ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #24 : ฟงต้าหลี่

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 67


    หลังจากที่ฟงเต๋อคุนเรียกราคา 5,000 เหรียญทองทั้งห้องก็เกิดความเงียบ ในห้องรับรองพิเศษหลายห้องเกิดความอึดอัดใจ ไม่ใช่ว่าค่ายพรรคของพวกมันไม่มีเงินจำนวนนี้แต่ติดที่มันไม่ได้นำเงินมามากเพียงพอ อีกทั้งสมาคมหลอมอาวุธยังไม่ยินยอมให้ใครติดค้าง ในห้องรับรองหมายเลขเจ็ดเหล่าจิ่วมองสิ่งของบนเวทีก่อนจะระบายลมหายใจ “5,500 เหรียญทอง”

    ฟงเต๋อคุนรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย มันอาศัยความเป็นเจ้าถิ่นได้ทราบข่าววงในจึงเตรียมเงินเอาไว้ล่วงหน้า ฟงเต๋อคุนไม่คิดว่ายังมีคนที่นำเงินมาร่วมการประมูลมากกว่า 5,000 เหรียญทอง แต่ไม่ว่าจะเป็นราคาใดมันก็ต้องได้ชุดเกราะอ่อนนี้มา หากยึดเมืองปิงได้สำเร็จผลประโยชน์ที่มันจะได้รับย่อมมหาศาลกว่าเงินจำนวนนี้ “6,000 เหรียญทอง” ฟงเต๋อคุนเรียกราคาอีกครั้ง

    “สาขาของเรามีเงินเท่าใด” เหล่าจิ่วถามกับชายอีกคน “เงินที่เรานำมามีทั้งหมด 7,000 เหรียญทองขอรับ เวลานี้เราใช้ประมูลไปแล้วสองร้อยเหรียญทอง หากต้องการเงินมากกว่านี้เราต้องรีบติดต่อคหบดีอ้วนขอรับ” เหล่าจิ่วถอนใจ “ไม่ทันแล้ว หากเงินไม่พอเราจะยอมไปก่อนแล้วค่อยหาวิธีอื่น” เหล่าจิ่วตะโกนเรียกราคาอีกครั้ง “6,500 เหรียญทอง”

    “7,000 เหรียญทอง” ฟงเต๋อคุนตะโกนเรียกราคาต่อทันทีโดยไม่ลังเล เหล่าจิ่วในห้องรับรองหมายเลขเจ็ดระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง “กลับเสียสิ่งนี้ไปให้ทหารเมืองเฟิงไปเสียได้”

      เสี่ยวหยาบนเวทีพยายามชักชวนให้เพิ่มราคาแต่ผู้คนก็พากันเงียบ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเพิ่มราคาจึงกล่าวว่า “หากไม่มีผู้ใดเรียกราคาเพิ่มข้าจะเริ่มนับนะเจ้าคะ 7,000 เหรียญทองครั้งที่หนึ่ง 7,000 เหรียญทองครั้งที่สอง 7,000 เหรียญทองครั้งที่สาม  ขอแสดงความยินดีชุดเกราะอ่อนทั้งห้าตัวนี้ เป็นของผู้ประมูลในห้องรับรองหมายเลขสองเจ้าค่ะ” ฟงเต๋อคุนเมื่อชนะการประมูลก็กระหยิ่มในใจ เมื่อมันมีเกราะอ่อนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมขนาดนี้ มันย่อมไม่กลัวชายชราในเมืองปิงอีกต่อไป อีกทั้งฟงเต๋อคุนยังคาดหวังว่าการต่อสู้กับชายชราจะทำให้มันที่อยู่ในแดนปฐพีขั้นสูงสุดมานานสามารถทะลวงสู่แดนนภาได้อีกด้วย

    ฟงเต๋อคุนรีบออกจากห้องเพื่อจะไปรับสินค้าให้เร็วที่สุด เมื่อออกมาจากห้องก็บังเอิญพบกับเมิ่งเตี๋ยที่ออกมาจากห้องรับรองเช่นกัน เมิ่งเตี๋ยมือประสานย่อเข่าคารวะอย่างนอบน้อม “เมิ่งเตี๋ยคารวะท่านลุงเจ้าค่ะ” ฟงเต๋อคุนเห็นเช่นนั้นก็ส่งยิ้มอย่างเจิดจ้า “เตี๋ยเอ๋อคนดีของลุง เมื่อลุงได้รับสิ่งของแล้วจะรีบให้พี่ต้าหลี่ส่งไปให้เจ้า” ฟงต้าหลี่เป็นบุตรชายคนโตของฟงเต๋อคุน มันรู้ว่าเมิ่งเตี๋ยชอบพอบุตรคนโตตั้งแต่ยังเด็ก ฟงเต๋อคุนจึงทำการสู่ขอหมั้นหมายนางให้บุตรชายคนโต ฟงต้าหลี่แม้ในใจจะไม่ยินยอมนักแต่ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของบิดา 

    เมิ่งเตี๋ยได้ฟังคำจากพ่อสามีในอนาคตจึงรีบกล่าวว่า “ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ ข้าจะบอกกล่าวกับบิดาข้าถึงน้ำใจของท่านลุงแน่นอนเจ้าค่ะ” ขณะที่ว่าทีพ่อสามีกับว่าที่ลูกสะใภ้คู่นี้กำลังกล่าววาจาเยินยอกันไปมา ประตูห้องรับรองหมายเลขสิบก็เปิดออกก่อนจะมีชายสองคนเดินออกมา เมื่อเห็นชายนำหน้าเมิ่งเตี๋ยก็ทราบว่านี่คือเซียะซีหลงผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิงแต่เมื่อนางเห็นชายหนุ่มอายุน้อยที่เดินตามมานางก็พลันตกตะลึงก่อนจะกรีดร้อง “เจ้า เจ้า เจ้าคนชั้นต่ำเหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่” 

    ฟงเต๋อคุนเห็นเมิ่งเตี๋ยกรีดร้องจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “เมิ่งเตี๋ยเจ้าเป็นอะไรไป นี่คือผู้อาวุโสเซียะซีหลง ผู้อาวุโสหนึ่งของสมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิง เจ้าเองก็เคยเห็นท่านหลายครั้งไม่ใช่หรือ” เมิ่งเตี๋ยดวงตาแดงก่ำ ส่ายศีรษะก่อนจะชี้นิ้ว “ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านลุง ชายที่ยืนด้านหลังผู้อาวุโสเซียะคือคนที่ตัดมือพี่เอ้อร์หลี่และทำร้ายข้าเจ้าค่ะ” ฟงเต๋อคุนพึ่งได้สังเกตหลังจากฟังสิ่งที่เมิ่งเตี๋ยกล่าว ด้านหลังเซียะซีหลงยังมีชายหนุ่มอีกคน ก่อนนี้มันคิดว่าชายหนุ่มเป็นเพียงเด็กรับใช้เท่านั้น 

    เมื่อเห็นลั่วเฉินเต็มตาฟงเต๋อคุนก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ นี่เป็นเพียงชายหนุ่มอายุน้อยถึงแม้จะดูสูงใหญ่อยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยผู้นี้กลับสามารถจะตัดมือบุตรชายคนรองของมันโดยที่บุตรชายของมันไม่อาจตอบโต้ “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร” ฟงเต๋อคุนรู้สึกสับสน “ท่านลุงเจ้าคะเป็นมันจริงเจ้าค่ะ คนร้ายนี่แหละที่ทำร้ายข้าทั้งยังตัดมือพี่เอ้อร์หลี่อย่างไร้เหตุผล”

    ลั่วเฉินได้ฟังพลันหางตากระตุก คนเหล่านี้ล้วนทำให้เขารู้สึกถึงความคิดที่บิดเบี้ยวอย่างไม่น่าเชื่อ นางรู้อยู่แก่ใจว่าผู้ใดลงมืออย่างไร้เหตุผลกันแน่ แต่นางกลับพูดจาราวกับเป็นตนเองเหยื่อ

    ฟงเต๋อคุนได้ฟังก็พลันเดือดดาลถึงแม้มันไม่ใส่ใจบุตรชายคนรองเท่าใดนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนอีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ฟงเต๋อคุนจึงไม่อาจปล่อยวางศักดิ์ศรีลงได้ มันจ้องมองลั่วเฉินด้วยเจตนาสังหารก่อนจะกล่าวออกมา “ผู้อาวุโสเซียะชายหนุ่มที่ยืนด้านหลังท่านคือผู้ใด หากเป็นคนที่ตัดมือบุตรชายของข้าจริงหวังว่าท่านจะมอบมันให้แก่ข้า” 

    เซียะซีหลงเห็นผู้คนเดือดดาลก็ปลดปล่อยรัศมีพลังออกมาเช่นเดียวกัน ตัวมันกับฟงเต๋อคุนล้วนอยู่ในจุดสูงสุดของแดนปฐพี เซียะซีหลงส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “แม่ทัพฟง ชายหนุ่มผู้นี้คือนักหลอมอาวุธระดับสูงคนสำคัญของสมาคมหลอมอาวุธเรา หากท่านกระทำการกล่าวหาอย่างไร้หลักฐานขออภัยที่ข้าต้องเสียมารยาท” กล่าวจบก็ปรากฎดาบเล่มหนึ่งในมือ นี่คือดาบหม่าเตี้ยน ดาบระดับปฐพีเสริมแกร่งห้าส่วนที่เป็นอาวุธคู่กายของเซียะซีหลง

    เซียะซีหลงแม้จะเป็นนักหลอมอาวุธแต่ก็มิใช่คนอ่อนด้อยในการต่อสู้ ขึ้นชื่อว่าเป็นนักหลอมอาวุธระดับสูงย่อมศึกษาวิชาการต่อสู้มาไม่น้อยจะอ่อนด้อยได้อย่างไร ฟงเต๋อคุนเมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของเซียะซีหลงจึงกล่าววาจาอ่อนลง “เตี๋ยเอ๋อ สิ่งเจ้ากล่าวมามีหลักฐานยืนยันหรือไม่” เมิ่งเตี๋ยตอบกลับว่าที่พ่อสามีเสียงดังอย่างมั่นใจ “ย่อมต้องมี ท่านพี่เอ้อร์หลี่อีกทั้งเสี่ยวซี เสี่ยวถัง เสี่ยวป้าล้วนเป็นพยานได้” ลั่วเฉินได้ฟังก็หางตากระตุกอีกครั้ง “นี่เจ้าจะให้กลุ่มโจรของเจ้าเป็นพยานงั้นรึ หากผู้ถือกฎหมายฟังเหตุผลของเจ้าเมืองนี้คงจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว” 

    ฟงเต๋อคุนได้ฟังพลันรู้สึกอับอายเล็กน้อย “เมิ่งเตี๋ยจ้าวอารมณ์ทั้งยังไร้เหตุผลถึงเพียงนี้หากเจ้าไม่ใช่ธิดาที่รักของเจ้าเมือง ข้าคร้านจะข้องเกี่ยวกับเจ้าจริงๆ” ฟงเต๋อคุนเก็บความหดหู่ไว้ในใจก่อนจะกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเซียะ ขอท่านอนุญาตถามคำถามน้องชายท่านนี้สักหน่อยได้หรือไม่” เซียะซีเฟิงหันมองลั่วเฉิน ลั่วเฉินสบตากับฟงเต๋อคุน “ย่อมแน่นอนข้าลั่วเฉินเป็นคนตรงไปตรงมา” 

    แม้ฟงเต๋อคุนจะรู้สึกสะดุดกับแซ่ของชายหนุ่มเล็กน้อยแต่ก็ไม่คิดเชื่อมโยงชายหนุ่มกับชายชราในเมืองปิง มันพลันหรี่ตาลงก่อนจะกล่าวกับชายหนุ่ม “น้องชาย เจ้าคือคนที่ตัดมือบุตรชายข้าจริงหรือไม่” ลั่วเฉินพยักหน้ารับอย่างไม่แยแสกล่าวว่า “ถูกต้อง” ก่อนที่ฟงเต๋อคุนจะทันเดือดดาลลั่วเฉินก็กล่าวต่อ “แต่เป็นพวกมันที่พยายามจะแย่งชิงของรักดั่งชีวิตของข้าข้าจึงจำเป็นต้องตอบโต้” เมิ่งเตี๋ยได้ยินเช่นนั้นพลันตวาดดังก้อง “ของรักดั่งชีวิตบิดาเจ้า นั่นเป็นเพียงเนื้อย่างเท่านั้น” 

    ลั่วเฉินได้ฟังพลันปรากฏกระบี่ในมือ เขากล่าวพร้อมกับส่งประกายตาที่เย็นเฉียบ “เชื่อหรือไม่ว่าหากเจ้ากล่าววาจาสวะอีกเพียงครึ่งคำข้าตัดศีรษะของเจ้าลงมา” เมิ่งเตี๋ยได้ฟังวาจาข่มขู่ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความตายจิตใจก็สั่นสะท้าน แม้ใจอยากจะอยากกล่าววาจาตอบโต้แต่ปากกลับกลืนถ้อยคำลงไป ฟงเต๋อคุนได้ฟังยิ่งรู้สึกขายหน้าบุตรชายมันเสียมือข้างหนึ่งจากการพยายามแย่งชิงเพียงเนื้อย่างเท่านั้น

    แต่ถึงอย่างไรฟงเต๋อคุนก็เป็นแม่ทัพใหญ่เมืองเฟิง มันไม่อาจยินยอมโดยง่าย “น้องชายท่านนี้ นี่เป็นเพียงการแย่งชิงอาหารเท่านั้น เจ้าไม่คิดว่าตนเองลงมืออำมหิตไปหรือ” ลั่วเฉินได้ฟังก็หัวเราะออกมา “หากข้าลงมืออำมหิตจริง ไม่ว่าบุตรชายท่านหรือเด็กหญิงนี่รวมถึงคนที่เหลือล้วนไม่สามารถออกมาจากป่าในวันนั้นท่านเชื่อหรือไม่” ฟงเต๋อคุนหรี่ตามองชายหนุ่มที่ไม่มีท่าทีจะหวาดเกรงมันก็มีความคิดบางอย่างในใจ “วันนี้อยู่ในสมาคมนักหลอมอาวุธย่อมไม่อาจจำสิ่งใดได้ คงต้องหาโอกาสแก้แค้นในอนาคต” ลั่วเฉินเองก็หรี่ตามองฟงเต๋อคุน เขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวชายคนนี้แม้แต่น้อย

    “ในเมื่อเหตุการณ์ไม่มีความชัดเจนเช่นนี้ ข้าต้องขออภัยผู้อาวุโสเซียะรวมถึงสมาคมหลอมอาวุธ เรื่องนี้ขอให้ยุติแต่เพียงเท่านี้เถอะ” ถึงแม้ฟงเต๋อคุนเป็นคนไร้เหตุผลคนหนึ่งเช่นกัน แต่สถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้มันแสดงออกจึงจำเป็นต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน “เช่นนั้นขอท่านไปชำระเงินและรับสินค้าเถอะ” เซียะซีเฟิงกล่าวอย่างเรียบเฉย 

       ฟงเต๋อคุนได้รับชุดเกราะอ่อนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง มันเร่งสั่งการให้ทหารเตรียมพร้อมระดมพลออกเดินทางไปโจมตีเมืองปิงในวันรุ่งขึ้น เมื่อกลับถึงจวนก็สั่งการให้บุตรชายคนโตนำเกราะอ่อนสองตัวไปมอบให้กับจวนเจ้าเมือง แม้ฟงเต๋อคุนจะสามารถมอบให้กับเมิ่งเตี๋ยโดยตรงตั้งแต่แรก แต่หากให้บุตรชายนำไปมอบย่อมจะดีกว่า ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้กับเจ้าเมืองแล้วยังสามารถเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวมีโอกาสใกล้ชิดกันอีกด้วย ฟงเต๋อคุนยังสั่งการให้ฟงต้าหลี่บุตรชายคนโตคอยจับตามองลั่วเฉินอย่างระมัดระวังอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม

    ช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นกองทหารเมืองเฟิงที่เตรียมพร้อมทำสงครามมานานก็เคลื่อนทัพออกจากประตูเมืองตั้งแต่ฟ้าเริ่มสว่าง ลั่วเฉินเมื่อทราบเหตุการณ์ก็เกิดความคิดในใจ “นี่อาจเป็นเพราะข้าจึงเร่งให้เกิดสงครามครั้งนี้ ข้าจำเป็นต้องรีบกลับเมืองปิง พร้อมกับเตรียมการไม่ให้คนในจวนและเรือนของหยางป๋อมีอันตราย กองทัพนับหมื่นการเดินทัพย่อมล่าช้า หากข้ารีบออกเดินทางด้วยความสามรารถของข้าแม้จะอ้อมเส้นทางไปบ้างแต่ยังคงไปทันเวลาแน่นอน”

    ลั่วเฉินเมื่อคิดวางแผนเสร็จสิ้นก็หดหู่เล็กน้อย เวลานี้ตัวเขายังคงติดอยู่ในห้องหลอมอาวุธ เมื่อคืนหลังจากที่เสี่ยวหยารู้ว่าชายที่สร้างความรำคาญให้นางเป็นเพียงชายหนุ่มอายุน้อยทั้งยังสามารถหลอมสร้างชุดเกราะอ่อนระดับสูงได้ ก็เกิดความคิดท้าทายขึ้นมา นางท้าลั่วเฉินประลองการหลอมอาวุธกับนาง ถึงแม้ลั่วเฉินจะไม่สนใจแต่ก็ไม่สามารถหยุดการตามตื้อของนางได้ หลังการประลองสองรอบซึ่งล้วนจบด้วยความพ่ายแพ้ของเสี่ยวหยา ลั่วเฉินที่รู้สึกเบื่อหน่ายจึงต้องหาข้ออ้างว่าต้องการพักผ่อนเพื่อหยุดการตามตื้อของนาง

    แม้ไม่เต็มใจนักแต่เมื่อมองเวลาเสี่ยวหยาจึงต้องยอมปล่อยเขาไป แต่นางยังคงไม่ยอมแพ้ นางนัดหมายการประลองอีกครั้งในยามเช้า เมื่อคืนลั่วเฉินอยู่ในสมาคมหลอมอาวุธจนดึกเซียะซีหลงจึงเชิญให้พักค้างคืนในเรือน เรือนนี้ไม่มีแม้แต่ห้องรับรองแขก ลั่วเฉินต้องทรมานจากเสียงกรนสนั่นหูของเซียะซีหลงอยู่นานก่อนจะข่มตาหลับลงได้ เมื่อแสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเสี่ยวหยาก็มาตะโกนเรียกเขาอยู่นอกเรือน ลั่วเฉินเคยรู้สึกว่าเสียงนี้ช่างไพเราะยามอยู่บนเวทีประมูลเมื่อคืนวาน แต่เวลานี้เพียงได้ฟังกลับรู้สึกทรมานเหลือเกิน ลั่วเฉินรู้สึกว่าชาติก่อนตัวเขาอาจจะเคยทำบาปไว้กับคนเหล่านี้

    จวนแม่ทัพใหญ่เมืองเฟิง ฟงต้าหลี่ชายหนุ่มผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองเฟิงกำลังลองสวมชุดเกราะอ่อนสีดำที่บิดามอบให้ “นี่มันยอดเยี่ยมมาก ช่างสวมใส่สบายแถมยามเคลื่อนไหวยังสัมผัสถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งฟังจากที่ท่านพ่อเล่าชุดนี้ยังมีพลังป้องกันที่สูงมากอีกด้วย” ฟงต้าหลี่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ฟงต้าหลี่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอยู่แล้วเมื่อสวมชุดเกราะอ่อนสีดำทับด้วยชุดยาวสีฟ้าขาวทับยิ่งทำให้มันดูสง่างาม

    ฟงต้าหลี่นำชุดเกราะอ่อนอีกสองตัวที่บิดามอบไว้ใส่ลงในถุงมิติเตรียมนำไปมอบแก่จวนจ้าวเมือง แม้ตัวมันไม่คิดจะผูกตนเองไว้กับเมืองเล็กๆแห่งนี้ แต่กิจการยังคงต้องทำไปทีละขั้น ขณะที่กำลังจะออกจากจวนก็บังเอิญได้พบกับน้องชายคนรอง เมื่อเห็นสภาพน้องชายคนรองฟงต้าหลี่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสมเพช มันรู้ว่าน้องชายชอบพอเมิ่งเตี๋ยวันทั้งวันเพียงวิ่งตามสตรีราวกับเป็นสุนัขของนาง “ช่างเป็นขยะอย่างแท้จริง” ฟงต้าหลี่มองน้องชายพลางคิดเหยียมหยามในใจ

    “พี่ใหญ่ท่านจะไปจวนจ้าวเมืองใช่หรือไม่ ข้าขอไปกับท่านด้วย” ฟงเอ้อร์หลี่แจ้งจุดประสงค์การมาของตน ฟงต้าหลี่แม้จะรู้เจตนาของน้องชายแต่มันก็ไม่ใส่ใจ สำหรับมันน้องชายผู้นี้เป็นขยะที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันสิ่งใดกับมันได้ “ตามใจเจ้า” ฟงต้าหลี่กระโดดควบม้าวายุสัตว์อสูรระดับหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นสัตว์พาหนะ แม้จะถูกเชื่อมจิตแต่การที่ผู้ขี่จะควบคุมสัตว์อสูรระดับต่ำเป็นสัตว์พาหนะได้จำเป็นต้องใช้พลังปราณในการสะกดข่ม ฟงต้าหลี่ควบม้าวายุออกจากจวนไปอย่างสง่างาม ฟงเอ้อร์หลี่มองตามหลังพี่ชายพลางกัดฟัน มันรีบตะโกนสั่งให้บ่าวนำรถม้ามา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×