ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #28 : หวังเค่อ

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 67


     ในร้านอาหารริมถนนแห่งหนึ่งในเมืองปิง ชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังนั่งกินอาหารท่ามกลางสายตาของคนรอบข้าง “นี่เป็นชามที่สิบแล้วพ่อหนุ่มคนนี้กินเก่งจริงๆ” “ใช่ๆ อาหารธรรมดาแต่พ่อหนุ่มคนนี้กินดูน่าอร่อยมาก” “ข้าว่าพ่อหนุ่มคนนี้หน้าตาคุ้นๆนะแต่จำไม่ได้ว่าเห็นที่ไหน” “เจ้าโง่นี่คือหวังเค่อผู้ที่เข้ารอบสุดท้ายของการประลองเวทีผู้กล้าถึงสองปีติดต่อกันอย่างไรเล่า” “โอ้โอ้ ข้าจำได้แล้ว” ชายอีกคนรีบกล่าว

     หวังเค่อฟังเสียงผู้คนรอบข้างอย่างไม่ใส่ใจนัก หลังจากกินข้าวชามที่สิบหมดเขาก็วางชามลง ไม่ใช่เพราะอิ่มแต่เพราะเงินของเขาหมดแล้ว หวังเค่อรับจ้างแบกของที่ร้านค้าได้เงินมาจำนวนหนึ่งและหมดไปแล้วกับอาหารมื้อนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนอยากจ้างหวังเค่อไปเป็นผู้คุ้มกันหรือทำงานในกองคาราวานแต่หวังเค่อปฏิเสธไปทั้งหมดเนื่องจากเขาไม่อยากติดตามกลุ่มคนเหล่านั้น

     ขณะกำลังออกจากร้านก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น  หวังเค่อหันหลังไปก็เจอหยางป๋อที่กำลังเดินเข้ามาหา “หวังเค่อ บังเอิญจริงๆที่มาเจอเจ้าที่นี่ เจ้าพึ่งกินอาหารมาหรือ” หยางป๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจริง ข้ากินเสร็จแล้วกำลังจะไปทำงาน” หวังเค่อกล่าวอย่างเรียบเฉย “โอ้น่าเสียดาย วันนี้ข้านัดกับสหายจะไปกินเนื้อย่างแกล้มสุรากัน บังเอิญข้าได้เนื้อกระทิงระดับห้าขนาดเท่ากระท่อมหลังเล็กมาตัวหนึ่ง”หยางป๋อหัวเราะ

     เรือนของลั่วเฉินวันนี้สหายมารวมตัวกันอีกครั้งเพียงแต่วันนี้มีแขกพิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ลั่วเฉินมองหวังเค่อที่กำลังกินเนื้อกระทิงย่างอย่างเอร็ดอร่อยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เซียวหลิงซีมองไปที่ลั่วเฉิน “ลั่วเฉิน เจ้าวางแผนไว้อย่างไรกับศึกครั้งนี้” ลั่วเฉินไม่ตอบคำถามแต่ถามเซียวหลิงซีกลับแทน “พี่สาวเซียว ท่านคิดว่าทหารของเมืองปิงจะรับมือได้หรือไม่” “จากที่เจ้ากล่าวถึงกองทหารเมืองเฟิงข้าคิดว่าไม่อาจต้านทานได้ หากให้ข้ากล่าวตามตรงข้าไม่คิดว่าทหารเมืองปิงจะสามารถรับมือกับกองทหารใดได้” เซียวหลิงซีส่ายศีรษะเบาๆ

       หานอี้หนิงยกจอกสุราดื่มในอึกเดียว “ข้าว่าเมืองปิงแห่งนี้ยากเกินจะเยียวยา” คนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะหันไปมองนาง ลั่วเฉินหัวเราะ “ไม่คิดว่าบุตรสาวเจ้าเมืองเช่นเจ้าจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดกับชาวบ้านอย่างแน่นอน แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดการ ให้หน้าที่เป็นของเหล่าผู้มีอำนาจในเมืองก่อนเถอะ” 

    “เสี่ยวเฉิน เจ้าช่วยบอกวิธีที่จะจัดการกับพิราบหมื่นลี้ให้พวกเราฟังที” เซียวหลิงซีกล่าวกับลั่วเฉิน ลั่วเฉินไม่ได้เอ่ยคำพูดใดเพียงแต่หยิบคันธนูสีทองประกายม่วงยาวห้าฉื่อออกมา คันธนูส่งประกายแวววาวเป็นริ้วเมื่อสัมผัสกับแสงไฟทำให้ทุกคนต้องตื่นตะลึง แม้แต่หวังเค่อที่มุ่งความสนใจอยู่กับอาหารยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างเหม่อลอย “นี่ นี่ เป็นคันธนูระดับใด” หวังเค่อถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก นอกจากลั่วเฉินสำหรับคนทั้งสี่ย่อมไม่เคยเห็นอาวุธเสริมแกร่งระดับนี้มาก่อน พวกเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าประกายแวววาวที่เห็นนี้คืออาวุธระดับใด

    “นี่คือคันธนูผลาญตะวัน คันธนูระดับปฐพีเสริมแกร่งแปดส่วน” ลั่วเฉินตอบอย่างสบายๆ ในความเป็นจริงคันธนูนี้ย่อมเป็นระดับเสริมแกร่งสิบส่วน แต่ลั่วเฉินทำการลดประกายลงไปเล็กน้อย คนที่เหลือตกตะลึง หวังเค่ออ้าปากค้าง เซียวหลิงซีอดไม่ได้ที่ตะโกน “เสริมแกร่งแปดส่วนเจ้าทำได้อย่างไร” ลั่วเฉินหัวเราะ “นี่ย่อมเป็นเคล็ดลับที่ข้าศึกษามา ความจริงแล้วยังมีไม้เด็ดที่ลูกธนู ถึงเวลาพวกเจ้าจะได้เห็นเอง”

    “หากไม่รบกวนเกินไปเจ้าช่วยหลอมอาวุธให้ข้าได้หรือไม่” หวังเค่อกล่าวออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เขามองไปยังลั่วเฉินก่อนที่จะเอามือใหญ่จับหลังคอตนเองด้วยความเขินอาย ลั่วเฉินมองชายร่างใหญ่ที่แสดงความเขินอายจึงหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าได้ แต่เจ้าจะต้องไปหาวัสดุด้วยตนเอง” “ให้ข้าด้วย” หญิงงามทั้งสองตะโกนออกมา ลั่วเฉินมองหญิงงามก่อนจะยิ้มพลางพยักหน้า “พวกเจ้าก็ต้องไปหาวัสดุมา” “ไม่มีปัญหา” ทั้งสามคนรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

    ขณะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากใกล้เข้ามา ลั่วเฉินหรี่ตาลงมองไปทางประตูใหญ่ด้วยแววตาเย็นเยียบ ไม่นานเสียงฝีเท้าม้าก็หยุดลงเหลือเพียงแสงคบไฟวูบวาบ มีเสียงตะโกนจากกลุ่มคน “ล้อมเอาไว้ อย่าให้ใครหนีรอดไปได้” พ่อบ้านฝูวิ่งไปที่ประตูใหญ่อย่างลนลาน “นี่พวกท่านกำลังทำสิ่งใดกัน” เหล่าทหารไม่สนใจพ่อบ้านฝู ทหารคนหนึ่งผลักพ่อบ้านฝูล้มลงก่อนจะวิ่งเข้าประตูข้างเข้าไปในจวนเพื่อเปิดประตูใหญ่ ม้ากว่าสิบตัวและทหารนับร้อยบ้างถือหอก บ้างถือคบไฟสะพายดาบวิ่งกรูกันเข้ามา

    “เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด” ฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกับบ่าวรับใช้ชราเมื่อได้ยินผู้คนส่งเสียงโวยวายจึงเดินมาดูเหตุการณ์  “ฮูหยินผู้เฒ่าลั่ว พวกเรามาจับกุมผู้กระทำผิดขอท่านโปรดให้ความร่วมมืออย่าให้เราต้องใช้กำลัง” กวงเฉิงนั่งบนหลังม้ากล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้ามาจับกุมผู้ใด” ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกสับสน  “หลานชายของท่านลั่วเฉิน กระทำการผิดกฎหมายทำร้ายทหารประจำเมือง” กวงเฉิงกล่าวพร้อมกับเชิดจมูกเหยี่ยวขึ้นฟ้า

    “นี่ต้องมีเรื่องเข้าใจผิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างเย็นชา นางรู้ดีว่ารองแม่ทัพคนนี้ตั้งใจจับผิดผู้คนในจวนของนางมาตลอด “ไม่มีสิ่งใดเข้าใจผิด หากยังไม่หลีกทางอย่าหาว่าข้าลงมือหนักเกินไป” กวงเฉิงโบกมือตะโกนสั่งเหล่าทหาร “รีบไปจับตัวคนมา” ทหารได้รับคำสั่งต่างก็กรูเข้าไปจวนแม่ทัพ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกคล้ายความดันโลหิตจะพุ่งสูง ขณะนางกำลังจะกล่าวอะไรก็ถูกทหารผู้หนึ่งชนล้มลง “ฮูหยิน ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” บ่าวรับใช้ชรารีบยองลงไปประคองฮูหยินผู้เฒ่า

    เวลานี้ลั่วเฉินที่รีบมาจากเรือนด้านในมาทันเห็นเหตุการณ์พอดี ใบหน้าของลั่วเฉินเย็นชาประกายสังหารฉายมาออกจากดวงตาสีทอง “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว พวกเจ้าหยุดให้หมด” ลั่วเฉินตะโกนลั่นก่อนที่จะรีบทะยานเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมา “ป้าจงรีบพาท่านย่ากลับเรือนไปก่อน” ลั่วเฉินกล่าวกับบ่าวรับใช้ชรา “เฉินเอ๋อ ..” ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานชายด้วยความเป็นห่วง “ท่านย่าไม่ต้องห่วง ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ” ลั่วเฉินพยักหน้าให้ท่านย่าด้วยความมั่นใจ

    เมื่อเห็นบ่าวรับใช้พาท่านย่าของเขาจากไปดวงตาของลั่วเฉินก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง  เวลานี้สหายอีกสี่คนตามถึงแล้วต่างคนต่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีทหารมาล้อมจวนแม่ทัพ หานอี้หนิงรีบถามออกมา “นี่มันเกิดอันใดขึ้น” “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวไม่กับเกี่ยวกับคุณหนู ขอคุณหนูอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยว” กวงหมิงกล่าวกับหานอี้หนิง ขณะที่หานอี้หนิงกำลังจะกล่าวอะไรก็ได้ยินเสียงเย็นชาของลั่วเฉิน “อี้หนิงเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเข้ามาเกี่ยว” กล่าวจบก็ปรากฏกระบี่สีเขียวขึ้นมาในมือของลั่วเฉิน 

    ชายหนุ่มสูงสง่าแผ่พลังปราณที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน แววตาที่เยียบเย็นกับกระบี่สีเขียวในมือทำให้ทหารหลายคนรู้สึกสั่นสะท้าน กวงหมิงเมื่อเห็นว่าทหารยังไม่ขยับตัวจึงรีบร้องตะโกน “ไปจับตัวมา หากขัดขืนให้สังหารได้” ทหารหลายคนแม้จะลังเลใจแต่ด้วยคำสั่งก็ยังจำเป็นต้องเดินเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ลั่วเฉินหรี่ตาลงกระบี่ในมือส่งเสียงหวีดหวิว เขาสังเกตเห็นคนหลายคนที่มาในช่วงเช้าดวงตาก็เปี่ยมด้วยจิตสังหาร “ประกายอัศนี” วิชชุกระบี่แวบวับดั่งสายฟ้าหลายสายจนทำให้ผู้มองตาพร่ามัว ทหารหลายคนรู้สึกถึงปราณกระบี่วูบไหวรอบตัวแต่ร่างกายกลับไม่สามารถตอบสนอง 

    ลั่วเฉินยืนอยู่ที่เดิมกระบี่ลมขจีกลับคืนสู่ฝัก ในกลุ่มทหารมีร่างไร้หัวสิบสองร่างนอนจมแอ่งเลือดอยู่ เหล่าทหารเมื่อมองแอ่งเลือดที่นองเต็มพื้นร่างกายก็พลันสั่นสะท้าน หลายคนทรุดตัวลงกับพื้นอาวุธหลุดออกจากมือ ลั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ “เป็นแค่เศษสวะกลุ่มหนึ่งกลับกล้าเรียกตนเองว่าเป็นทหารอย่างนั้นหรือ” ลั่วเฉินเหลือบมองกวงเฉิงด้วยแววตาดูถูก “เจ้ามาจับข้าไม่ใช่หรือ มัวทำอะไรอยู่ล่ะ” 

    กวงเฉิงหนังศีรษะชาใบหน้าบิดเบี้ยว เข้าไปจับอย่างนั้นหรือมันมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าลั่วเฉินลงมืออย่างไร “เจ้า เจ้ากล้าสังหารทหารของราชสำนักอย่างนั้นรึ” ลั่วเฉินหัวเราะ “หากเจ้ากล่าววาจาไร้สาระอีกครึ่งคำ ข้าจะตัดศีรษะเจ้าลงมาเชื่อหรือไม่ เศษสวะเช่นพวกเจ้าเหลือชีวิตไว้ต่อสู้กับทหารเมืองเฟิงเถอะ ข้าอยากจะดูการต่อสู้กับกองทัพเมืองเฟิงของพวกเจ้าจริงๆ” กวงเฉิงแม้ใจจะไม่ยินยอม แต่ลำคอคล้ายมีสิ่งอุดตัน 

    “หากพวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไป เชื่อหรือไม่ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้กลับไปอีก” ลั่วเฉินกวาดตามองเหล่าทหารที่เวลานี้ในแววตามีแต่ความหวาดกลัว 

    มองเห็นเหล่าลูกน้องที่พามาไม่มีใจคิดต่อสู้ กวงเฉิงใบหน้าราวกับท้องผูก เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไปมันจึงกัดฟันตะโกน “พวกเรากลับไปตั้งหลัก” กล่าวจบมันก็กำลังจะบังคับม้าออกไป “เดี๋ยว พวกเจ้าเก็บเพื่อนของเจ้าไปด้วย” ลั่วเฉินชี้ไปที่ศพไร้หัว กวงเฉิงหน้าแดงก่ำด้วยความเดือดดาล “เก็บศพพวกนี้แล้วรีบไป” กวงเฉิงตะโกนสั่งก่อนจะควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว

    “เสี่ยวเฉิน เจ้าทำแบบนี้จะเกิดเรื่องหรือไม่” หยางป๋อถามด้วยความเป็นห่วง เซียวหลิงซีและคนที่เหลือก็มองลั่วเฉินด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน เห็นได้ว่าการมีเรื่องกับทหารของราชสำนักไม่ใช่เรื่องดี  ลั่วเฉินหัวเราะก่อนจะหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาโยนให้หยางป๋อ “แค่ทหารในเมืองเล็กๆยังไม่อาจคุกคามข้าได้” 

    หยางป๋อมองเหรียญตราทองแดงในมือด้วยดวงตาเบิกกว้าง แน่นอนว่าสหายทุกคนรู้ว่าลั่วเฉินเดินทางไปเข้าร่วมการทดสอบสมาคมหลอมอาวุธที่เมืองเฟิง แต่หลังจากกลับมาเมื่อลั่วเฉินไม่ได้พูดถึงทุกคนจึงไม่คิดที่จะถาม “นี่คือเหรียญตรานักหลอมอาวุธงั้นหรือ” หยางป๋อถามด้วยความตื่นเต้น 

    เซียวหลิงซีมองเหรียญตราในมือหยางป๋ออดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเช่นกัน “นี่คือเหรียญตรานักหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สามดารา ข้าเคยได้ยินมาว่าหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สามดาราที่อายุน้อยที่สุดอายุยี่สิบเจ็ดปี ลั่วเฉินเจ้าอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้นกลับสามารถได้รับตำแหน่งนี้แล้ว” “แม้เหรียญตรานักหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สามดาราจะยอดเยี่ยม แต่ข้าคิดว่าความสามารถของลั่วเฉินเหนือกว่าตำแหน่งนี้มาก” หานอี้หนิงหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะเยินยอลั่วเฉิน

    “เอาล่ะๆหยุดเยินยอข้าได้แล้ว อีกไม่เกินสามวันคาดว่าทัพเมืองเฟิงจะมาถึง หากในพวกเจ้ายังมีผู้ใดต้องการอาวุธหรือชุดเกราะจงไปเตรียมวัสดุมา หลังจากที่กองทหารเมืองปิงไม่สามารถรับมือได้พวกเราจะลงมือ” ลั่วเฉินกล่าวกับคนทั้งสี่ “เพียงพวกเราห้าคนอย่างนั้นรึ” หวังเค่อกล่าวถาม ลั่วเฉินพยักหน้า “เพียงพวกเราห้าคนเจ้ากลัวหรือไม่” หวังเค่อหัวเราะออกมา “ข้าจะเข่นฆ่าสังหารทหารเมืองเฟิงให้หนำใจ” คนอื่นต่างพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้าจะช่วยเจ้าตามหาวัสดุระดับปฐพี” หยางป๋อกล่าวกับหวังเค่อด้วยรอยยิ้ม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×