเท่านั้น การหลอมอาวุธนอกจากระดับของวัสดุแล้ว กระบวนการและระดับความชำนาญของผู้หลอมยังทำให้อาวุธที่ได้จะมีความแกร่งที่แตกต่างกัน ลั่วเฉินประเมินระดับความชำนาญของผู้หลอมอาวุธบนชั้นนี้คาดว่าน่าจะเป็นเพียงนักหลอมอาวุธระดับสูงทั่วไป ลั่วเฉินกล่าวถามเสมียนตู้ว่า ”ไม่ทราบว่าหอการค้าของท่านมีอาวุธระดับปฐพีเสริมแกร่ง สิบส่วนหรือไม่” 

    เสมียนตู้ที่กำลังก้าวเดินพลันหยุดชะงัก ก่อนจะหันมายิ้ม “เรียนคุณชาย อาวุธบนชั้นนี้ล้วนเป็นผลงานของปรมาจารย์หลอมอาวุธประจำหอการค้าลมวสันต์ ในการหลอมอาวุธระดับปฐพีมีความสำเร็จสูงสุดคือกระบี่ระดับปฐพีเสริมแกร่งแปดส่วน และนั่นเป็นผลงานของปรมาจารย์หลอมอาวุธหกดารา หอการค้าของเรามีสาขาทั่วทุกแคว้นของทวีปแต่ยังไม่เคยพบอาวุธระดับใดที่เสริมแกร่งสิบส่วนมาก่อน อาวุธเสริมแกร่งสิบส่วนนั้นหากมีอยู่จริงก็อาจเป็นสมบัติในมือของผู้สูงศักดิ์บางท่าน” ลั่วเฉินได้ฟังรู้สึกประหลาดใจ “นี่คือผลงานระดับปรมาจารย์อย่างนั้นรึ ไม่ทราบหอการค้าของท่านมีอาวุธระดับนภาหรือไม่” เสมียนตู้ยังคงยิ้มแย้ม “แน่นอนว่ามี หอการค้าของเรามีปรมาจารย์หลอมอาวุธเจ็ดดาราที่สามารถหลอมอาวุธระดับนภาได้ แต่เนื่องจากเป็นสินค้าพิเศษ ท่านจำเป็นต้องจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าและราคาอาจจะสูงอยู่บ้าง”  

    “แล้วอาวุธระดับจักรพรรดิล่ะ” ลั่วเฉินถามอีกครั้ง ครานี้รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าเสมียนตู้ พลางกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “คุณชาย อาวุธระดับจักรพรรดิล้วนเป็นสมบัติของราชวงศ์ ขอคุณชายท่านอย่าเอ่ยล้อเล่นอีกดีหรือไม่”  ลั่วเฉินมองใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปของเสมียนตู้พลันมีความคิดบางอย่างในใจ ”แล้วบรรดาศิษย์ของข้าเล่า วิชาการหลอมอาวุธที่ข้าถ่ายทอดให้เหล่าศิษย์ไปอยู่ที่ใด เหตุใดระดับการหลอมอาวุธผ่านเวลาไปไม่ถึงพันปีจึงตกต่ำลงถึงเพียงนี้” แม้จะยังสงสัยแต่ลั่วเฉินตัดสินใจพักเรื่องนี้ไว้ก่อน ตอนนี้สำหรับเขาเพียงทำสิ่งต่างๆไปทีละขั้นน่าจะดีที่สุด  ลั่วเฉินก้าวตามเสมียนตู้เข้าไปในห้องรับรองก็เห็นชายชราสองคนกำลังนั่งสนทนากันอยู่ ทั้งสองล้วนเป็นผู้ดูแลระดับสูงของหอการค้าลมวสันต์ เสมียนตู้เอ่ยด้วยความเคารพว่า “เรียนท่านผู้ดูแล คุณชายท่านนี้นำสมุนไพรหายากมาขาย รบกวนท่านทั้งผู้ดูแลช่วยประเมินราคาขอรับ” กล่าวจบพลางนำถาดไม้วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของชายชรา

    ชายชราทั้งสองพิจารณาสมุนไพรทั้งห้าต้นที่อยู่ในถาดไม้ครู่หนึ่ง ชายชราชุดขาวหันมากล่าวกับลั่วเฉิน “คุณชายเชิญนั่งลงสนทนากัน” ชายชราชุดขาวเป็นผู้ดูแลหอการค้าลมวสันต์สาขาเมืองปิง “ข้าเรียกว่าหูเซียนฟา ท่านสามารถเรียกข้าว่าผู้ดูแลหู ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอย่างไร” ลั่วเฉินประเมินชายชราทั้งสองก็พบว่าทั้งคู่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนปฐพีขั้นกลาง เขาตอบกลับอย่างสุภาพ “ข้าแซ่ลั่วนามเฉิน ผู้ดูแลหูสามารถเรียกข้าว่าลั่วเฉินหรือจะเรียกว่าเสี่ยวเฉิน ก็ได้” 

    ผู้ดูแลหูพยักหน้าก่อนจะกล่าว “สมุนไพรที่คุณชายลั่วเฉินนำมามีค่ามาก หลินจือม่วงนี้อายุมากกว่าห้าร้อยปี ส่วนหญ้ากระรอกแดงก็อายุพอกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสมุนไพรล้ำค่า ทั้งห้าต้นนี้คิดให้ท่านห้าร้อยเหรียญทองดีหรือไม่ และหากท่านบอกบริเวณที่พบสมุนไพรเหล่านี้แก่ทางหอการค้า เราจะให้ท่านเพิ่มอีกห้าร้อยเหรียญทองเป็นอย่างไร” ลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ “หากข้าบอกสถานที่แก่ท่านแล้วท่านไม่พบสิ่งใดจะโทษว่าข้าหรือไม่” ชายชราเอ่ยตอบว่า “ย่อมไม่อาจกล่าวโทษท่าน” ลั่วเฉินยังคงถามต่อ “แล้วหากข้าบอกท่านว่าข้าพบสมุนไพรเหล่านี้ลึกเข้าไปในป่าไผ่ม่วงไม่ถึงสิบลี้ท่านจะว่าอย่างไร” ชายชราส่ายศีรษะ “หากคุณชายไม่อยากบอกก็แล้วกันไปเถอะ ระยะทางเพียงเท่านั้นนั้นสมุนไพรเหล่านี้จะอยู่รอดมาหลายร้อยปีได้อย่างไร เอาเป็นว่าหากคุณชายพบของดีเช่นนี้อีก โปรดคิดถึงหอการค้าลมวสันต์เราก่อน” ลั่วเฉินคิดในใจอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เงินกินเปล่ายังคงไม่อาจได้รับมาโดยง่าย” 

    เมื่อตกลงราคาขายได้ ลั่วเฉินก็ถามต่อไปว่า “ขอเรียนถามผู้ดูแลหู หอการค้าลมวสันต์ของท่านมีตำราหลอมอาวุธขายหรือไม่ ราคาเป็นอย่างไร” ชายชรามองลั่วเฉินอย่างประหลาดใจเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า ”แน่นอนว่าต้องมี หอการค้าของเรามีตำราหลอมอาวุธโบราณที่ค่อนข้างหายาก ตกทอดกันมาหลายร้อยปี ตำราหลอมอาวุธนี้ราคาสองร้อยเหรียญทอง หากคุณชายต้องการข้าสามารถให้ส่วนลดคุณชายได้หนึ่งส่วน” 

    ลั่วเฉินรู้สึกสนใจตำราโบราณเล่มนี้ จึงกล่าวโดยตรง “ข้าต้องการตำรานี้และยังต้องการอุปกรณ์หลอมอาวุธขั้นต้นอีกหนึ่งชุด รบกวนผู้ดูแลหูคิดราคาส่วนลดให้ข้าด้วย” หูเชียนฟาแม้จะยังรู้สึกแปลกใจแต่ก็ยังคลี่ยิ้มอย่างใจดี ”ตำราหลอมอาวุธโบราณกับชุดอุปกรณ์การหลอมขั้นต้นอีกหนึ่งชุดราคารวมสามร้อยเหรียญทอง ลดให้ท่านหนึ่งส่วนเหลือสองร้อยเจ็ดสิบเหรียญทองคุณชายเห็นเป็นอย่างไร” ลั่วเฉินรู้สึกว่าราคาสมเหตุสมผลจึงพยักหน้า “ขอบคุณท่านผู้ดูแลหู ในอนาคตหากมีสิ่งดีข้าจะคิดถึงหอการค้าท่านเป็นที่แรก” ผู้ดูแลหูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนกล่าวส่งแขก ลั่วเฉินตามเสมียนตู้ไปรับตั๋วเงินพร้อมกับสินค้าที่สั่งซื้อ หลังจากลั่วเฉินเดินจากไปผู้ดูแลหูหันไปกล่าวกับชายชราชุดเขียว “ท่านคิดเห็นอย่างไร” ชายชราชุดเขียวจิบน้ำชาก่อนกล่าวว่า “เป็นชายหนุ่มที่ดูน่าสนใจ” กล่าวพลางมองไปทิศทางที่ลั่วเฉินจากไป

    เมื่อออกจากหอการค้าลมวสันต์ลั่วเฉินก็เปิดตำราหลอมอาวุธโบราณในมือก่อนจะอ่านอย่างพิจารณา เพียงไม่นานเขาก็สบถในใจ “นี่มันขยะอะไรกัน ข้าถึงกับเสียเงินที่จวนแม่ทัพใช้จ่ายได้ถึงสามปีเพื่อขยะนี้” แน่นอนว่าสำหรับระดับความรู้ของลั่วเฉินเขาไม่ต้องการตำราหลอมอาวุธใดอีก เพียงแต่หากเขาไม่มีตำราหลอมอาวุธนี้ หากจะสร้างห้องหลอมอาวุธที่จวนแม่ทัพ ท่านย่าจะต้องสอบถามและเขาก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร “หากข้าเขียนเคล็ดการหลอมอาวุธซักเล็กน้อยออกมาขาย ข้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองอีก” แน่นอนว่าลั่วเฉินไม่คิดจะเขียนตำราออกมาจริงๆ ก่อนที่เขาจะทราบเหตุผลการหายไปของศิษย์นักหลอมอาวุธของเขา ลั่วเฉินยังไม่คิดถ่ายทอดเคล็ดการหลอมให้ผู้ใด สำหรับลั่วเฉินหากต้องการเงินทองเขายังมีวิธีการมากมายซึ่งง่ายกว่าการเขียนตำรา  

    ลั่วเฉินแวะไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าก่อนจะให้เถ้าแก่เนี้ยวัดตัวตัดเย็บชุดคลุมสีแดงเข้ารูปสามตัว เขารู้สึกว่าชุดสีแดงเหมาะกับเขาที่สุดจึงเลือกวัสดุเป็นผ้าไหมเนื้อดีที่สุดในร้าน สำหรับชุดสามตัวนี้ลั่วเฉินจ่ายเงินไปถึงเก้าเหรียญทอง เมื่อเดินไปตามถนนมุ่งกลับจวนแม่ทัพลั่ว ขณะกำลังเดินอย่างสบายอารมณ์ลั่วเฉินมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังประคองกันเดินอย่างยากลำบากอยู่ด้านหน้าเขา ลั่วเฉินแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะตะโกน “โอ้ นั่นนายน้อยกวงไม่ใช่หรือ” คนกลุ่มนี้ก็คือกวงหมิงกับบรรดาลูกสมุนนั่นเอง 

    ลั่วเฉินตะโกนเสียงดัง ฝูงชนรอบๆต่างพากันหันมามอง กวงหมิงหางตากระตุกก่อนจะแสร้งเดินต่อไปทำเหมือนไม่ได้ยิน เนื่องจากไม่ได้เตรียมความพร้อม สิ่งของที่กวงหมิงพกพาเข้าไปในป่าจึงเพียงอาวุธและของเล็กน้อย เมื่อต้องล้างสิ่งสกปรกจึงไม่สะอาดนักและเสื้อผ้ายังคงส่งกลิ่นเหม็น ลั่วเฉินเร่งก้าวตามพร้อมยังตะโกนเสียงดัง “นายน้อยกวงท่านรีบเร่งเดินทางไปที่ใด ยามขับถ่ายถึงกับไม่หยุดถ่ายให้เรียบร้อย” ฝูงชนที่ได้ยินถึงกับเอามือขึ้นมาปิดจมูกพลางส่งเสียงซุบซิบ กวงหมิงเป็นอันธพาลขึ้นชื่อของเมืองปิง ชาวบ้านทั้งหลายย่อมรู้จักเป็นอย่างดี กวงหมิงหน้าชาทั้งที่ยังคงเจ็บแผลแต่ก็เร่งเดินหนีไป ลั่วเฉินเองก็ไม่มีอารมณ์จะตอแยอีก สำหรับตัวตลกเหล่านี้ความจริงแล้วเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก

    (1)ยามเซิน 15.00-16.59น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×