ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #26 : สังหารหมู่

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 67


    กระทิงเพลิงทองแดงตัวใหญ่ยักษ์กำลังกินหญ้าน้ำค้างอย่างมีความสุข ด้วยความร้อนจากตัวมันจึงมีต้นหญ้าไม่กี่ชนิดที่ทำให้มันพอใจ มันถือเป็นเจ้าถิ่นตัวใหญ่ของทุ่งหญ้าน้ำค้างแห่งนี้ เมื่อยืนอยู่บริเวณไหนสัตว์ตัวอื่นมักไม่กล้าจะเข้ามาใกล้ ขณะกำลังกินหญ้าน้ำค้างมันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย มันคายหญ้าในปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหา เมื่อมองไปทางทิศเหนือในระยะไกลมันเห็นกระทิงสาวตัวหนึ่งกำลังยืนกินหญ้าน้ำค้างอยู่เช่นกัน เขาโค้งสั้น ลำตัวยาว เรียวขาทั้งสี่ที่งดงาม บั้นท้ายขนาดใหญ่มีหางเล็กๆคอยปัดไปมา กระทิงเพลิงทองแดงเห็นภาพนี้มันรู้สึกคันในหัวใจ มันตัดสินใจเดินเข้าไปหากระทิงสาวพร้อมกับพ่นเปลวไฟออกมาจากจมูก ท่าทางนี้มันคิดว่าสง่างามจนยากจะหากระทิงหนุ่มตัวใดมาเปรียบกับมันได้ 

    เซียวหลิงซีกำลังจ้องมองกระทิงเพลิงทองแดงเดินเข้าหาหานอี้หนิง นางเองก็กำลังกระชับกระบี่ในมือเช่นกัน หยางป๋อที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังรอให้เซียวหลิงซีลงมือ เม็ดเหงื่อค่อยๆไหลลงจากหน้าผากของหยางป๋อ เหงื่อเม็ดเล็กๆเมื่อไหลมาถึงคางก็หยดมาลงตามแรงโน้มถ่วงก่อนที่ตกกระทบพื้นดิน “วายุหิมะ”เกล็ดหิมะมากมายพัดออกมาเป็นสายเมื่อเซียวหลิงซีแทงกระบี่ออกไป ปราณกระบี่เย็นเยียบพุ่งเข้าโจมตีกระทิงเพลิงทองแดง ปราณกระบี่แม้จะดูรุนแรงแต่กลับสามารถทำได้เพียงสะกิดกระทิงเพลิงทองแดงให้เป็นรอยถลอกเท่านั้น

    แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นด้วยความเย็นจัดเกล็ดหิมะจำนวนมหาศาลก็เริ่มปลุกคลุมร่างกายของกระทิงเพลิงทองแดง มันส่งเสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยวพยายามจะฝืนวิ่งเข้าหากระทิงตัวเมียที่มันมองเห็น ก่อนที่มันจะสัมผัสได้ว่าไม่สามารถก้าวขาออกไปได้ “ฉีกกระชากอาชา” ปราณกระบี่สีดำหลายสายตัดอากาศเข้าโจมตีใส่กระทิงเพลิงทองแดงโดยตรง ปราณกระบี่บาดเข้าผิวหนังของกระทิงเพลิงทองแดงได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็พอที่เรียกเลือดให้ไหลออกมา

    หยางป๋อยังคงออกกระบี่โจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่กระทิงเพลิงทองแดงก็กำลังพยายามสะบัดให้ความเย็นที่ปกคลุมตัวมันหลุดออกไป หิมะสีขาวที่ปกคลุมตัวกระทิงเพลิงทองแดงเวลานี้ถูกโลหิตย้อมจนเป็นสีแดง กระทิงเพลิงทองแดงรวบรวมพลังทั้งหมดพ่นไฟออกมาทางจมูกจนหิมะที่ปกคลุมช่วงหัวของมันอยู่กระจายหลุดออกไป มันหมุนคออ้าปากร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนที่จะพยายามกระชากส่วนล่างให้หลุดจากการถูกหิมะปกคลุม

    กระทิงเพลิงทองแดงพ่นไฟออกมาจนแผดเผาต้นหญ้าน้ำค้างโดยรอบ “โฉบทะยานเวหา” หยางป๋อฟาดฟันกระบี่ออกปราณกระบี่สีดำพุ่งเข้าโจมตีส่วนที่เป็นหน้าผากของกระทิงเพลิงทองแดง เมื่อเห็นว่ามีปราณกระบี่ที่ดูรุนแรงพุ่งเข้ามาโจมตีกระทิงเพลิงทองแดงที่เวลานี้สามารถขยับร่างกายส่วนบนได้ก็สะบัดเขาทั้งคู่เข้าโจมตีเข้าใส่ปราณกระบี่สีดำ เมื่อเขาเงินคู่แกร่งปะทะกันกับปราณกระบี่ ปราณกระบี่สีดำก็แตกกระจายสลายไป

    กระทิงเพลิงทองแดงส่งเสียงร้องด้วยความเดือดดาลขณะจะกำลังจะโจมตีชายหนุ่มก็มีปราณกระบี่เย็นเยียบโจมตีเข้ามาอีก ปราณกระบี่นับสิบสายโจมตีใส่ส่วนหัวของมันอย่างไม่หยุดยั้ง ปราณกระบี่สีขาวและสีดำล้วนโจมตีเข้าใส่หัวขนาดใหญ่ของมัน แม้จะสะบัดเขาต้านทานปราณกระบี่ไว้ได้ไม่น้อยแต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่โจมตีเข้ากลางหน้าผากจนมันต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มันสะบัดเขาโจมตีออกไปไม่หยุดแต่ในที่สุดมันก็สัมผัสถึงความเย็นของกระบี่ที่ทะลวงหน้าผากเข้ามา นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่มันจะล้มลง

    หยางป๋อชักกระบี่วิหกนิลกาฬออกมาจากหน้าผากของกระทิงเพลิงทองแดง โลหิตสีแดงไหลย้อยมาตามใบกระบี่ “ดีที่กระบี่นี้ทะลุกะโหลกของมันเข้าไปได้” หยางป๋อทรุดลงแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม เขาทะลวงเข้าสู่แดนปฐพีได้สำเร็จแล้ว ความรู้สึกที่เส้นชีพจรวิญญาณขยายพลังปราณไหลเวียนไม่หยุดยั้งทำให้หยางป๋ออดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมา เซียวหลิงซีและหานอี้หนิงก็มีรอยยิ้มเช่นกัน แม้หานอี้หนิงจะไม่สามารถทะลวงด่านได้แต่นางยังพอมีเวลา นางเชื่อว่านางมีสหายที่ดีคอยช่วยเหลือนางจะต้องสามารถทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าก่อนที่จะเดินทางถึงเมืองหลวงอย่างแน่นอน “เอาล่ะเรารีบนำเจ้าตัวนี้กลับไปรอยังจุดที่เรานัดพบกับเสี่ยวเฉิน” เซียวหลิงซีกล่าว

    หลังจากวิ่งมาตลอดทั้งวันจนท้องฟ้ามืดลง อีกทั้งต้นไม้ที่สูงใหญ่ของป่าบริเวณนี้ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นไม่ดีนักลั่วเฉินจึงเลือกที่จะหยุดพัก ขณะกำลังก่อไฟปรุงอาหารลั่วเฉินพลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากทิศทางที่เขาผ่านมาในระยะไกลคาดว่าจะมีมากกว่าสิบตัว “สามารถขี่ม้าเดินทางตามเส้นทางป่าคดเคี้ยวนี้ได้ ผู้มามีทักษะไม่เลว” ลั่วเฉินคาดเดาในใจ        เขาเปลี่ยนรูปสะเก็ดดาวเป็นอ่างหินใบหนึ่ง ก่อนจะนำเนื้อหมูหินที่ยังเหลือวางลงไป เขาวางรังผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งที่ได้มาระหว่างเดินทางทับบนเนื้ออีกชั้น ตามด้วยการเทสุราแปดสมบัติจนท่วมเนื้อและรังผึ้ง

    ลั่วเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อเขาจัดการกับคนเหล่าเสร็จสิ้น เนื้อที่หมักไว้ก็จะเพิ่มทั้งรสชาติและกลิ่นหอมอีกทั้งยังนุ่มขึ้นอีกด้วย ขณะกำลังจะยกสุราที่เหลือดื่มสักอึก คนและม้ากลุ่มหนึ่งก็มาถึง ลั่วเฉินมองเห็นชายรูปงามที่นำหน้ามาหน้าตาคุ้นเคย แต่เมื่อมองอย่างพิจารณาเขากลับไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ““ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าตัวบัดซบก่อเรื่องขนาดนี้เจ้ายังกล้าเดินทางคนเดียว นี่เรียกว่ารนหาที่ตายอย่างแท้จริง” ฟงต้าหลี่เมื่อมาถึงก็รีบหยุดม้าก่อนที่คนจะกระโดดลงมาชักกระบี่ยืนอยู่ด้านหน้าของลั่วเฉิน

    ลั่วเฉินมองชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใครตามข้ามามีจุดประสงค์ใด” ฟงต้าหลี่หัวเราะเสียงดังออกมา “ข้าคือฟงต้าหลี่ ตัวโง่เขลาที่เจ้าตัดมือเป็นน้องชายของข้า ต้องโทษตัวเจ้าเองที่เพียงตัดมือมัน หากเจ้าสังหารมันเสียบางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” เวลานี้กลุ่มคนที่เหลือก็ลงจากหลังม้ายืนล้อมลั่วเฉินไว้ “หากเจ้าคุกเข่าร้องขอชีวิตบางทีข้าอาจจะเพียงตัดแขนขาของเจ้า” ฟงต้าหลี่กล่าวอย่างหยิ่งผยอง ลั่วเฉินได้ฟังก็รู้สึกขบขัน “ฮ่าฮ่า นี่คิดว่าข้ากลัวพวกเจ้างั้นรึ” 

    ก่อนที่ฟงต้าหลี่จะทันตั้งตัวประกายกระบี่สีเขียวก็ฟาดฟันเข้าใส่มันแล้ว มันยกกระบี่ขึ้นมากันได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่จะรู้สึกถึงความแสบร้อนเฉียดผ่านลำคอไป ฟงต้าหลี่ตื่นตระหนกอย่างยิ่งกระบี่นี้เกือบจะพรากชีวิตมันไปแล้ว ขณะเดียวกันฟงต้าหลี่สัมผัสว่ามีโลหิตกระเซ็นบริเวณด้านข้าง ในหมู่พวกมันมีสามคนล้มลงแล้ว ทั้งสามคนที่ล้มลงในเวลานี้ล้วนมีโลหิตไหลทะลักจากลำคอ ฟงต้าหลี่ตกตะลึง ต้องรู้ว่าผู้ติดตามทุกคนที่มันพามาล้วนอยู่ในแดนปฐพีทั้งสิ้น ลั่วเฉินมองกลุ่มคนที่กำลังสับสนก่อนจะก้าวไปทางขวาก่อนจะจ้วงแทงออกไป “พยุหะกระบี่” ปราณกระบี่สีเขียวพุ่งเข้าหากลุ่มคนอย่างรวดเร็ว โลหิตสาดกระเซ็นผู้คนอีกสี่คนล้มลงกับพื้น

    ฟงต้าหลี่กับซานจิ่งพลันได้สติก่อนจะตอบโต้โดยโจมตีด้วยไม้ตายก้นหีบ พวกมันต่างหมายสังหารลั่วเฉินให้เร็วที่สุด ลั่วเฉินแม้ถูกโจมตีจากสองทางแต่ไม่ตื่นตระหนก เขาพุ่งทะยานไปด้านหน้าก่อนจะตบเท้าหมุนกายไปทางขวาพลางออกกระบี่ “ประกายอัศนี” สายฟ้าสีเขียวห้าสายแหวกอากาศด้วยความเร็วโจมตีเข้าใส่กลางหน้าอกของผู้คนอีกห้าคน หลังจากออกกระบี่เสร็จ เขาก็ย่อตัวเล็กน้อยหลบรัศมีกระบี่ที่แทงมาจากทางซ้าย เวลานี้กลุ่มคนต่างได้สติพากันออกกระบวนท่าโจมตีเข้าใส่ตัวลั่วเฉิน

    ลั่วเฉินก้าวเท้าพร้อมสะบัดกระบี่ในมือรับการโจมตีจากปราณดาบและกระบี่ที่โจมตีเข้ามาจากทุกทาง ซานจิ่งทะยานขึ้นฟันดาบใหญ่มาจากด้านบนด้วยกระบวนท่าสังหาร ในขณะที่ฟงต้าหลี่จ้วงแทงกระบี่มาจากทางด้านซ้าย กลุ่มองครักษ์คนอื่นที่เหลือก็โจมตีปิดล้อมลั่วเฉินเข้ามาพร้อมกัน “พิรุณโลหิต” ลั่วเฉินหมุนกายปัดอาวุธที่พุ่งโจมตีเข้ามา ก่อนจะโจมตีกลับด้วยกระบวนท่าพิรุณโลหิต ปราณกระบี่สีเขียวดั่งพายุฝนร่วงหล่นเข้าใส่กลุ่มคนอย่างไม่หยุดยั้ง

    บนต้นไม่ใหญ่ไกลออกไปราวหนึ่งลี้ชายสามคนกำลังนั่งยองบนกิ่งไม้ ชายแต่งกายด้วยชุดนายพรานอดไม่ได้ที่กล่าวออกมา “เจ้าเด็กนี่ร้ายกาจมาก รัศมีพลังที่มันปล่อยออกมาเป็นเพียงแดนปฐพีขั้นต้นเท่านั้นแต่กลับสามารถต่อสู้กับแดนปฐพียี่สิบคนโดยไม่เป็นรองแม้แต่น้อย” “เจ้าดูสิยี่สิบคนนั้นทั้งที่มีหลายคนระดับการฝึกฝนสูงกว่าแต่ไม่อาจทำอย่างไรกับพ่อหนุ่มนั่นได้เลย” ชายอ้วนกล่าว ชายชราร่างเตี้ยส่ายศีรษะ “แบบนี้แผนการช่วยเหลือคนของเราคงไม่อาจนำมาใช้”

    กลุ่มคนสิบกว่าคนพยายามต่อสู้ดิ้นรนกับฝนกระบี่ที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ไม่มีโอกาสโต้ตอบทำได้เพียงดิ้นรนเอาตัวรอดเท่านั้น ยิ่งดิ้นรนยิ่งอ่อนล้าหลายคนไม่สามารถปัดป้องตนเองได้อีกจึงถูกฝนกระบี่ฟาดฟันจนล้มลงไป หลายคนถูกฝนกระบี่สังหารไปแล้วแต่ศพยังคงถูกฝนกระบี่ที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องโจมตีจนกลายเป็นแอ่งเลือด ซานจิ่งยามนี้เหลือดาบเพียงครึ่งเล่ม มันฟันดาบหักใส่ฝนกระบี่ด้วยพละกำลังที่ใกล้จะหมดเต็มที่ เมื่อสิ้นเรี่ยวแรงซานจิ่งก็ทำได้เพียงกัดฟันดิ้นรนก่อนที่ฝนกระบี่สายหนึ่งจะตัดแขนข้างที่กำดาบของมันจนขาดกระเด็นไป ความเจ็บปวดสาหัสแล่นผ่านสมองแต่ยังไม่ทันจะได้กรีดร้องฝนกระบี่อีกสายก็เข้ามาในคลองจักษุ นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ซานจิ่งมองเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป

    ลั่วเฉินเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็หยุดมือลง รอบกายมีเพียงแอ่งโลหิตและร่างมนุษย์ที่ไร้วิญญาณนอนอยู่เกลื่อนกลาด ฟงต้าหลี่คุกเข่าลงข้างหนึ่งมือขวากำกระบี่ยันพื้นเอาไว้ ร่ายกายของมันเต็มไปด้วยบาดแผลหากไม่ใช่เพราะเกราะอ่อนที่สวมใส่อยู่มันคงตกตายไปแล้วหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าการโจมตีหยุดลงฟงต้าหลี่จึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ลั่วเฉินก่อนจะกระอักโลหิตคำโตออกมาแล้วจึงสิ้นสติไป ขณะที่ลั่วเฉินกำลังคิดว่าจะสังหารคนผู้นี้หรือจะจับตัวกลับไปเขาก็สังเกตถึงกลุ่มคนสามคนกำลังมุ่งตรงมา

    ลั่วเฉินเมื่อมองดูก็พบว่าผู้มามีสามคนหนึ่งในนั้นเป็นคนคุ้นหน้า ส่วนอีกสองคนเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยจิตสำนึกทางวิญญาณของเขาลั่วเฉินสามารถบอกได้ว่าทั้งสามคนเป็นผู้ฝึกฝนแดนนภา มีสองคนเป็นผู้ฝึกฝนแดนนภาขั้นต้น ส่วนชายชราคุ้นหน้าเป็นผู้ฝึกฝนแดนนภาขั้นปลาย ลั่วเฉินคาดเดาเจตนาการมาของทั้งสามคนไม่ออกจึงเตรียมพร้อมเต็มที่ หากชายทั้งสามคนมีเจตนาร้ายเขาจะใช้สะเก็ดดาวโจมตีทันที ถึงจะน่าเสียดายหมูหินที่กำลังหมักได้ที่ก็ตาม

    เมื่อชายทั้งสามคนมาถึง ลั่วเฉินที่กระชับกระบี่ในมือก็เอ่ยปากสนทนาก่อน “เหล่าจิ่ว ท่านมาที่นี่เพื่อช่วยคนเหล่านี้จัดการกับข้าอย่างนั้นหรือ” ชายชราเหล่าจิ่วส่ายศีรษะ “น้องชายอย่าได้เข้าใจผิด พวกเราสังเกตเห็นถึงความปกติของคนเหล่านี้แต่แรก จึงตามมาตั้งใจว่าหากเจ้าเพลี่ยงพล้ำพวกเราจะช่วยเจ้า” ลั่วเฉินหรี่ตาลง “ตามมาช่วยข้า พวกเราน่าจะไม่มีความสัมพันธ์กันมากถึงขนาดที่ท่านจะตามมาช่วยเหลือข้าในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้”

    “น้องชายฟังพวกเราอธิบายก่อน” ชายอ้วนแต่งกายชุดคหบดีรีบกล่าวออกมา “พวกเราบังเอิญพบเจอน้องชายหลายครั้ง เราคิดว่าน้องชายมีความสามารถมาก เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้กำลังมีแผนร้ายเราจึงตามมาเพราะกลัวว่าน้องชายอาจพบอันตราย” “พวกท่านไม่กลัวจะขัดแย้งกับคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านี้เพราะข้างั้นรึ” ลั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะถาม

    “ขอบอกน้องชายตามตรงกลุ่มของเราขัดแย้งกับคนของทางการอยู่แล้ว นอกจากนี้เรายังมองว่าน้องชายเป็นบุคคลมีค่าที่กลุ่มของเราต้องการเชิญตัวให้มาเข้าร่วมกับพวกเรา” ชายชราเหล่าจิ่วกล่าวกับลั่วเฉิน “อ้อ แล้วกลุ่มของท่านคือกลุ่มใดกันล่ะ” ลั่วเฉินมองคนทั้งสามคล้ายจะคาดเดาอะไรบางอย่าง  “พวกเราคือคนของพรรคตะวันรุ่ง ข้าคือผู้อาวุโสเก้าของพรรคตะวันรุ่ง อีกสองคนข้างกายข้าคือหัวหน้าสาขาของพรรค” เหล่าจิ่วตอบ “พรรคตะวันรุ่ง พวกท่านคือกลุ่มคนที่คอยขัดแย้งกับราชสำนักอย่างนั้นหรือ” ลั่วเฉินถามอย่างสงสัย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×