ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #17 : รวบรวมวัสดุ

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 67


    “เอาล่ะ พวกท่านจงไปตามหาสัตว์อสูรที่พวกท่านต้องการ จงอย่าลืมว่าต้องเป็นสัตว์อสูรระดับสี่ถึงระดับห้าและหากพวกท่านพบแมงมุมสันโดษหลังม่วงจงจับมันกลับมาให้ข้าเป็นๆ  สามารถสังเกตหลังที่เป็นสีม่วงของมันและใยที่มันถักทอจะเป็นประกายสีม่วงเมื่อกระทบแสง หญิงงามทั้งสองพยักหน้าก่อนจะออกเดินทางไปด้วยกัน แน่นอนว่าเซียวหลิงซีต้องความปลอดภัยของหานอี้หนิง แม้ว่าการจะให้หานอี้หนิงอยู่รอพร้อมกับลั่วเฉิงก็น่าจะปลอดภัยเช่นกันแต่เมื่อตั้งใจเดินทางเข้าป่ามาเพื่อผจญภัยย่อมไม่อาจปล่อยให้นางนั่งรออยู่เฉยๆ

    หลังจากที่คนทั้งหมดจากไปลั่วเฉินก็เริ่มทำบางอย่าง เขานำเศษกระดูกหลายชิ้นออกมาก่อนจะใช้นิ้ววาดอักขระลงไป หลังจากนั้นก็โยนเศษกระดูกเศษกระดูกไปตามจุดต่างรวมถึงหลายชิ้นที่โยนไปบนต้นไม้ ลั่วเฉินไม่กังวลในการตามหาวัสดุของหญิงงามทั้งสองเนื่องจากสิ่งที่พวกนางต้องการสามารถพบเจอได้แบบสุ่ม แต่กับหยางป๋อนั้นต่างกันลั่วเฉินต้องทำให้มั่นใจว่าอสูรเหยี่ยวเมื่อมาแล้วจะไม่สามารถกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อีก ความเร็วของสูรเหยี่ยวไม่ใช่ความเร็วที่มนุษย์สามารถตามทันได้หากยังไม่บรรลุแดนนภา แม้ว่ากระบวนท่ากระบี่ของหยางป๋อจะมีความรวดเร็วไม่น้อยแต่ลั่วเฉินยังคงต้องทำบางอย่างเพื่อความมั่นใจ แน่นอนว่าเขาจะไม่เข้าไปช่วยหยางป๋อจัดการกับอสูรเหยี่ยวเขาเพียงจะทำการรั้งมันไว้เท่านั้น

    สองชั่วยามต่อมาหญิงงามทั้งสองก็กลับมาพร้อมกับวัสดุบางอย่าง สัตว์อสูรระดับสี่สองตัวถูกนำออกมาจากถุงมิติวางลงตรงหน้าลั่วเฉิน อสูรตัวแรกเป็นกระต่ายยักษ์ที่มีขนสีขาวเป็นประกายระยิบระยับด้วยเกล็ดน้ำแข็ง มันมีเขี้ยวยาวสองข้างขนาดลำตัวใกล้เคียงกับลูกวัวตัวหนึ่ง ส่วนสัตว์อสูรอีกตัวเป็นผีเสื้อขนาดใหญ่สีชุมพู ที่หัวฝังไว้ด้วยแท่งน้ำแข็งนับสิบอัน ปีกสองข้างเมื่อกางออกความกว้างไม่น้อยไปกว่ารถม้าที่ลั่วเฉินนั่งมา “เลือกได้ดี การจะจับพวกมันมาได้คาดว่าจะต้องลำบากไม่น้อย” ลั่วเฉินพยักหน้า 

    “กระต่ายตัวนี้จับไม่ยากนักแต่ผีเสื้อมายานับว่าโชคดีที่ข้ามียาแก้พิษหรรษาไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจับมันมาได้” เซียวหลิงซีกล่าว กระต่ายยักษ์ตัวนี้เป็นเซียวหลิงซีที่ต้องการ ลั่วเฉินสามารถบอกได้ว่าหากเขานำหนังและขนของกระต่ายตัวนี้มาหลอมสร้างเป็นเกราะอ่อนให้กับเซียวหลิงซี แม้พลังเหมันต์ของนางจะเพิ่มขึ้นแต่ก่อนที่นางจะสามารถทะลวงสู่แดนจักรพรรดิ ชุดเกราะอ่อนนี้จะสามารถลดผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจจากพลังเหมันต์ให้กับนางได้

    สำหรับหานอี้หนิงผีเสื้อมายาตัวนี้เมื่อนำมาหลอมสร้างเขาจะเก็บละอองของมันเอาไว้ในชุดเพื่อเป็นตัวช่วยของนาง หากหานอี้หนิงถูกโจมตีไม่เพียงแต่เกราะอ่อนจะสามารถป้องกันการโจมตีให้นางได้เท่านั้น ละอองเหล่านี้ยังสามารถสร้างความมึนงงทำให้นางมีอากาสโจมตีหรือหลบหนี “เอาล่ะ สัตว์อสูรเหล่านี้นอกจากจะสีสวยงามแล้วเมื่อนำมาหลอมสร้างชุดเกราะอ่อนต่อไปจะมีประโยชน์กับพวกเจ้าไม่น้อย ระหว่างรอเสี่ยวป๋อข้าจะทำอาหารก่อนคืนนี้ทุกคนจะได้กินเนื้อกระต่ายตุ๋นกัน” ลั่วเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    สองชั่วยามต่อมา หยางป๋อก็ลากร่างกายอันเหนื่อยล้ามาพร้อมกับอสูรงูที่มีลำตัวยาวกว่าเขาถึงห้าเท่า ลั่วเฉินเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “นี่ท่านเศรษฐีหยาง ท่านมีเงินทองมากมายเหตุใดจึงไม่ซื้อถุงมิติใบใหญ่ไว้ใช้ซักใบเล่า” “หากข้ารู้ว่าเจ้าจะให้ข้าทำสิ่งเหล่านี้เหตุใดข้าจะไม่ซื้อถุงมิติใหญ่เท่าเรือนข้าซักใบหนึ่ง” หยางป่อกล่าวจบพลางวางงูยักษ์สีเขียวเป็นประกายตัวยาวลงบนพื้นก่อนจะทอดถอนใจ ลั่วเฉินหัวเราะ “หากข้าให้เจ้าซื้อถุงมิติขนาดเท่าเรือน เจ้าผู้เป็นเศรษฐีที่มีเงินเพียงหกสิบเหรียญทองอาจจะได้เป็นยาจกในชั่วข้ามคืน”

    ลั่วเฉินให้หยางป๋อนำซากงูยักษ์สีเขียวไปวางบนจุดที่เขาทำสัญลักษณ์ไว้ ก่อนที่เขาจะให้หยางป๋อซุ่มอยู่ในจุดที่สร้างขึ้นมาโดยนำกิ่งไม้หลายชนิดหลายชนิดมากองรวมกัน หลังจากบอกกล่าวกับหยางป๋อชัดเจนว่าให้โจมตีทันทีเมื่อเหยี่ยวอสูรจับกรงเล็บลงบนตัวอสูรงูลั่วเฉินก็พาหญิงงามทั้งสองถอยออกไป นี่เป็นสิ่งที่หยางป๋อต้องกระทำด้วยตนเอง หยางป๋อมีกระบี่วิญญาณที่มีพลังโจมตีรุนแรงไม่น้อย อีกทั้งยังมีชุดเกราะอ่อนที่สวมใส่อยู่สัตว์อสูรระดับสี่ไม่สามารถทำร้ายหยางป๋อให้สาหัสได้อย่างแน่นอน ลั่วเฉินบอกให้หานอี้หนิงนำเตียงไม้ออกมาหนึ่งตัว เขานำเตียงไปวางใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างออกไป ก่อนจะเรียกหญิงงามทั้งสองมานั่ง ลั่วเฉินนำเมล็ดแตงตากแห้งออกมาแจกจ่ายให้กับหญิงงามคนละหนึ่งกำมือ เซียวหลิงซีมองเมล็ดแตงที่ลั่วเฉินยื่นให้อดไม่ได้ที่จะหางตากระตุก หานอี้หนิงเห็นท่าทางของเซียวหลิงซีจึงหัวเราะออกมา 

    ไม่ต้องให้ทุกคนต้องรอนาน ลั่วเฉินเพิ่งจะแกะเมล็ดแตงได้เพียงไม่กี่เมล็ดเท่านั้น บนท้องฟ้าก็มีเงาสีน้ำตาลกำลังบินวนเป็นวงกลม เหยี่ยวอสูรตาแดงขนาดใหญ่เมื่อบินวนบนท้องฟ้าเหนือศีรษะ ปีกทั้งหกของมันบดบังแสงอาทิตย์ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่หมุนวนจนผู้คนรู้สึกมึนงง ลั่วเฉินคลี่ยิ้มออกมาในขณะที่หยางป๋อเวลานี้กำลังเกร็งไปทั้งตัว เขากำลังรอคอยว่าเมื่อใดที่เหยี่ยวอสูรจะโฉบลงมาจับเหยื่อที่วางไว้

    หยางป๋อตาจ้องเขม็ง เวลานี้เขาไม่ได้มองที่เหยี่ยวอสูรตาแดงบนท้องฟ้าแต่จับจ้องไปที่ซากอสูรงูบนพื้น ไม่นานหยางป๋อที่กำลังซุ่มอยู่ก็สัมผัสได้ถึงสายลมเหนือศีรษะ เงาสีน้ำตาลโฉบผ่านศีรษะของหยางป๋อไปไม่ไกล เมื่อกรงเล็บของเหยี่ยวอสูรตาแดงจับไปที่ลำตัวของอสูรงู หยางป๋อก็โจมตีทันที “ฉีกกระชากอาชา” ปราณกระบี่ของหยางป๋อพุ่งเข้าโจมตีเหยี่ยวอสูรตาแดงจากทั้งสี่ทิศ 

    เหยี่ยวอสูรแม้จะตกใจแต่ด้วยความเร็วก็ยังสามารถหลบปราณกระบี่ได้แทบจะทั้งหมด มีเพียงกระบี่สุดท้ายที่ตัดปลายปีกของมันไปได้เล็กน้อย ขณะกำลังจะหลบหนีมันก็รู้สึกว่าปีกขยับได้ช้าลง ลมต้านจากด้านบนพัดแรงจนมันขยับปีกอย่างยากลำบาก เมื่อไม่สามารถบินขึ้นไปเหยี่ยวอสูรตาแดงจึงเปลี่ยนทางเข้ามาโจมตีใส่หยางป๋อ หากมันสามารถสังหารมนุษย์ผู้นี้ได้สิ่งเหล่านี้อาจจะหายไป หยางป๋อเห็นเหยี่ยวอสูรตาแดงบินกลับมาพร้อมกางกรงเล็บเข้าใส่ก็ไม่คิดจะตั้งรับ เขาโจมตีออกไปทันที “ทวิเต็มนภา” ปราณกระบี่นับร้อยพุ่งทะยานเจ้าโจมตีเหยี่ยวอสูรที่บินเข้ามา เหยี่ยวอสูรตาแดงไม่มีท่าทีหวาดกลัวกรงเล็บทั้งหกกางออกพร้อมที่คร่าชีวิตหยางป๋อ ขณะเดียวกันลั่วเฉินก็สามารถสังเกตได้ว่าหยางป๋อทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าแล้ว

    ปราณกระบี่ของหยางป๋อโจมตีไม่หยุดแต่เหยี่ยวอสูรตาแดงยังคงพุ่งทะยานต่อไป ปราณกระบี่โจมตีจนเหยี่ยวอสูรตาแดงจนทั้งตัวเปรอะไปด้วยเลือด เมื่อปราณกระบี่เล่มสุดท้ายตกลงบริเวณลำคอเหยี่ยวอสูรตาแดงก็ร่วงหล่นก่อนจะถึงตัวหยางป๋อไม่มากนัก ร่างของเหยี่ยวอสูรตาแดงไถลมาตามพื้นกรงเล็บข้างหนึ่งงอพับไป ส่วนอีกข้างหนึ่งกางครูดมาตามพื้น จนหยุดห่างจากหยางป๋อไม่ถึงสามหมี่(1)

    เมื่อได้สิ่งที่ต้องการครบ เวลาก็ล่วงเลยดวงอาทิตย์กำลังจะตก พวกเขาจึงตัดสินใจพักค้างแรมบริเวณจุดเดิมอีกครั้ง คืนนี้มื้อหาอาหารมีเนื้อกระต่ายที่ลั่วเฉินตุ๋นไว้ตั้งแต่ยามบ่าย  ขณะกำลังล้อมวงร่ำสุราลั่วเฉินก็กล่าวออกมา “พี่สาวเซียว ท่านช่วยเล่าถึงสำนักของท่านให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่” เซียวหลิงซีหันมองลั่วเฉิน “นี่เจ้าต้องการจะเข้าร่วมสำนักของข้าอย่างนั้นรึ” ลั่วเฉินส่ายศีรษะปฏิเสธ “ข้าแค่อยากรู้ที่มาของหุบเขาเซียนกระบี่”

    เมื่อเห็นท่าทางสนใจของลั่วเฉินเซียวหลิงซีจึงเริ่มเล่าเรื่องราว“หุบเขาเซียนกระบี่เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นเซี่ย ทั้งยังเป็นสำนักที่มหาจักรพรรดินีหิมะก่อตั้งขึ้นพร้อมกับการตั้งราชวงศ์ บนทวีปหยวนหวงนอกเหนือจากราชวงศ์ พวกเราเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ทั้งห้า กองกำลังใหญ่ทั้งห้าล้วนมาจากห้าแคว้นประกอบด้วย หุบเขาเซียนกระบี่จากแคว้นเซี่ย สำนักดาบสวรรค์จากแคว้นซวนหยวน สำนักโลกาจากแคว้นต้าเย่ ตำหนักกันดันแห่งแคว้นต้าโจว และนิกายตันตระแห่งแคว้นจินซื่อ นอกจากนิกายตันตระแล้วอีกสี่กองกำลังที่เหลือล้วนสร้างขึ้นโดยมหาจักรพรรดิทั้งสี่” 

    ในกองกำลังใหญ่ทั้งห้านี้ลั่วเฉินรู้จักเพียงนิกายตันตระ แคว้นจินซื่อไม่มีราชวงศ์แต่ปกครองโดยนิกายตันตระ นิกายตันตระคงอยู่มาอย่างยาวนานเมื่อลั่วเฉินถือกำเนิดในชีวิตที่แล้วนิกายตันตระก็มีมาก่อนนานแล้ว นิกายตันตระปกครองโดยมหาตมะและธิดาเทพ ครอบครองผืนดินกว้างใหญ่ ทิศเหนือติดกับแคว้นซวนหยวนทิศใต้ติดกับแคว้นต้าโจว

    ในอดีตสาวกของนิกายตันตระเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยแต่ทุกคนล้วนมีพลังฝึกฝนอยู่ในแดนที่สูงและวิชาการต่อสู้มีลักษณะเฉพาะตัว  เมื่อสัตว์อสูรโจมตีเผ่ามนุษย์จึงมีกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามาขอพึ่งพิง นิกายตันตระเองก็ไม่เคยปฏิเสธไม่ว่าผู้คนจะเดินทางมาจากทิศทางใด ขอเพียงไม่มีความคิดชั่วร้ายนิกายตันตระยินดีต้อนรับทั้งสิ้น เพียงแต่นิกายตันตระไม่ได้เข้าร่วมสงครามในการต่อสู้กับสัตว์อสูรในอดีต นิกายนี้ล้วนมองทุกสิ่งเป็นเรื่องปกติของกงล้อแห่งชะตากรรมหากมีชะตาที่ต้องต่อสู้ก็จะสู้แต่หากไม่มีชะตาที่ต้องสู้ก็จะไม่โจมตีผู้ใดก่อน

    เมื่อเห็นว่าลั่วเฉินและคนที่เหลือสนใจที่จะฟัง เซียวหลิงซีจึงเล่าต่อ “หุบเขาเซียนกระบี่ก่อตั้งขึ้นหลังจากมหาจักรพรรดินีน้ำแข็งสถาปนาแคว้นตั้งราชวงศ์ได้ห้าปี โดยต้องการจะให้เป็นสถานที่บ่มเพาะผู้มีความสามารถที่อาจจะกลายมาเป็นเสาหลักให้กับแคว้นเซี่ยได้ในอนาคต” “หมายความว่าหุบเขาเซียนกระบี่มีหน้าที่ผลิตกำลังคนให้กับราชสำนักเซี่ย” ลั่วเฉินกล่าว เซียวหลิงซีพยักหน้า  “จะว่าใช่ก็ใช่แต่ยังคงอยู่ที่ตัวบุคคล ศิษย์คนใดอยากที่จะรับใช้ราชสำนักก็สามารถไปได้ ในราชสำนักเซี่ยมีขุนนางมากมายได้รับการคัดเลือกจากศิษย์ของหุบเขาเซียนกระบี่ มีตั้งแต่เสนาบดีไปจนถึงแม่ทัพนายกอง”

    “ถ้าอย่างนั้นหุบเขาเซียนกระบี่ก็ต้องมีอำนาจมากในราชสำนักเซี่ย” ลั่วเฉินถาม เซียวหลิงซีส่ายศีรษะ “หุบเขาเซียนกระบี่มีศิษย์อยู่ในทุกส่วนของราชสำนักก็จริง แต่ท่านปรมาจารย์มหาจักรพรรดินีมีกฎว่าศิษย์ในสำนักไม่อาจแทรกแซงการบริหารของแคว้น เหล่าศิษย์ที่เข้ารับราชการจะเหลือเพียงชื่อว่าเคยเป็นศิษย์ของสำนักเท่านั้น“ เรื่องราวเพิ่งเริ่มต้นเซียวหลิงซีก็หาวออกมา ความจริงลั่วเฉินอยากจะซักถามให้มากกว่านี้รวมถึงเขาอยากรู้ว่าเวลานี้ ไป๋ชิงอวิ๋นกำลังทำอะไรอยู่ แต่เซียวหลิงซีและคนที่เหลือเหนื่อยมาทั้งวันทุกคนจึงแยกย้ายกันไปนอน โดยมีลั่วเฉินรับหน้าที่เฝ้ายามเป็นคนแรก

    (1)หมี่ เมตรจีน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×