คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ทัพเฟิงประชิด
เวลาผ่านไปสามวันนอกจากสหายทั้งสี่คนก็ไม่มีผู้ใดมารบกวนลั่วเฉินอีก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการหลอมสร้างชุดเกราะอ่อนที่รับคำสั่งซื้อไว้ก่อนหน้านี้ ในสองวันแรกเซียวหลิงซีกับหานอี้หนิงนอกจากเวลานอนแทบจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่ที่เรือนของลั่วเฉิน หานอี้หนิงพยายามใช้การประลองกับเซียวหลิงซีกับลั่วเฉินเพื่อกดดันตนเองแต่นางก็ยังคงไม่สามารถฝ่าทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าได้สำเร็จ อาจเป็นเพราะนางรู้ว่าคนทั้งสองย่อมไม่ทำร้ายนางจึงไม่อาจสร้างสถานการณ์กดดันจนสามารถทะลวงฝ่าเขตแดนได้
“วิชาลับของเจ้าสามารถเพิ่มพูนพลังฝึกฝนแดนปฐพีได้หรือไม่” เซียวหลิงซีกล่าวถามกับลั่วเฉินขณะที่นางกับหานอี้หนิงพักจากการฝึกฝน ลั่วเฉินพยักหน้ารับ “ย่อมสามารถทำได้ แต่จะต้องผสานร่วมกับยาเม็ดระดับปฐพีหรือใช้แร่ชนิดหนึ่งแต่ข้าไม่เคยพบเห็นแร่ชนิดนี้ในหอการค้าทั้งในเมืองปิงและเมืองเฟิง” “ยาเม็ดระดับปฐพีเป็นของหายากยิ่งนัก ในแคว้นเซี่ยมีเพียงสมาคมหลอมโอสถและตระกูลซูเท่านั้นที่สามารถหลอมสร้างยาเม็ดนี้ได้ ส่วนแร่ที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นคือสิ่งใด” เซียวหลิงซีไม่เคยได้ยินเรื่องการใช้แร่ยกระดับการบ่มเพาะมาก่อนจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“มันคือหยกวิญญาณ สิ่งนี้ได้ดูดซับพลังวิญญาณของผืนปฐพีและยังมีต้นไม้วิญญาณโลกหล่อเลี้ยงมานับหมื่นปี บางก้อนอาจจะถึงหลายแสนปีจึงสามารถช่วยเร่งการบ่มเพาะของผู้ฝึกฝนแดนปฐพีจนถึงแดนจักรพรรดิได้ หากต้องการจะเร่งการบ่มเพาะแดนปฐพีจำเป็นต้องตามหาหยกวิญญาณที่มีสีเหลือง” ลั่วเฉินกล่าว เซียวหลิงซีรู้สึกมึนงง “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องหยกวิญญาณมาก่อน อีกทั้งต้นไม้วิญญาณโลกคือสิ่งใด”
ลั่วเฉินเองก็รู้แปลกใจ เหตุใดศิษย์สำนักใหญ่อย่างเซียวหลิงซีจึงไม่ทราบเกี่ยวกับหยกวิญญาณ อีกทั้งเรื่องใหญ่อย่างต้นไม้วิญญาณโลกนางก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน “ข้าขอถามท่านสักหน่อยปกตินอกจากยาเม็ดแล้ว ผู้ฝึกฝนตั้งแต่แดนปฐพีขึ้นไปใช้วิธีการใดช่วยเร่งการบ่มเพาะ” เซียวหลิงซีหยุดคิดชั่วครู่ “หากเป็นผู้ฝึกฝนทั่วไปย่อมต้องใช้ยาเม็ดเป็นตัวเร่งการบ่มเพาะ แต่หากเป็นกองกำลังใหญ่ภายในสำนักจะมีพลังวิญญาณที่เข้มข้นกว่าพื้นที่ภายนอกมาก นี่จึงทำให้ผู้คนมากมายอยากที่จะเข้าเป็นศิษย์ของกำลังใหญ่ ในสำนักงานใหญ่ของสมาคมหลอมอาวุธและสมาคมหลอมโอสถก็ได้ยินมาว่ามีพลังวิญญาณที่เข้มข้นเช่นกัน”
ลั่วเฉินได้ฟังคล้ายพบเบาะแสบางอย่าง เรื่องนี้จำเป็นต้องไปพิสูจน์ด้วยตนเองจึงต้องพักไว้ก่อน “การใช้หยกวิญญาณเป็นวิธีการที่ข้าค้นพบในตำราโบราณ คิดไม่ถึงว่าวิธีการนี้จะสูญหายไปแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องราวในเมืองปิงเราจะลองไปตามหาสิ่งนี้กันดู” เซียวหลิงซีกับหานอี้หนิงต่างพยักหน้าเห็นด้วย ในวันที่สามหวังเค่อและหยางป๋อก็กลับมา ชายหนุ่มทั้งสองคนกลับมาด้วยสภาพอ่อนล้า หยางป๋อเปิดถุงมิติใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาก่อนจะนำด้วงสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่เท่าวัวตัวใหญ่ออกมาสองตัว
ลั่วเฉินพยักหน้าพอใจ เขาให้สหายทั้งสองคนไปตามหาสัตว์อสูรระดับปฐพีที่มีเขาอันแข็งแกร่ง วัสดุที่สหายนำมาเกินความคาดหมายของเขา ด้วงเกราะใบเลื่อยนี้เป็นสัตว์อสูรที่ยากจะโจมตียิ่งนัก “ดีมาก พวกเจ้าสามารถนำเจ้าตัวนี้กลับมาได้ในสภาพดีถึงสองตัว” ลั่วเฉินกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสอง หยางป๋อมองหวังเค่อที่เวลานี้กำลังนอนแผ่อยู่บนระเบียง “เพื่อไม่ให้เขาของพวกมันเสียหายจึงยากจะโจมตีจริงๆ พวกเราพยายามอยู่นานจนในที่สุดก็ให้หวังเค่อปีนต้นไม้ล่อให้ด้วงเหล่านี้บินเข้าโจมตี จึงสามารถหาจุดอ่อนในการสังหารพวกมันได้” “พวกเจ้าทำได้ดีมาก ด้วงสองตัวนี้จะทำให้หวังเค่อกลายเป็นราชสีห์ในฝูงแกะ” หวังเค่อแม้ไม่อาจเข้าใจความหมายของคำพูดของลั่วเฉินได้ทั้งหมดแต่ดวงตาของเขาก็ยังเป็นประกาย
ลั่วเฉินมองไปยังสหายทั้งสี่คนก่อนจะกล่าวว่า “ในศึกครั้งนี้ศัตรูมีพลังฝึกฝนอยู่ในแดนที่สูงกว่าพวกเรา ข้าจะสอนเคล็ดการใช้พลังปราณให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พวกเจ้า แน่นอนว่าอาจจะไม่สามารถใช้ได้เต็มที่ในทันทีแต่เมื่อเจ้าฝึกฝนจนชำนาญเจ้าจะสามารถต่อสู้กับศัตรูในแดนที่สูงกว่าได้โดยไม่เสียเปรียบมากนัก” ลั่วเฉินแสดงการใช้กระบวนท่าของเขาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นพลังปราณของลั่วเฉินแล่นจากร่างกายสู่กระบี่ในมือทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
ก่อนที่ลั่วเฉินจะออกกระบี่พลังปราณยังคงปกคลุมอยู่รอบกายเขา แต่เมื่อกระบี่วาดออกพลังปราณคล้ายจะไหลไปรวมกันที่กระบี่ทั้งหมด หลังจากนั้นพลังปราณก็ไหลกลับมาปกคลุมร่างกายอีกครั้ง “พวกเจ้าจะต้องฝึกควบคุมการหมุนเวียนของพลังปราณ หากยังไม่สามารถใช้ออกและรั้งกลับได้อย่างใจแล้วล่ะก็อย่าเพิ่งนำวิธีนี้ออกมาใช้ ไม่อย่างนั้นหากศัตรูรับการโจมตีของเจ้าได้อาจจะฉวยโอกาสโจมตีในขณะที่เจ้าไม่มีพลังปราณคุ้มกาย หากเป็นเช่นนั้นแม้ว่าพวกเจ้าจะมีชุดเกราะปกป้องแต่อวัยวะภายในของเจ้าอาจจะแตกสลาย
หลังจากให้สหายฝึกฝนกันเองลั่วเฉินก็เข้าสู่ห้องหลอมอาวุธ ผ่านไปสามชั่วยามลั่วเฉินก็ออกจากห้องหลอมอาวุธพร้อมกับสิ่งของหลายชิ้นในมือ ขวานคู่สีน้ำตาลแดงพร้อมกับเกราะหนักสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่ หวังเค่อเมื่อได้เห็นในหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว เขาลูบไล้ชุดเกราะและขวานที่ลั่วเฉินมอบให้อย่างหลงไหล ตัวขวานทั้งคู่ด้ามจับมีลักษณะโค้งยาว ใบเป็นใบเลื่อยมีคมทั้งสองด้าน สามารถใช้โจมตีไม่ว่าจะฟันไปข้างหน้าหรือเหวี่ยงกลับ
ชุดเกราะสีน้ำตาลแดงที่ดูแข็งแกร่งปกคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงข้อเท้า ยังมีเกราะอ่อนที่ลั่วเฉินมอบให้อีกหนึ่งตัว ทั้งสี่ชิ้นเป็นอาวุธระดับปฐพีเสริมแกร่งแปดส่วน และมีคุณสมบัติพิเศษเป็นเกราะพลังปราณคลุมกายอีกหนึ่งชั้น เมื่อสวมใส่ทั้งหมดนี้หวังเค่อคล้ายรถเกราะที่พร้อมจะตะลุยไปข้างหน้าได้ตลอดเวลา
“เมื่อทหารเมืองปิงไม่อาจรับมือได้ ข้าจะให้เจ้าเป็นทัพหน้าเข้าโจมตีข้าศึก” ลั่วเฉินกล่าวกับหวังเค่อ หวังเค่อในตอนนี้อยากเร่งให้ถึงเวลานั้นโดยเร็ว เขาอยากจะพุ่งจะทะยานเข้าฟาดฟันทหารเมืองเฟิงให้เป็นชิ้นๆ “เอาล่ะอี้หนิงเจ้าไปนำตัวฟงต้าหลี่มาได้แล้ว” ลั่วเฉินกล่าว
ม้าศึกมากกว่าพันตัวเหยียบผืนดินจนดังสนั่นฝุ่นคละคลุ้ง ข่าวที่ได้จากหน่วยสอดแนมคาดว่าทัพเฟิงครั้งนี้ประกอบด้วยทหารม้าเกือบสองพันนาย ทหารราบเจ็ดพันนาย พลธนูหนึ่งพันนาย รวมถึงรถยิงหินและอุปกรณ์ตีเมือง เหล่าทหารและประชาชนในเมืองปิงต่างรู้สึกสั่นสะท้านในใจ สามวันก่อนหานฉู่กวงส่งพิราบหมื่นลี้ขอกำลังเสริมจากเมืองที่ใกล้ที่สุด แต่ก็ยังมีระยะทางถึงห้าร้อยลี้ เมื่อหานฉู่กวงมีความคิดที่จะอพยพในวันเดียวกันพิราบหมื่นลี้ที่กลับมาก็มีคำสั่งให้พยายามรักษาเมืองและรอกำลังเสริมห้ามไม่ให้มีการอพยพผู้คน หากหยางป๋อและหวังเค่อไม่มีป้ายคำสั่งของหานอี้หนิงก็ไม่อาจเข้าออกเมืองได้
ทัพเฟิงหยุดพักตั้งค่ายห่างจากประตูด้านทิศใต้ของเมืองปิงออกไปราวสิบลี้ เหล่าทหารเมืองปิงบนกำแพงเมืองเมื่อเห็นควันไฟจากการทำอาหารในระยะไกลก็รู้สึกหวาดกลัว ต่างคนต่างภาวนาให้กำลังเสริมมาถึงโดยเร็วที่สุด “พวกเจ้าไม่สามารถเชิญแม่ทัพใหญ่ออกมาได้อย่างนั้นหรือ” หานฉู่กวงกล่าวอย่างขุ่นเคืองกับกัวเป่าและกวงเฉิง “เรียนท่านเจ้าเมืองจวนท่านแม่ทัพใหญ่เหิมเกริมยิ่งนัก ข้าถือคำสั่งท่านเจ้าเมืองไปเรียนเชิญด้วยความจริงใจ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเชิญท่านผู้เฒ่ามาได้ทั้งข้ายังสูญเสียทหารไปกว่าสิบคน” กวงเฉิงกล่าวอย่างมีเจตนาร้าย “ข้าเข้าใจแล้ว หลังจากศึกครั้งนี้ผ่านไปข้าจะรายงานราชสำนักขอให้มีการลงโทษแม่ทัพใหญ่อย่างหนัก” หานฉู่กวงกล่าวอย่างเดือดดาล
วันต่อมาทัพเฟิงเดินทัพเข้าประชิดเมืองปิงห่างไปราวสองลี้ ม้าวายุตัวใหญ่สวมใส่เกราะเขียวนำผู้ขับขี่ที่สวมเกราะเขียวเช่นเดียวกันมุ่งสู่ประตูเมืองปิงโดยลำพัง คนและม้าหยุดลงเมื่อห่างจากประตูเมืองราวหนึ่งร้อยหมี่ เสียงตะโกนอย่างหยิ่งผยองก้องกังวาลเข้าโสตประสาทของทุกผู้คนบนกำแพงเมือง “กวงเฉิงเจ้าหนูท่อ เจ้ากล้าลงมาสู้กับข้าตัวต่อตัวหรือไม่” กล่าวจบเพียงดึงบังเหียนเล็กน้อยม้าศึกก็ยกขาหน้าทั้งคู่ขึ้นพร้อมกับร้องเสียงแหลมราวกับกำลังหัวเราะเยาะใครบางคน
กัวเฉิงใบหน้าซีดขาว ผู้มาคือฟงเต๋อกวงรองผู้บัญชาการกองทัพเมืองเฟิง มันผู้นี้เป็นน้องชายของฟงเต๋อคุน ทั้งยังเป็นผู้ฝึกฝนในแดนปฐพีขั้นปลายกวงเฉิงจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร ทั้งหานฉู่กวงขุนนางและทหารนายกองบนกำแพงเมืองต่างมองไปที่กวงเฉิง “ท่านเจ้าเมืองขออย่าได้ตกหลุมพราง หากข้าที่เป็นผู้บัญชาทัพลงไปต่อสู้แม้จะได้รับชัยชนะแต่หากเกิดการบาดเจ็บเหล่าทหารย่อมเสียขวัญกำลังใจ” กวงเฉิงตะโกนบอกกับหานฉู่กวงด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ผู้คนบนกำแพงเมืองและฟงเต๋อกวงได้ยินอย่างชัดเจน หานฉู่กวงได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงไม่กล่าวอะไรอีก
ลั่วเฉินและสหายเวลานี้กำลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่เพิงขายอาหารริมถนนที่อยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองมากนัก เพิงขายอาหารวันนี้ว่างเปล่าเนื่องจากเถ้าแก่ไม่มาเปิดร้านซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกันกับร้านค้าอื่นๆในเมืองปิง ลั่วเฉินจึงเตรียมเนื้อกระทิงย่างเสียบไม้มาเอง “คนผู้นี้ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก” หวังเค่อกล่าวอย่างดูถูก “ทหารเหล่านี้ยังจะมีขวัญกำลังใดให้เสียอีก” หยางป๋อหัวเราะ “ช่างน่าอับอายยิ่งนัก” หานอี้หนิงอดไม่ได้ที่จะเหยียดหยาม
“ว่าแต่พี่สาวเซียวไม่ทราบว่าศิษย์น้องของท่านอยู่ที่ใด” ลั่วเฉินถาม เซียวหลิงซียักไหล่ “คนผู้นั้นอ้างว่าจะไปสอดแนมข้าศึก คาดว่ากำลังหลบดูสถานการณ์อยู่ที่ไหนสักแห่ง” หานอี้หนิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม “คนขี้ขลาดตาขาวเยี่ยงนี้กลับกล้าที่จะสู่ขอข้า บิดาข้าคงตาบอดไปแล้ว” “คาดว่าอีกนานเท่าใดพิราบหมื่นลี้จากสำนักท่านจะมาถึง” ลั่วเฉินกัดเนื้อกระทิงย่างก่อนจิบสุราพร้อมกับแสดงสีหน้าชื่นชม “คาดว่าอีกสามวันจะมาถึง” เซียวหลิงซีเมื่อเห็นเนื้อกระทิงย่างเสียบไม้ที่ลดลงอย่างรวดเร็วจึงรีบหยิบไม้หนึ่งมาถือไว้ในมือ เมื่อกลุ่มสหายเพิ่มหวังเค่อมาอีกคนอาหารก็ลดลงเร็วกว่าปกติ ทุกคนพากันมองหวังเค่อที่กำลังมีความสุขกับเนื้อย่างในปากก่อนจะพากันหัวเราะออกมา
“เจ้าหนูท่อกวงเฉิง หากเจ้าไม่ออกมาสู้พวกเราจะดำเนินการโจมตีเต็มกำลังเจ้าเตรียมรับมือให้ดี” ฟงเต๋อกวงตะโกนเยาะก่อนจะควบม้ากลับไป เพียงไม่ถึงสองเค่อเสียงโห่ร้องจากทหารนับหมื่นก็ดังก้องเย้ยหยันทหารเมืองปิง ฟงเต๋อกวงเพียงชูง้าวในมือเสียงโห่ร้องทั้งหมดก็เงียบลงแสดงให้เห็นความเป็นระเบียบของทัพเฟิง ฟงเต๋อกวงมองขึ้นไปยังผู้คนบนกำแพงที่เวลานี้ในสายตามีแต่ความหวาดกลัว “บุกเข้าไป วันนี้พวกเราจะเข้าไปเสพสุขกันในเมืองปิง ข้าได้ยินว่าธิดาเจ้าเมืองปิงงดงามยิ่งนัก หลังจากท่านแม่ทัพและข้าชื่นชมกันจนหนำใจแล้วจะเป็นตาของพวกเจ้าทุกคน” ทัพเฟิงได้ฟังคำกล่าวของฟงเต๋อกวงต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หานฉู๋กวงบนกำแพงเมืองมีใบหน้าขาวซีด หานอี้หนิงร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธ เซียวหลิงซีวางมือบนไหล่ของนางเบาๆ “เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเราจะทำให้คนเหล่านี้รู้สำนึกเอง” หานอี้หนิงมองใบหน้าของสหายที่ต่างส่งสายตาปลอบโยนนางก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ “ศีรษะของคนผู้นี้เป็นของข้า” หยางป๋อแววตาทอประกายดุร้าย
“ตูม ตูม ตูม” หินก้อนใหญ่จากเครื่องยิงหินวาดโค้งมาตามแรงโน้มถ่วงตกลงบนกำแพงจนผู้คนต่างหลบกันชุลมุน ลูกธนูลอยเต็มท้องฟ้า บนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย “ยิงธนูกลับไป” กวงเฉิงร้องตะโกนออกคำสั่ง มือธนูบนกำแพงยังไม่ทันได้ยิงศัตรูก็ต้องหลบหินใหญ่ที่ลอยมาเพื่อเอาชีวิตรอด กองทหารเมืองปิงปั่นป่วนราวกับมดบนกระทะร้อน กวงเฉิงกับกัวเป่าสบตากันค่อยๆถอยออกจากกลุ่มคน
ลั่วเฉินและสหายเวลานี้ต่างเตรียมพร้อมเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า “หวังเค่อ สิ่งนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้า” ลั่วเฉินมองไปที่เสาไม้ที่วางราบอยู่ที่ข้างเพิง ปลายด้านหนึ่งมีคนถูกมัดติดอยู่ หวังเค่อพยักหน้าแสดงท่าทางว่าเข้าใจ แต่ก่อนที่ทั้งห้าคนจะได้เคลื่อนไหวกลับมีคนกลุ่มหนึ่งแสดงออกด้วยท่าทางที่ผิดปกติ ลั่วเฉินและสหายอยู่ในจุดที่ค่อนข้างจะลับตา หากไม่สังเกตให้ดีคนที่อยู่ห่างออกไปอาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีคนกลุ่มนี้อยู่ แต่ในทางกลับกันกลุ่มของลั่วเฉินสามารถมองเห็นความผิดปกติของคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างชัดเจน
ความคิดเห็น