ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #3 : นับว่าพวกเจ้าโชคร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    ลั่วเฉินได้เสี้ยววิญญาณในชีวิตก่อนกลับมาบางส่วน แม้จะไม่อาจทำให้การฝึกฝนของเขาพุ่งทะยาน แต่การรวมกันของพลังวิญญาณสองชาติภพทำให้จิตสำนึกวิญญาณของเขาสูงกว่าคนทั่วไปมาก อีกทั้งยังมีประสบการณ์มากมายภายในห้วงความทรงจำที่เขาสามารถนำมาใช้ได้ ”ตอนนี้ข้าควรจะหลอมสร้างอาวุธไว้ติดตัวสักเล่ม การเรียกสะเก็ดดาวออกมาใช้โจมตีหากไม่ระวังแล้วมีคนพบเห็น ด้วยระดับพลังฝึกฝนของข้าในตอนนี้อาจจะสร้างความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ข้าต้องหลอมอาวุธที่ดูธรรมดาสามัญไว้ใช้ก่อน ป่าแห่งนี้เหมือนจะมีสัตว์อสูรระดับปฐพีอยู่หลายตัว ลองตามหาดูก่อนอาจจะโชคดีพบสิ่งที่ต้องการ” 

    ลั่วเฉินค่อยๆแผ่สำนึกวิญญาณออกไปสำรวจ เขาพบว่าด้วยพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้แม้จะมากกว่าคนทั่วไปแต่ด้วยพลังการฝึกฝนที่ต่ำทำให้ระยะทางที่ตรวจสอบได้นั้นทำได้เพียงไม่กี่สิบหมี่(1)เท่านั้น หากจะใช้จิตสำนึกทางวิญญาณตรวจสอบการคงอยู่ของสิ่งที่เขาต้องการกว่าจะเจอคงต้องเข้าไปใกล้มาก วิธีการที่ใช้ได้จริงในตอนนี้คือการแกะรอยหรือการใช้เหยื่อล่อให้สัตว์อสูรมาหาเขาเอง ลั่วเฉินตรวจสอบร่องรอยโดยรอบของป่าไผ่อย่างละเอียดก่อนจะพบเบาะแสบางอย่าง “นี่คือรอยเขี้ยวของจักจั่นเงินปีกเขียวที่ดูดน้ำเลี้ยงของต้นไผ่ม่วง บริเวณนี้ต้องมีจักจั่นเงินปีกเขียวอยู่ ก่อนหน้านี้ข้าวางกับดักจับหนูดินหางเหลืองเอาไว้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จักจั่นเงินปีกเขียวชอบกินมาก ถ้าจับได้จำนวนมากบวกกับเคล็ดเล็กน้อยของข้า ข้าสามารถล่อจักจั่นเงินปีกเขียวมาได้อย่างแน่นอน”

    ในขณะที่ลั่วเฉินกำลังวางแผนจัดการกับจักจั่นเงินปีกเขียวอยู่นั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งก็กำลังวางแผนร้ายอยู่เช่นกัน ในพื้นที่ที่ลั่วเฉินวางกับดักหนูดินหางเหลืองมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บกับดักที่ลั่วเฉินวางไว้ “พี่กวงท่านดูสิ เจ้าลั่วเฉินมันโชคดีเสียจริงที่ดักได้หนูดินหางเหลืองมากเพียงนี้” ชายคนที่ถูกเรียกว่าพี่กวงก็คือกวงหมิง บุตรชายรองแม่ทัพที่มีเรื่องกับลั่วเฉินมาก่อนนั่นเอง ระหว่างที่ลั่วเฉินเดินทางออกจากเมืองก็มียามเฝ้าประตูเมืองคนหนึ่งที่เป็นลิ่วล้อของกวงหมิงรายงานให้มันทราบ “จิ๊จิ๊ โชคดีงั้นรึ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าหนูพวกนี้เป็นของพวกเราแล้วรึไง ถ้าเจ้าลั่วเฉินมันกลับมาแล้วเห็นพวกเราแย่งเหยื่อมันไปแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้ แค่คิดข้าก็อยากจะหัวเราะแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” กวงหมิงหัวเราะด้วยความลำพองใจ วันก่อนตัวมันพร้อมลูกสมุนอีกสี่คนนั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านสุราแห่งหนึ่งในตัวเมือง ด้วยนิสัยหยิ่งผยองและความมึนเมาจากฤทธิสุรา ลั่วเฉินที่บังเอิญเดินผ่านมาจึงตกเป็นเป้าล้อเลียนจนเกิดการวิวาทขึ้น

    แต่ถึงแม้กวงหมิงกับเหล่าสมุนจะมีขั้นการฝึกฝนสูงกว่า กลับไม่สามารถทำอะไรลั่วเฉินที่มีขั้นการฝึกฝนต่ำกว่าได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเพลงหมัดตระกูลลั่วที่ทรงพลังหรือเพราะฤทธิสุรา  ลั่วเฉินที่ควรถูกทุบตีเพียงฝ่ายเดียวกลับต่อสู้ได้อย่างเข้มแข็งจนต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งตัวมันยังถูกถอนฟันไปหลายซี่ ครั้งนี้เมื่อได้ยินจากลูกสมุนว่าลั่วเฉินเดินทางคนเดียวเข้าป่าไผ่ม่วง กวงหมิงจึงจงใจนำบรรดาลูกสมุนมาด้วยสิบคนหมายจะจัดการลั่วเฉินให้เจ็บแสบ 

                “สุราอยู่ที่ผู้ใดเจ้านำสุราออกมาให้ทุกคนได้ดื่มกัน พวกเจ้าคนหนึ่งไปก่อไฟ เราจะย่างหนูพวกนี้แกล้มสุรา” บริเวณนี้นับว่าเป็นเขตที่ไม่ถือว่าอันตราย บวกกับพลังฝึกฝนของพวกมันล้วนอยู่ระหว่างแดนก่อกำเนิดขั้นที่สี่จนถึงแดนก่อกำเนิดขั้นที่หก พวกมันย่อมไม่หวาดกลัวสถานที่นี้ เหล่าสมุนกุลีกุจอก่อไฟประกอบอาหารพร้อมกับล้อมวงร่ำสุรา หลังจากผ่านสุราไปหลายรอบ กินหนูย่างชิ้นโตไปหลายชิ้น คนทั้งหลายที่กำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหนึ่งของป่า

    เป็นลั่วเฉินเองที่กลับมา แน่นอนว่าลั่วเฉินสังเกตเห็นกลุ่มคนเหล่านี้ตั้งแต่ระยะไกล เมื่อเห็นเหล่าบรรดาคนคุ้นหน้าเหล่านี้ลั่วเฉินก็หัวเราะในใจ “นี่เรียกว่าอยู่ดีๆก็แสวงหาความตายสินะ นับว่าพวกเจ้าโชคร้ายที่มาเจอข้าเวลานี้” คิดแล้วลั่วเฉินพลางนำกระดูกสัตว์ชิ้นเล็กๆออกจากวงแหวน ก่อนจะวาดมือทำสัญลักษณ์ ชั่วขณะเศษกระดูกพลันเกิดลวดลายอักขระบางอย่างสว่างขึ้นก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเตรียมการเรียบร้อยลั่วเฉินก็ก้าวเดินเข้าหากลุ่มคน สำหรับกลุ่มคนที่มีพลังฝีมือเพียงเท่านี้ หากลั่วเฉินต้องการลงมือสังหารย่อมไม่ยากเย็นแต่อย่างใด แต่ลั่วเฉินไม่มีความคิดที่จะสังหารคนกลุ่มนี้เนื่องด้วยความผิดของคนกลุ่มนี้ไม่ร้ายแรงถึงโทษตาย

    ลั่วเฉินเดินเข้าหากลุ่มคนพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจพลางกล่าว ”พวกเจ้า นี่พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด หากพวกเจ้าต้องการหนูดินใยจึงไม่ลงมือล่าเอง เหตุใดจึงต้องขโมยเหยื่อของข้าแถมยังทำลายกับดักอุปกรณ์ของข้า” กลุ่มคนเมื่อได้เห็นลั่วเฉินและได้ยินสิ่งที่ลั่วเฉินกล่าวพลันระเบิดเสียงหัวเราะ กวงหมิงระเบิดเสียงหัวเราะดังที่สุด มันส่งเสียงตะโกนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าบอกว่าเป็นของเจ้าก็เป็นของเจ้างั้นรึ ถึงเป็นของเจ้าจริงหากข้าต้องการแล้วเจ้าจะทำอย่างไร มาสิหากมีความสามารถเจ้าก็ลองเข้ามาแย่งกลับคืนไป”

     เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นอีกครั้ง ลั่วเฉินฉวยโอกาสขณะที่กลุ่มคนไม่ทันสังเกตดีดเศษกระดูกด้วยปลายนิ้ว เศษกระดูกตกลงไปบริเวณใกล้กองไฟกับถุงตาข่ายที่บรรจุหนูดิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วลั่วเฉินก็แสดงสีหน้าเดือดดาล พลางกัดฟันกล่าวว่า “พวกเจ้า สวรรค์จะต้องลงโทษพวกเจ้า” กล่าวจบพลันวิ่งทะยานไปทิศทางตรงข้ามของกลุ่มคน กลุ่มคนที่กำลังหัวเราะต่างพากันตกตะลึง ลิ่วล้อคนหนึ่งกล่าวว่า “เหตุใดมันจึงวิ่งหนีรวดเร็วเพียงนี้ ปกติเจ้าหมอนี่ไม่ใช่กล้าหาญไม่เจียมตนหรอกรึ” ลิ่วล้ออีกคนหนึ่งรีบกล่าวอย่างประจบประแจง “เจ้าคนขี้ขลาดนี่ หากไม่ฉวยโอกาสยามที่พี่กวงเมาสุราแล้วล่ะก็เห็นพี่กวงก็คล้ายดั่งนกหวาดเกาทัณฑ์ ไหนเลยจะมีความกล้าต่อสู้” 

    กวงหมิงหัวเราะชอบใจ “มาเถอะ พวกเรามาดื่มกินกันต่อ ว่าแต่เหตุใดเนื้อหนูนี่ถึงได้ส่งกลิ่นหอมถึงเพียงนี้ พวกเจ้าคนใดนำเครื่องปรุงรสพิเศษบางอย่างมาด้วยงั้นรึ” บรรดาลิ่วล้อต่างมองหน้ากัน แต่ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยตอบก็มีเสียงแหลมแสบหูพุ่งเข้าโสตประสาทของผู้คน กลุ่มคนต่างยืนขึ้นพร้อมกับชักอาวุธ “เสียงนี้คืออะไร นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น” คนหลายคนสบถออกมา แต่ไม่ต้องให้ผู้คนสงสัยนานเกินไป ที่มาของเสียงก็พุ่งเข้าหากลุ่มคนจากทุกทิศทาง จักจั่นเงินปีกเขียวขนาดเท่าแม่ไก่จำนวนนับร้อยต่างพุ่งบินเข้าหากลุ่มคน จักจั่นเงินปีกเขียวที่มาส่วนใหญ่ล้วนเป็นสัตว์อสูรระดับสอง เทียบได้กับผู้ฝึกฝนแดนก่อกำเนิดขั้นปลาย ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าแถมพละกำลังยังเสียเปรียบ กลุ่มคนแม้จะมีอาวุธวิญญาณและเคล็ดวิชาการต่อสู้ก็ยังไม่อาจต้านทานได้ คนสิบกว่าคนก็ถูกโจมตีอย่างบอบช้ำ กวงหมิงคำรามว่า ”เหตุใดจักจั่นเหล่านี้ถึงกับรวมตัวกันโจมตีผู้คน หรือพวกมันจะสามารถได้กลิ่นหนูพวกนี้จากระยะไกลอย่างนั้นรึ”

    ความจริงย่อมไม่เป็นเช่นนั้น จักจั่นเงินปีกเขียวแม้จะเป็นสัตว์อสูรที่มีความไวต่อกลิ่น แต่ก็ไม่สามารถได้กลิ่นจากระยะไกล เพียงแต่เศษกระดูกที่ลั่วเฉินโยนไว้นั้นลงไว้ด้วยอักขระเสริมพลังธาตุ กระดูกค่อยๆปล่อยพลังธาตุลมกระจายกลิ่นของหนูดินหางเหลืองออกไปหลายสิบลี้ ทั้งหนูในตาข่ายที่จักจั่นเงินปีกเขียวชื่นชอบอยู่แล้วกับกลิ่นหนูย่างที่กระตุ้นความอยากอาหารของพวกมันมากขึ้นไปอีก จักจั่นเงินปีกเขียวในระยะหลายสิบลี้จึงพากันรวมตัวเข้าโจมตี ยามปกติในเวลากลางวันดวงตาของจักจั่นเงินปีกเขียวจะมองไม่ชัดเท่ายามค่ำคืนจึงใช้การดมกลิ่นเป็นหลัก เวลานี้พวกมันจึงโจมตีทั้งตัวหนูและบรรดาผู้คนที่ทั้งจับหนูดินที่ยังเป็นๆและกินหนูดินย่างอย่างบ้าคลั่ง จักจั่นหลายตัวจับตัวหนูได้ก็บินจากไป แต่ก็ยังมียังมีบางส่วนที่ยังคงพัวพันกับกลุ่มคน คนกว่าสิบคนต่างก็มีโลหิตไหลย้อยย้อมเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า บรรดาจักจั่นเองก็ไม่ดีกว่ากันเท่าไรนัก มีทั้งบาดเจ็บและตกตายไปหลายตัว 

    เวลานี้ลั่วเฉินกำลังยืนชมความสนุกอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป เดิมทีลั่วเฉินวางแผนที่จะใช้พวกหนูล่อฝูงจักจั่นออกมาแล้วใช่สะเก็ดดาวจัดการกับตัวจ่าฝูง แต่วิธีนี้จะมีขั้นตอนยุ่งยากเล็กน้อยในการจัดการกับฝูงจักจั่นที่เหลือ เมื่อตอนนี้มีคนเสนอตัวมาจัดการปัญหาให้ ลั่วเฉินจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ช่างเป็นกลุ่มคนที่ดีอะไรอย่างนี้” ลั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

    ขณะนั้นเองก็มีแสงสีเขียวพุ่งมาด้วยความเร็วดั่งเกาทัณฑ์มาจากทิศทางหนึ่ง “ที่ควรมาก็มาแล้ว” ลั่วเฉินคิดในใจพลางหยิบกระบี่ออกมา กระบี่นี้เป็นเพียงกระบี่เหล็กกล้าธรรมดา ตัวกระบี่มีรอยบิ่นจากการใช้งานอยู่พอสมควร ลั่วเฉินใช้เงินสิบเหรียญเงินซื้อมาเมื่อปีก่อน แม้จะเป็นเพียงเงินเพียงเล็กน้อยในสายตาบุตรหลานแม่ทัพคนอื่น แต่สำหรับลั่วเฉินยังคงเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร “หากข้าโจมตีเจ้านั่นโดยตรง ด้วยเศษเหล็กนี้แม้จะใช้พลังเพียงห้าส่วน เศษเหล็กนี้คงจะแตกสลาย ดีที่ตอนนี้ข้ายังมีตัวล่ออยู่มากมาย”

    กวงหมิงยามนี้บาดเจ็บบอบช้ำไปทั้งตัว ในบรรดาผู้คนทั้งหมด มันเป็นคนที่กินหนูดินย่างไปมากที่สุด หนูดินย่างทั้งช่วยเพิ่มพลังปราณและรสชาติยังอร่อย  หลังจากปรุงรสด้วยเครื่องปรุงอย่างดีจึงหอมยิ่งนัก เมื่อย่างหนูจนหนังกรอบยามกัดลงไปหลังจากได้ยินเสียง “กรุบ” ไขมันใต้ผิวหนังและเนื้อด้านในที่หอมนุ่มก็จะกระจายรสเข้มข้นเต็มปากเต็มคำ อีกทั้งยังเป็นหนูที่แย่งชิงจากคู่อริกวงหมิงจึงยิ่งกินยิ่งสะใจ

    เพียงแต่เวลานี้มันกลับรู้สึกสำนึกเสียใจ “นี่ข้าเป็นหมูหรือไง เหตุใดข้าจึงสวาปามหนูบ้านี่ไปมากถึงเพียงนี้” ระหว่างที่กวงหมิงกำลังกร่นด่าตนเองก็พลันมีเสียง “หวึ่ง หวึ่ง” ดังขึ้นเหนือศีรษะ กวงหมิงสะดุ้งตกใจจนเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นจักจั่นตัวหนึ่งบินวนอยู่เหนือศีรษะสูงขึ้นไปห้าถึงหกหมี่ จักจั่นตัวนี้ตัวใหญ่กว่าตัวอื่นเพียงเล็กน้อยแต่มีความพิเศษตรงที่ปีกและเขี้ยวมีสีเขียวสว่างสดใส อีกทั้งยังปลดปล่อยรัศมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าจักจั่นตัวอื่นอย่างเห็นได้ชัด 

    “นี่คงเป็นตัวจ่าฝูงสินะ อย่างน้อยพลังนี้น่าจะไม่ต่ำกว่าแดนปฐพีขั้นต้น เห็นทีวันนี้ข้าคงต้องเป็นผีเฝ้าป่าที่นี่แล้ว” กวงหมิงคิดตำหนิตนเองด้วยความหวาดกลัว ขณะนั้นเองจักจั่นจ่าฝูงก็อ้าปากกางเขี้ยวบินพุ่งเข้าหากวงหมิง กวงหมิงมองเขี้ยวสีเขียวยาวแหลมที่มีของเหลวสีดำน่าขยะแขยงยืดไหลย้อยด้วยใจที่สั่นสะท้านหนังศีรษะชาไปชั่วขณะ มือไม้แข้งขาอ่อนแรงทรุดตัวลงกับพื้น เขื่อนเบื้องล่างทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนแตกทะลายทะลักออกมา

    เมื่อคมเขี้ยวจักจั่นจ่าฝูงห่างจากกวงหมิงเพียงครึ่งหมี่ก็มีปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งเฉียดท้ายทอยของกวงหมิงเข้าปากที่กำลังอ้ากว้างของจักจั่นจ่าฝูง จักจั่นจ่าฝูงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดได้เพียงพริบตาก็ร่วงหล่นสูญเสียชีวิตไป กวงหมิงมองซากไร้ชีวิตของจักจั่นจ่าฝูงเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง ร่างกายดั่งกลายเป็นหินก่อนที่จะมีร่างหนึ่งเดินเข้ามาหยิบซากนั้นขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “โอ้ นั่นไม่ใช่คุณชายกวงผู้ยิ่งใหญ่หรอกรึ เหตุใดขับถ่ายไม่เลือกที่อย่างนั่นเล่า อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะถอดกางเกงออกก่อนไม่ใช่หรือ” กวงหมิงเงยหน้าตามเสียงก่อนจะเห็นว่าผู้มาก็คือลั่วเฉินที่วิ่งหนีไปก่อนหน้านี้ กวงหมิงตั้งสติก่อนจะตวาด “เจ้า..” แต่ก่อนที่จะได้กล่าวคำที่เหลือ ลั่วเฉินก็หยิบกระบี่ที่ร่วงบนพื้นขึ้นมาพลันฟาดฟันกระบี่ออกมาหลายสาย ปราณกระบี่วูบไหวรวดเร็วจนกวงหมิงมองจนตาพร่ามัว จักจั่นที่เหลืออีกหกตัวต่างร่วงหล่นลงมาบนพื้น 

    ลั่วเฉินก้าวเดินแบบสบายๆเข้าหาซากจักจั่นที่อยู่บนพื้น ก่อนจะเก็บซากจักจั่นราวยี่สิบตัวใส่ลงในถุงตาข่าย ลั่วเฉินมองซากจักจั่นตัวสุดท้ายก่อนจะทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะโยนกระบี่ที่หยิบมาพร้อมซากจักจั่นหนึ่งตัวให้กับกวงหมิง “จริงๆแล้วผลงานของพวกเจ้าไม่สมควรได้รับรางวัล แต่ข้าเป็นคนมีน้ำใจ เห็นแก่ที่เจ้าทุ่มเทต่อสู้แม้จะอยากถ่ายทุกข์ก็ยังยอมถ่ายไปด้วยสู้ไปด้วย เมื่อเจ้าแสดงความกล้าหาญเช่นนี้ข้าจะแบ่งซากจักจั่นตัวนี้ให้เจ้าถือเป็นรางวัลน้ำใจจากข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” 

    กล่าวจบลั่วเฉินก็ไม่สนใจคนที่เหลือก้าวเดินจากไปอย่างสบายใจ บรรดาลูกน้องของกวงหมิงที่ยังพอมีกำลังยืนไหวต่างมองไปทางกวงหมิงด้วยสายตาที่หลากหลาย บ้างเห็นใจ บ้างรู้สึกรังเกียจ กวงหมิงใบหน้าดั่งสีตับหมู หากยังมีพละกำลังเหลือ มันก็หมายจะพุ่งไปฉีกกระชากลั่วเฉินเป็นชิ้นๆ แต่เวลานี้ไร้เรี่ยวแรงจึงทำได้เพียงมองดูลั่วเฉินจากไป

    (1)เมตรจีน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×