ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #22 : กลุ่มคนประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 67


    เซียะซีหลงแสร้งหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างเขินอาย “เอาล่ะจากผลงานนี้เจ้าสามารถรับตรานักหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สองดาราได้” ลั่วเฉินยิ้มเล็กน้อย “หากในสามชั่วยามข้าหลอมออกมาทั้งหมดห้าตัวจะเป็นอย่างไร” กล่าวจบลั่วเฉินก็นำเกราะอ่อนสีดำอีกสี่ตัวออกมาจากถุงมิติ  เซียะซีหลงเบิกตากว้าง “นี่ นี่เจ้าใช้เวลาเพียงสามชั่วยามอย่างนั้นรึ” ลั่วเฉินพยักหน้าเบาๆ เซียะซีหลงมองลั่วเฉินราวกับพบเจอสัตว์ประหลาดแต่ในฐานะผู้อาวุโสเขายังคงสามารถประคองสติได้ก่อนจะกล่าวว่า

     “เวลาเพียงสามชั่วยามเจ้าสามารถหลอมสร้างเกราะอ่อนระดับปฐพีได้ถึงสี่ตัวนี่มันน่าเหลือเชื่อมาก แต่ข้าต้องขอบอกว่าตัวข้าผู้ควบคุมการทดสอบของสมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิงมีสิทธิอนุมัติเหรียญตราสมาชิกระดับปรมาจารย์เพียงแค่สองดาราเท่านั้น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ วันพรุ่งนี้สมาคมของเราจะมีการจัดงานประมูลที่จัดขึ้นทุกหกเดือน เจ้ามอบเกราะอ่อนทั้งห้าตัวนี้ให้สมาคมนำออกประมูล หากสามารถทำเงินได้เกินห้าพันเหรียญทอง เจ้าได้เลื่อนระดับเป็นสมาชิกสมาคมระดับสูง และข้าจะสามารถมอบตรานักหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สามดาราให้กับเจ้าได้ แน่นอนว่าเจ้ายังได้รับส่วนแบ่งจากราคาประมูลห้าส่วน” “แปดส่วน” ลั่วเฉินตอบกลับโดยไม่ต้องคิด “หกส่วน” เซียะซีหลงต่อรอง “เจ็ดส่วน” ลั่วเฉินเรียกราคาสุดท้าย

       ลั่วเฉินคิดว่าราคาอย่างน้อยเจ็ดส่วนจึงจะเหมาะสมกับผลงานของเขา “ตกลงเจ้าเจ็ดส่วน สมาคมสามส่วน” เซียะซีหลงเองก็ยินดีกับราคานี้ “ท่านต้องคืนค่าเช่าห้องหลอมให้ข้าด้วย” ลั่วเฉินยังคงไม่ลืมเงินค่าเช่าสิบเหรียญทองของเขา เซียะซีหลงถึงกับพูดไม่ออกกับความตระหนี่ของชายหนุ่มคนนี้ เขารีบสั่งกับเสมียน “เจ้าไปเตรียมเหรียญตรานักหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สองดารากับเงินสิบเหรียญทองให้น้องชายท่านนี้ก่อน”

      ลั่วเฉินส่ายศีรษะ “เหรียญตราสองดาราท่านยังไม่ต้องนำมา ท่านเตรียมเหรียญตราสามดารารอไว้ให้ข้าเลยดีกว่า” ลั่วเฉินไม่เชื่อว่าชุดเกราะอ่อนที่หายากและคุณสมบัติดีขนาดนี้จะไม่สามารถประมูลราคาสูงกว่าตัวละหนึ่งพันเหรียญทอง ต้องรู้ว่าเขาสามารถขายเกราะอ่อนเสริมแกร่งสี่ส่วนให้กับหอการค้าลมวสันต์เมืองปิงโดยตรงได้ราคาตัวละหนึ่งพันเหรียญทอง เซียะซีเฟิงพยักหน้าก่อนจะถามลั่วเฉินว่า “นามของเจ้าคืออะไร จะมีการสลักนามลงบนตราของเจ้า” “ข้าชื่อลั่วเฉิน” 

       ลั่วเฉินเดินเล่นภายในเมือง เขาแวะไปหอการค้าลมวสันต์สาขาเมืองเฟิงก่อนจะพบว่าหอการค้าลมวสันต์สาขานี้เน้นการขายสมุนไพรและวัสดุหายากเป็นหลัก อีกหนึ่งหอการค้าขนาดใหญ่คือหอการค้าเงินเที่ยงธรรม หอการค้าแห่งนี้เป็นหอการค้าของแคว้นต้าเย่แต่ไม่ได้เป็นของราชวงศ์เย่โดยตรง หอการค้าเงินเที่ยงธรรมเป็นการร่วมมือของราชวงศ์กับคหบดีกลุ่มหนึ่ง หอการค้าแห่งนี้ก็คล้ายกับหอการค้าลมวสันต์ที่ขายสมุนไพรและวัสดุหายากเป็นหลัก

       ลั่วเฉินเมื่อเดินสำรวจหลายสถานที่แต่ก็ไม่มีอะไรดึงดูดเขาเป็นพิเศษ เมื่อเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายลั่วเฉินตัดสินใจหาเหลาสุราเลื่องชื่อเพื่อลิ้มรสอาหารท้องถิ่น ลั่วเฉินมาถึงเหลาสุราจู้เย่ตามที่คนท้องถิ่นแนะนำเขาเลือกที่นั่งที่ใกล้หน้าต่างภายในโถงชั้นแรก  ลั่วเฉินสั่งอาหารขึ้นชื่อสามอย่าง น้ำแกงหนึ่งชาม ระหว่างรออาหารเขาก็นำสุราแปดสมบัติออกมาหนึ่งกา ในห้องโถงเหลาสุราเวลานี้มีผู้คนจำนวนมาก หลายโต๊ะกำลังสนทนาประเด็นที่กำลังร้อนแรงในเมืองเฟิงอยู่ในเวลานี้

     “ได้ยินว่ามือขวาขาดต้องพิการไปตลอดชีวิต” “นี่เพราะห่มเหงคนดีมากเกินไปเวรกรรมเลยสนอง” “ได้ข่าวว่าเป็นการวางแผนล้างแค้น ฝ่ายตรงข้ามเป็นยอดฝีมือจำนวนมาก” “ข้าได้ข่าวมาว่าเป็นคนของพรรคตะวันรุ่ง” “ใช่ๆมีเพียงพรรคตะวันรุ่งเท่านั้นที่กล้าลงมือกับบุตรชายแม่ทัพใหญ่ฟงเช่นนี้” “เหตุใดพรรคตะวันรุ่งไม่สังหารให้ตายเสีย ตัวบัดซบนั่นมีชีวิตอยู่ไม่ทราบต้องมีคนดีอีกเท่าใดต้องรับเคราะห์” “ได้ข่าวว่าธิดาท่านเจ้าเมืองเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย” “ใช่ๆท่านเจ้าเมืองถึงกับตกรางวัลหนึ่งพันเหรียญทอง สำหรับผู้ใดก็ตามมีสามารถแจ้งเบาะแสคนร้ายได้”

     เสียงซุบซิบรอบข้างแม้จะเบาแต่โสตประสาทของลั่วเฉินยังคงได้ยินอย่างชัดเจน “เจ้าเด็กนั่นเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่เมืองเฟิงอย่างนั้นรึ บิดาของนางหนูนั่นเป็นเจ้าเมือง ช่างร่ำรวยยิ่งนักบุตรสาวได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยถึงกับตั้งรางวัลเบาะแสหนึ่งพันเหรียญทอง ข้าควรจะแจ้งเบาะแสตนเองดีไหมนะ แล้วพรรคตะวันรุ่งคืออะไร” ลั่วเฉินถูกขัดจังหวะความคิดเนื่องจากอาหารกำลังทยอยลงโต๊ะ เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะลั่วเฉินก็เลิกคิดต่อหันมาเพลิดเพลินกับการกินดื่ม ก่อนจะมีเสียงขัดจังหวะดังขึ้น “พี่ชาย ท่านเลี้ยงอาหารข้าได้หรือไม่” 

       ลั่วเฉินมองเด็กชายหน้าตามอมแมมอายุไม่เกินสิบปี พลางวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องหน้า เด็กชายแต่งกายด้วยชุดเก่าขาด แต่มีดวงตากลมโต คิ้วดั่งใบหลิว รูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งยังมีพลังบ่มเพาะอยู่ในแดนก่อกำเนิดขั้นที่สาม  “ดูปลอมมาก” ลั่วเฉินคิดในใจแต่ก็ยังอยากชมเรื่องราว “นั่งลงสิ” ลั่วเฉินเอ่ยปากพร้อมให้บริกรนำชามกับตะเกียบมาอีกหนึ่งชุด เมื่อได้ชามกับตะเกียบเด็กชายแสดงท่าทางการกินอย่างตะกละตะกาม “ปลานี่อร่อยมาก” เด็กชายส่งเสียงชื่นชมทั้งที่ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก 

    “พี่ชาย สุราของท่านหอมมากข้าของลองดื่มได้หรือไม่” เด็กชายกล่าวด้วยท่าทางเหนียมอายเล็กน้อย “ไม่ได้ เจ้ายังเป็นเด็กยังไม่อาจดื่มสุรา” ลั่วเฉินตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “มีเพียงผู้ใหญ่จึงจะดื่มได้อย่างนั้นหรือ” เด็กชายยังกล่าวยังเศร้าสร้อย “ถูกต้อง” ลั่วเฉินแสยะยิ้มกล่าว เด็กชายได้ยินสีหน้าที่กำลังสลดกลับปรากฎรอยยิ้ม เด็กชายส่งเสียงตะโกนไปทางประตูด้านหน้าเหลาสุรา “ท่านปู่ พี่หญิง พวกท่านมาเถิด” 

    สิ้นเสียงของเด็กชายก็มีชายชราผมขาวรูปร่างเตี้ยใส่ชุดเก่าสีซีดมีรอยปะชุนจำนวนมากเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง ด้านหลังมีแม่นางน้อยงดงามผู้หนึ่ง แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าซีดแต่ก็ไม่อาจปกปิดความงดงามของนาง นางมีผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้ารูปแตง คิ้วโก่ง ดวงตาดุจผลซิ่ง(1)   จมูกโด่ง ผมดำขลับเกล้าสูงปล่อยปอยผมด้านข้างเล็กน้อย เด็กชายพลางกล่าวต้อนรับ “พวกพวกท่านนั่งก่อน พี่ชายคนนี้ใจดีมากหากอาหารไม่เพียงพอยังสามารถสั่งเพิ่มได้” ลั่วเฉินมองคนทั้งสามที่จัดแจงขอชามตะเกียบกับบริกรด้วยตนเอง ชราถึงกับสั่งอาหารเพิ่มอีกหลายอย่าง คนรอบข้างต่างส่งสายตาสงสารให้กับชายหนุ่ม 

    “คุณชาย ข้ารินสุราให้ท่านดีหรือไม่” พูดจบไม่รอให้ลั่วเฉินกล่าวตอบแม่นางน้อยพลันยกกาสุรารินสุราสีอำพันให้กับลั่วเฉิน “ท่านปู่ สุรานี้หอมมาก ท่านลองดื่มดูนะเจ้าคะ” แม่นางน้อยกล่าวพลางรินสุราให้กับชายชรา ชายชรายกจอกกระดกสุราลงคอไปอย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวชม “สุราดี สุราดี” แม่นางน้อยคลี่รอยยิ้มงดงามก่อนจะกล่าว “ค่อยๆดื่มสิเจ้าคะ” กล่าวพลางกำลังจะรินสุราเติมให้ชายชรา “ไม่ต้องลำบากเจ้าข้าจัดการเอง ซูอี้เจ้ากินอาหารเถอะ” ชราคว้ากาสุราจากมือแม่นางน้อยรินให้กับตนเอง ถึงแม้ลั่วเฉินตั้งใจจะชมการเสแสร้งของกลุ่มคนแต่ยังอดไม่ได้ที่จะหางตากระตุก

    ลั่วเฉินมองชายชราที่กำลังดื่มสุราของเขาอย่างพิจารณา ชายชราร่างเตี้ยลักษณะคล้ายขอทานผู้นี้กลับเป็นผู้บ่มเพาะแดนนภาขั้นปลาย ถึงชายชราจะปกปิดรัศมีพลังแต่ลั่วเฉินก็ยังสัมผัสได้ว่าชายชราผู้นี้ได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในแดนนภาขั้นสูงสุดแล้ว แม้แต่ดรุณีน้อยผู้งดงามก็เป็นผู้บ่มเพาะแดนปฐพีขั้นกลาง  คนเหล่านี้มีเจตนาเข้าหาตนด้วยสิ่งใด หากชายชรามีเจตนาร้ายตัวเขาในเวลานี้คงทำได้เพียงหลบหนีเท่านั้น  ชายชรายังคงเพลิดเพลินกับอาหารและสุรา ขณะที่ลั่วเฉินกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ 

    ชายชราเหลือบมองชายหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้ว จึงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “น้องชายท่านนี้สุรานี้ของเจ้ารสดียิ่ง ไม่ทราบยังมีอีกหรือไม่” ลั่วเฉินส่ายศีรษะปฏิเสธ “นี่เป็นสุราที่ข้าได้มาด้วยความบังเอิญ หากท่านชอบสุรากานี้ก็ขอมอบให้ท่าน” แม้จะผิดหวังแต่เมื่อมองสุราที่ยังเหลือมากกว่าครึ่งกาชายชราจึงยังคงกล่าวอย่างมีความสุข “ขอบใจน้องชายมาก ดูแล้วน้องชายไม่น่าจะใช่คนเมืองนี้ หากเจ้ามีปัญหาใดในเมืองเฟิงนี้ขอเพียงไม่ใช่เรื่องเงิน เพียงเอ่ยว่ารู้จักข้าเหล่าจิ่วจะพอผ่อนผันเรื่องราวได้” ลั่วเฉินแม้ไม่ทราบว่าเหตุใดชายชราท่าทางซอมซ่อผถึงกล่าววาจาได้ใหญ่โตเพียงนี้แต่ก็ยังกล่าวขอบคุณ ในมื้ออาหารไม่มีคำถามใดเพิ่มเติม ไม่แม้แต่ถามนามของลั่วเฉิน มีเพียงคำกล่าวยกยออีกเล็กน้อย คนทั้งสามกินอาหารกันอีกราวสองเค่อ(2)ก่อนที่จะกล่าวคำขอบคุณแล้วจากไป

       ลั่วเฉินมองคนทั้งสามที่เดินจากไป แม้ไม่ทราบว่าคนเหล่านี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่แต่ยังพอจะคาดเดาได้ว่า อย่างน้อยเวลานี้คนเหล่านี้ก็ไม่น่าจะมีเจตนาร้าย “คืนวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นวันประมูลของสมาคมหลอมอาวุธ ใช้เวลาที่เหลือนี้ในการหลอมชุดเพิ่มเถอะ” ลั่วเฉินยังมีซากวานรขนเหล็กอีกหลายร้อยตัว เขาจะหลอมมันเป็นเกราะอ่อนทั้งหมดแต่จะยังไม่นำออกมาขาย ยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองเฟิงซึ่งถือเป็นเมืองอริของเมืองปิง แม้ลั่วเฉินจะไม่รู้สึกอันใดกับเมืองปิงแต่ปู่กับย่าของเขายังคงอยู่ในเมืองนั้นอีกทั้งยังมีผู้บริสุทธิ์อีกเป็นจำนวนมาก ลั่วเฉินตรงไปที่สมาคมนักหลอมอาวุธโดยตรง ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกระดับสูงจึงมีส่วนลดในการเช่าห้องหลอม ลั่วเฉินจ่ายสิบเหรียญทองสำหรับการเช่าห้องหลอมระดับกลางเป็นเวลาหนึ่งวัน

     วันต่อมาในเมืองเฟิงสถานที่ต่างๆล้วนคึกคัก ผู้คนมากมายเดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อร่วมงานประมูลของสมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิงที่จัดขึ้นทุกหกเดือน มีหลายคนเดินทางมาลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อที่จะได้นั่งในตำแหน่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน  บรรดาขุนนางใหญ่และค่ายสำนักต่างก็ส่งคนมาเพื่อจับจองห้องรับรองเช่นกัน ในห้องหลอมของสมาคมหลอมอาวุธสาขาเมืองเฟิง ลั่วเฉินผู้ไม่ทราบเหตุการณ์ยังคงหลอมชุดเกราะอ่อนต่อไป ตอนนี้เขาหลอมชุดเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งห้าส่วนไปแล้วยี่สิบชุด เขามองซากวานรที่ยังเหลือในแหวนมิติพลางรู้สึกหดหู่ “นี่มันสิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป ใกล้ถึงเวลาการประมูลแล้ว ข้าควรจะพักสักหน่อย” 

        โถงประมูลของสมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิงตั้งอยู่บนชั้นที่สามของอาคารเป็นโถงประมูลขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้มากถึงหนึ่งพันคน นอกจากนั้นยังมีห้องรับรองอีกสิบห้อง งานประมูลนี้จัดขึ้นทุกหกเดือน ทุกครั้งจะมีอาวุธระดับสูงหลายชนิดถูกนำออกมาประมูลทำให้บุคลลสำคัญและค่ายพรรคทั้งในเมืองเฟิงและเมืองโดยรอบต่างส่งคนมาร่วมประมูลโดยหวังจะได้ของดีอยู่เสมอ ในการประมูลครั้งนี้มีข่าวว่าสมาคมหลอมอาวุธจะนำของดีหลายชิ้นออกประมูลทำให้ฝูงชนที่มาล้วนพูดคุยกันอย่างคึกครื้น

     ในห้องรับรองหมายเลขหนึ่ง เมิ่งเตี๋ยธิดาของเจ้าเมืองเฟิงที่ควรจะอยู่ในช่วงพักฟื้นกลับมาปรากฏตัวที่นี่ เหตุการณ์ในป่าวันนั้นไม่เพียงนางจะสูญเสียใบหน้านางยังเสียอาวุธวิญญาณคู่มือไปอีกด้วย นางอ้อนวอนบิดาหลายครั้งก่อนจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อมาร่วมประมูลในครั้งนี้ ในห้องยืนด้วยองครักษ์แดนปฐพีขั้นกลางอีกสองคน เมิ่งเตี๋ยมองไปทางเวทีที่ว่างเปล่ากล่าวอย่างไม่พอใจนักว่า “เหตุใดการประมูลยังไม่เริ่มอีก หวังว่างานครานี้จะมีแส้ดีๆออกประมูล” 

         ในห้องรับรองหมายเลขสอง มีชายสองคนหนึ่งนั่งหนึ่งยืน ชายที่ยืนกล่าวกับชายที่นั่งว่า “เรียนท่านแม่ทัพข่าวได้รับการยืนยันแล้วว่าเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งห้าส่วนจะถูกนำมาประมูลในงานนี้จริงขอรับ” ชายที่ถูกเรียกว่าท่านแม่ทัพอายุราวสี่สิบปี แม้จะนั่งอยู่ก็สามารถมองออกได้ว่ามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำอีกทั้งยังแผ่รัศมีอันน่าเกรงขาม มันคือฟงเต๋อคุนแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองเฟิง บิดาของชายหนุ่มที่ถูกลั่วเฉินตัดมือไปนั่นเอง ฟงเต๋อคุนไม่มีท่าทางคล้ายบิดาที่บุตรเพิ่งถูกทำร้าย มันยังคงสงบราวกับผู้ที่ถูกทำร้ายไม่ใช่บุตรของมันเอง นั่นเพราะในสายตาของฟงเต๋อคุนมีเพียงการใหญ่ในฐานะแม่ทัพเท่านั้น ส่วนที่บุตรชายถูกทำร้ายนั่นเป็นเพราะว่าไร้ความสามารถเอง

    (1)ผลชิ่ง แอปริคอท
    (2)หนึ่งเค่อ ประมาณ 15 นาที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×