ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #21 : สมาคมนักหลอมอาวุธเมืองเฟิง

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 67


      วันต่อมาหลังจากมอบหมายภารกิจให้กับสหาย ลั่วเฉินออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเฟิงตามลำพัง เขาดักปล้นพ่อค้าคนหนึ่งก่อนจะถือใบผ่านแดนจูงเกวียนลาเข้าสู่เมืองเฟิง เมื่อเข้าสู่เมืองสำเร็จลั่วเฉินก็ขายเกวียนลาพร้อมสินค้าในราคาต่ำให้กับพ่อค้าคนกลาง ลั่วเฉินตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะเดินสำรวจเมืองแห่งนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เมืองเฟิงมีขนาดใหญ่กว่าเมืองปิงเล็กน้อยแต่กลับมีทหารประจำการมากถึงหนึ่งหมื่นคน เมื่อลั่วเฉินเห็นทหารที่กำลังลาดตระเวนในเมืองเขาก็พบว่าทหารเหล่านี้องอาจเข้มแข็งต่างกับทหารเมืองปิงอย่างเห็นได้ชัด

     ลั่วเฉินที่เคยบัญชากองทัพนับล้าน สามารถมองเห็นได้ทันทีถึงความมีวินัยของทหารและความสามารถของผู้บัญชาการ เหล่าทหารเมืองเฟิงมีวินัยตื่นตัวคล้ายกับจะพร้อมรบได้ตลอดเวลา ขณะที่ทหารเมืองปิงส่วนใหญ่ล้วนวางอำนาจลุ่มหลงไปกับสุรานารี ไม่จำเป็นต้องจินตนาการก็ทราบได้ว่าหากมีการรบกันฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ แต่เรื่องนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับลั่วเฉิน แม้ทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเขา ถึงเวลานั้นเขาเพียงต้องดูแลความปลอดภัยให้กับคนในจวนแม่ทัพและสหายอีกไม่กี่คนเท่านั้น

      ลั่วเฉินสำรวจเมืองอย่างคร่าวๆก่อนที่เขาจะหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักค้างแรม วันนี้เขาเข้าเมืองช้าเกินไปจำเป็นต้องพักสักคืนเพื่อที่จะเข้าทดสอบกับสมาคมนักหลอมอาวุธในเช้าวันพรุ่งนี้ ลั่วเฉินพบโรงเตี๊ยมขนาดเล็กแห่งหนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เขาสอบถามกับเสมียนก่อนเช่าห้องสำหรับพักแรมหนึ่งคืน โรงเตี๊ยมนี้แม้มีขนาดเล็กแต่ราคาห้องพักราคาสูงถึงยี่สิบเหรียญเงินต่อคืน เมื่อเทียบกับราคาโรงเตี๊ยมขนาดเดียวกันราคานี้สูงเป็นสามเท่าของโรงเตี๊ยมในเมืองปิง สาเหตุที่ที่พักในเมืองเฟิงมีราคาสูงเป็นเพราะสาขาของสมาคมนักหลอมอาวุธที่ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้เพราะสามารถซื้ออาวุธคุณภาพสูงในราคาที่ถูกกว่าเมืองอื่นในบริเวณใกล้เคียง เมืองเฟิงจึงคับคั่งไปด้วยบรรดาพ่อค้าและผู้ฝึกวิชายุทธ 

      วันต่อมาลั่วเฉินยืนอยู่ด้านหน้าสมาคมนักหลอมอาวุธสาขาเมืองเฟิงพลางสังเกตสถานที่และผู้คนโดยรอบ อาคารขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายทั่งตีเหล็ก ตัวอาคารสูงมีเพียงช่องลมจำนวนมากไม่มีหน้าต่างหรือระเบียง เมื่อประเมินด้วยสายตาคาดว่าจะมีสามชั้น ป้ายด้านหน้าประดับอักษรวิจิตรแสดงชื่อสถานที่ว่า “สมาคมหลอมอาวุธสาขาเมืองเฟิง” แม้จะเป็นยามเช้าแต่ก็มีฝูงชนจำนวนมากต่อแถวเข้าสู่สมาคม มีทั้งผู้ที่จะเข้าร่วมการทดสอบเป็นนักหลอมอาวุธและผู้ที่มาหาซื้ออาวุธต่างๆ  ลั่วเฉินไม่มีทางเลือกจึงต้องเข้าไปต่อแถวท้ายสุด

      หลังจากผ่านไปสองชั่วยามลั่วเฉินก็ขยับเข้าใกล้ประตูสมาคมหลอมอาวุธ ยามเฝ้าประตูคอยตะโกนบอกฝูงชนให้เป็นระเบียบ ขณะนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังคนกลุ่มหนึ่งแดนแหวกฝูงชนเข้ามาท่ามกลางความไม่พอใจของบรรดาผู้คนรอบข้าง คนกลุ่มนี้เดินแหวกฝูงชนไปถึงด้านหน้าที่ยามเฝ้าประตูขวางอยู่ ชายวัยกลางคนแต่งตัวคล้ายพ่อบ้านผายมือไปทางชายท่าทางหยิ่งผยองอายุราวสามสิบปีพร้อมเอ่ยปากกับคนเฝ้าประตูอย่างเย่อหยิ่ง “นายน้อยของข้าต้องการเข้าทดสอบเป็นนักหลอมอาวุธ จงเปิดทางแล้วเรียกผู้อาวุโสในสมาคมของเจ้าออกมาต้อนรับ” ฝูงชนรับฟังด้วยความตื่นตะลึง บางคนยังส่งเสียงพูดคุยเสียงดัง “เจ้าโง่กลุ่มนี้มาจากที่ไหน ไม่รู้รึว่าสถานที่นี้คือที่แห่งใด” 

       ยามเฝ้าประตูเหลือบมองกลุ่มคนพร้อมกับแสยะยิ้มออกมา “แล้วนายน้อยของเจ้ามีคุณสมบัติใด” ชายพ่อบ้านได้ฟังพลันเดือดดาล “คุณชายของข้าเป็นบุตรชายของรองแม่ทัพรักษาการเมืองเอี้ยน หากเจ้ายังไม่อยากตายก็ไสหัวไปตามผู้อาวุโสของเจ้ามา” ยามเฝ้าประตูพลันหัวเราะก่อนจะฟาดฝ่ามือลงกลางศีรษะของชายพ่อบ้าน พลังปราณมาพร้อมกับฝ่ามือกดดันจนคนรอบข้างหน้าถอดสี ชายพ่อบ้านเบิกตากว้างไม่คิดว่ายามเฝ้าประตูจะกล้าลงมือกับตน ก่อนจะได้สติผ่ามือก็โจมตีกลางศีรษะจนเลือดสาดกระจาย ชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่าคุณชายพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตามที่เหลือต่างก็ตกตะลึงหนังศีรษะชาจิตใจสั่นสะท้าน “นี่เป็นเพียงยามเฝ้าประตูไม่ใช่หรือเหตุใดจึงลงมืออำมหิตถึงเพียงนี้”

     ชายหนุ่มผู้โง่เขลาคนนี้เป็นบุตรชายของรองแม่ทัพผู้หนึ่งของเมืองเอี้ยน เมืองเอี้ยนเป็นหัวเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของแคว้นต้าเย่ ชายหนุ่มเสเพลที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจากมารดาเมื่อพบว่าตนเองมีความสามารถในการหลอมอาวุธแม้จะมีความสำเร็จเพียงเล็กน้อยกลับยิ่งมีนิสัยเย่อหยิ่ง  ยามเฝ้าประตูสังหารผู้คนไปคนหนึ่งก็ไม่กะพริบตาแม้แต่น้อยทั้งยังแผ่เจตนาสังหารก่อนจะกล่าว “ไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งบุตรชายรองแม่ทัพของเจ้า แม้แต่บิดาเจ้ามาเองหากไม่ได้ทำการนัดหมายล่วงหน้าก็ยังต้องไปต่อแถว”

       หากบิดาของคุณชายผู้โง่เขลาทราบการกระทำของบุตรชาย คงต้องทุบตีบุตรอกตัญญูผู้นี้ให้ตายไปเสีย ตัวบัดซบที่มีความสามารถเพียงน้อยนิดกล้าดีอย่างไรมากำแหงที่สมาคมหลอมอาวุธ คุณชายผู้โง่เขลาแข้งขาสั่นเทาพร้อมจะทรุดตัวลงได้ทุกเมื่อ ยามเฝ้าประตูเพียงเหลือบมองก่อนกล่าวอย่างดูถูก “กำลังจะยืนให้มั่นคงยังไม่มี เจ้าจะมาทดสอบสิ่งใด ยังไม่รีบไสหัวไป” คุณชายผู้โง่เขลาได้ยินดั่งได้รับการนิรโทษกรรมรีบหันหลังวิ่งหนีไปพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามที่เหลือ

      ลั่วเฉินที่มองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นอดที่จะรู้สึกดีกับสมาคมแห่งนี้ไม่ได้ “เป็นสมาคมที่มีความเข้มแข็งมากกว่าที่ข้าคิด ไม่ต้องคอยเกรงใจผู้มีอำนาจแม้แต่ยามเฝ้าประตูก็อยู่ในแดนปฐพีขั้นกลาง” ลั่วเฉินรออีกเพียงไม่นานก็ถึงคิวของเขา ยามเฝ้าประตูมองลั่วเฉินก่อนจะถามว่า “เจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่” ลั่วเฉินตอบกลับยามเฝ้าประตูอย่างสุภาพว่า “ท่านอา ข้ามาทดสอบเป็นนักหลอมอาวุธ” 

      ยามเฝ้าประตูมองลั่วเฉินด้วยสีหน้าเฉยชา “นี่เจ้าอายุเท่าไร เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นที่เล่นของเจ้าหรือ” ลั่วเฉินได้ฟังไม่มีท่าทีร้อนรนเพียงหยิบกระบี่วิญญาณแกร่งห้าส่วนที่นำกลับมาจากหยางป๋อยื่นส่งให้ยามเฝ้าประตู ยามเฝ้าประตูไม่ได้เป็นนักหลอมอาวุธแต่ก็เห็นอาวุธระดับต่างๆมามากมายย่อมสามารถรู้ระดับของกระบี่เล่มนี้ได้ ถึงจะไม่ค่อยอยากเชื่อว่าชายหนุ่มอายุน้อยคนนี้จะมีความสามารถเป็นนักหลอมอาวุธเท่าใดนักแต่ยังให้ลั่วเฉินผ่านประตูเข้าไป

      เมื่อเข้ามาในชั้นแรกของสมาคมนักหลอมอาวุธลั่วเฉินก็พบว่าภายในมีชั้นวางอาวุธจำนวนมากจัดแสดงอยู่ อาวุธเหล่านี้ล้วนมีคุณภาพดีและประเภทของอาวุธก็มากกว่าหอการค้าในเมืองปิง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประเภทตะขอที่ไม่เป็นที่นิยมหรืออาวุธลับแปลกๆก็สามารถซื้อหาได้ในสถานที่แห่งนี้ หากไม่นับว่าระดับของอาวุธเหล่านี้ต่ำเกินไปสำหรับลั่วเฉิน สถานที่แห่งนี้ก็ถือว่าเป็นสถานที่ซื้อขายอาวุธที่ดี

      ลั่วเฉินมาถึงโต๊ะเสมียนภายในตามที่ยามเฝ้าประตูบอกเขาก็บอกจุดประสงค์ที่มา “ข้ามาเพื่อทดสอบเป็นนักหลอมอาวุธ” เสมียนแม้จะแปลกใจแต่สีหน้ายังคงเป็นปกติ “เจ้าจะทดสอบหลอมอาวุธระดับใด จัดเตรียมวัสดุมาด้วยหรือไม่” ลั่วเฉินนำร่างวานรขนเหล็กตัวหนึ่งออกมาจากถุงมิติ “ข้าจะทดสอบหลอมอาวุธระดับปฐพี” เสมียนเลิกคิ้วสูงพลางมองวัสดุบนโต๊ะ “ค่าทดสอบสิบเหรียญทอง มีเวลาสามชั่วยามในการทดสอบ หากในการทดสอบเจ้าไม่สามารถหลอมสร้างให้ทันเวลาหรือสิ่งที่หลอมสร้างได้มีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ”

        ลั่วเฉินเมื่อรู้ถึงราคาค่าทดสอบก็กล่าวอย่างไม่พอใจนัก “ข้าเพียงหยิบยืมเตาของท่านเหตุใดราคาค่าทดสอบจึงแพงถึงเพียงนี้” เสมียนได้ฟังก็พลันเดือดดาลก่อนจะตวาดว่า “เจ้าจะทดสอบหรือไม่” ลั่วเฉินแสดงท่าทีขออภัยก่อนจะกล่าวว่า “สิบเหรียญทองก็สิบเหรียญทองเหตุใดท่านจึงดุร้ายถึงเพียงนี้” เมื่อจ่ายค่าทดสอบสิบเหรียญทองลั่วเฉินก็นำวัสดุที่เตรียมมาบนโต๊ะเข้าสู่ห้องหลอมด้านใน เมื่อพิจารณาห้องหลอมนี้แล้วลั่วเฉินก็พบว่าเป็นห้องหลอมอาวุธที่มีระดับสูงกว่าห้องหลอมอาวุธของเขาอยู่พอสมควร  “หากว่ากันตามจริงราคาค่าเช่าสิบเหรียญทองก็ไม่ได้แพงเกินจริงมากนัก”

     ห้องหลอมอาวุธนี้มีเตาหลอมระดับกลางพร้อมทั่งและค้อนหลายขนาด ผนังด้านหนึ่งวางไว้ด้วยถ่านหินสีดำจำนวนมาก ถ่านหินนี้ผู้เช่าห้องสามารถใช้ได้อย่างอิสระราคาถูกรวมไว้ในค่าเช่าแล้ว ลั่วเฉินมองกองถ่านหินพลางคิดกับตนเอง “ใช้เพียงถ่านหินเหล่านี้ก็พอ” เวลาผ่านไปสามชั่วยาม ลั่วเฉินก้าวออกจากห้องหลอมพร้อมชุดยาวสีดำในมือ เสมียนมองดูก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่คือสิ่งใด” ลั่วเฉินยื่นส่งชุดในมือให้เสมียนด้วยรอยยิ้ม “นี่คือชุดเกราะอ่อนระดับปฐพี” เสมียนได้ฟังคราแรกคิดว่าตนเองหูฝาดไป เมื่อมองชุดในมืออย่างพิจารณาเสมียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “ท่านรอที่นี่สักครู่” เสมียนกล่าวกับลั่วเฉินด้วยความสุภาพกว่าเดิม เขารู้ดีว่าหากชายหนุ่มทดสอบผ่านต่อไปเมื่อพบชายหนุ่ม เขาต้องเรียกชายหนุ่มผู้นี้เป็นท่านปรมาจารย์ 

       ลานด้านในมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งฝนดาบอยู่ข้างบ่อน้ำ ชายร่างใหญ่ผู้นี้สวมเพียงกางเกงสีดำตัวหนึ่งเผยร่างท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เสมียนเดินเข้าหาชายผู้นั้นก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านปรมาจารย์นี่คือสิ่งที่ผู้เข้าทดสอบหลอมสร้างขึ้น ผู้น้อยโง่เขลาขอท่านปรมาจารย์โปรดพิจารณา” ชายวัยกลางคนมองไปยังชุดสีดำในมือเสมียนอย่างพิจารณาเพียงไม่นานก็มีสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่กล่าวคำใดเพียงฟันดาบในมือใส่ชุดสีดำในมือเสมียน เสมียนร้องตกใจเขาคาดไม่ถึงมาก่อนว่าเพียงนำสิ่งนี้เข้ามาท่านปรมาจารย์ที่เขารับใช้มาตลอดจะแสดงออกเช่นนี้ ในขณะที่เสมียนคิดว่าจะต้องสูญเสียมือคู่นี้ไปแล้ว กลับมีสิ่งที่ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อดาบคมในมือของท่านปรมาจารย์เพียงทำให้มือทั้งสองของเขาชาเพียงเล็กน้อย ไม่เพียงไม่อาจสร้างความเสียหายใดกับมือของเขาแม้แต่ชุดสีดำในมือยังไร้รอยขีดข่วน “นี่เป็นชุดเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งห้าส่วน เจ้ารีบไปนำผู้ทดสอบเข้ามา”

       เซียะซีหลงเป็นผู้อาวุโสของสมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิงและยังเป็นนักหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สามดารา เขามีประสบการณ์หลอมอาวุธมามากมาย แต่เกราะอ่อนสีดำในมือก็ยังทำให้เขาประหลาดใจ เขาเคยเห็นเกราะอ่อนวิญญาณครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน นั่นเป็นผลงานของนักหลอมอาวุธจากสำนักหลอมทะเลใต้ ซึ่งเป็นนักหลอมระดับปรมาจารย์สี่ดารา แต่เกราะอ่อนสีดำนี้เป็นผลงานของผู้เข้าทดสอบ อีกทั้งยังใช้เวลาหลอมเพียงสามชั่วยาม หากให้ตัวเขาทำผลงานที่มีความละเอียดสูงเช่นนี้อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ชั่วยามทั้งยังไม่อาจรับประกันความสำเร็จ

          “นี่เป็นปรมาจารย์ที่หลบเร้นกายหรือนักหลอมอาวุธจากทะเลใต้กันนะ” เซียะซีหลงคาดเดาถึงผู้มา แต่เมื่อเห็นเสมียนเดินนำชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาเซียะซีหลงก็เอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ “ผู้เข้าทดสอบเล่า” เสมียนเอ่ยตอบด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “นี่คือผู้เข้าทดสอบขอรับ” เซียะซีหลงมองไปที่ชายหนุ่มอีกครั้งก่อนถามด้วยความไม่เชื่อว่า “นี่เป็นผลงานของเจ้าจริงรึ เจ้าคงไม่ได้หลอกลวงการทดสอบใช่ไหม” เมื่อเอ่ยปากออกไปก็รู้สึกว่าคำพูดของตนช่างโง่เขลา ชุดเกราะอ่อนนี้มันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเพิ่งจะผ่านการหลอมสร้างขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×