ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #16 : ทะลวงสู่แดนปฐพี

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 67


    บนลานฝึก ชายหญิงคู่หนึ่งชักกระบี่ยืนประจันหน้ากัน “เจ้าต้องการให้ข้าออมมือหรือไม่” เซียวหลิงซีถามออกมา แม้แดนฝึกฝนของลั่วเฉินจะต่ำกว่านางมากแต่เขาสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ได้ ย่อมหมายความว่าลั่วเฉินมีฝีมือมากเกินกว่าปกติ “ไม่จำเป็น พี่สาวเซียวสามารถใช้กำลังได้อย่างเต็มที่” ลั่วเฉินย่อมไม่ต้องการให้นางออมมือ เพื่อรับแรงกดดันเขาถึงกับเก็บเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งสิบส่วนของเขาด้วยซ้ำ ลั่วเฉินสามารถเก็บเกราะอ่อนหรือวัตถุทุกอย่างที่สัมผัสกับตัวเขาเข้าแหวนดาวตกได้ทันทีที่เขาต้องการ และยังสามารถเรียกมาสวมใส่ได้ทันทีโดยที่สิ่งของเหล่านั้นจะกลับไปอยุ่ในตำแหน่งเดิมก่อนที่เขาจะเรียกเก็บได้อีกด้วย

    “เจ้าให้ข้าเริ่มโจมตีก่อนถูกต้องหรือไม่” เซียวหลิงซีถาม “ถูกต้องท่านเริ่มได้เลย” ลั่วเฉินพยักหน้า ฉับพลันลานฝึกอุณหภูมิเริ่มลดลงนี่เป็นฤดูชุนเทียน(1)แต่ผู้ชมต่างมองเห็นว่าในลานฝึกเริ่มมีละอองหิมะร่วงหล่นลงมา ลั่วเฉินระบายลมหายใจเล็กน้อยนี่ล้วนเป็นเคล็ดวิชาที่ไป๋ชิงอวิ๋นบัญญัติขึ้น “มธุรสสีขาว” ปราณกระบี่สีขาวราวน้ำนมสายหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีเข้าใส่ลั่วเฉิน นี่เป็นกระบวนท่าเดียวกับที่เซียวหลิงซีโจมตีเข้าใส่กัวเป่าบนเวทีประลอง แม้ว่านางจะสอบถามลั่วเฉินก่อนหน้านี้แล้วแต่นางยังคงไม่มั่นใจเต็มที่จึงยังรั้งกระบวนท่าโจมตีเอาไว้ 

    ลั่วเฉินไม่ได้ฟันกระบี่ออกไปเขาเพียงฟาดตบปราณกระบี่ด้วยด้วยใบกระบี่เท่านั้น “เปรี้ยะ” ใบกระบี่สีเขียวตบปราณกระบี่สีขาวจนแตกกระจายออกไป “ท่านตั้งใจกว่านี้” ลั่วเฉินกล่าว เซียวหลิงซีไม่กล้าประมาทอีกนางฟาดฟันกระบี่ด้วยกระบวนท่าเดิมแต่ครานี้ปราณกระบี่เพิ่มเป็นมากกว่าสิบสาย ลั่วเฉินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่แต่กระบี่ในมือฟาดตบปราณกระบี่ที่โจมตีเข้ามา ปราณกระบี่กระบี่ยังคงถูกใบกระบี่ตบกระจายเป็นชิ้นๆ เซียวหลิงซีเห็นลั่วเฉินฟาดตบปราณกระบี่ของนางราวกับตบแมลงวันก็พลันฟาดฟันลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง

    เหล่าผู้ชมล้วนรับชมจนตาลาย ในผู้ชมทั้งหลาย หยางชง เป็นผู้ที่มีพลังฝึกฝนสูงสุด เวลานี้มันอยู่ในแดนปฐพีขั้นต้น แต่เมื่อมันมองปราณกระบี่ของเซียวหลิงซีมันไม่รู้เลยว่าหากมันต้องรับการโจมตีนี้มันจะลงมืออย่างไร แต่ลั่วเฉินไม่เพียงจะรับมือได้แต่ยังรับมือได้อย่างง่ายดายทำให้หยางชงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หานอี้หนิงผู้ที่เคยคิดมาก่อนว่าพลังฝึกฝนของนางเหนือกว่าลั่วเฉินมากเวลานี้กำลังรับชมด้วยความมึนงง นางไม่อาจบอกได้ด้วยซ้ำว่าคนทั้งคู่ลงมืออย่างไรในสายตาของนางเห็นเพียงเงากระบี่สีเขียวและปราณกระบี่สีขาวที่แตกออกเท่านั้น หยางป๋อเองก็อดไม่ได้ที่มองดูด้วยความชื่นชมสหายของเขา

    เซียวหลิงซีฟาดฟันกระบี่ออกไปนับร้อยแต่ไม่อาจแม้ให้ลั่วเฉินขยับได้ นางพลันเปลี่ยนกระบวนท่าโจมตี “กระบี่เยือกแข็ง” ปราณกระบี่ม้วนเกล็ดหิมะที่โปรยปรายหมุนวนจนกลายเป็นปราณกระบี่ที่มีเกล็ดหิมะปกคลุม ปราณกระบี่ที่กลายเป็นแท่งน้ำแข็งเย็นเยือกนับร้อยหมุนเป็นเกลียวเข้าโจมตีลั่วเฉิน ลั่วเฉินหมุนวนร่างกายส่วนบนเป็นวงกลมพลางฟาดตบแท่งน้ำแข็งจนแตกกระจายไปทีละชิ้น พริบตาเดียวแท่งน้ำแข็งนับร้อยก็กลายเป็นเพียงเศษน้ำแข็งเกลื่อนเต็มพื้น ขณะที่เซียวหลิงซีกำลังจะออกกระบวนท่าโจมตีต่อไปก็พลันได้ยินเสียง “พอแล้ว” เซียวหลิงซีมองไปก็เห็นลั่วเฉินกำลังยืนส่งรอยยิ้มให้นาง เซียวหลิงซีรับชมจนตาพร่ามัว “รัศมีของร้อยยิ้มนี้ช่างเจิดจรัสยิ่งนัก” เซียวหลิงซีคิดในใจ “เจ้าทะลวงเขตแดนแล้วรึ” นางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

    ลั่วเฉินหัวเราะออกมา “ถูกต้อง ต้องขอบคุณพี่สาวเซียวมาก” เขาจงใจที่จะจำกัดการเคลื่อนไหวของตนเองเพื่อที่จะรับแรงกดดันมากขึ้น ในที่สุดการโจมตีของเซียวหลิงซีก็สามารถกดดันจนเขาทะลวงเข้าสู่แดนปฐพีได้สำเร็จ “เอาล่ะเรามาดื่มสุรากันให้หนำใจกันเหอะ ว่าแล้วลั่วเฉินก็นำสุราแปดสมบัติอีกสามไหออกมา กลุ่มคนดื่มกินพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเลยเกือบจะพ้นยามห้าย(2)จึงได้เวลานี้จะกล่าวลา ก่อนที่จะกล่าวลาหนุ่มสาวทั้งสี่คนล้วนนัดหมายเวลากันในวันพรุ่งนี้เพื่อที่จะเข้าสู่ส่วนต้นของเทือกเขาเสินหนง

    เมื่อออกมาจากเรือนของหยางป๋อหานอี้หนิงและเซียวหลิงซีก็มีรถม้ามาจอดรออยู่แล้ว ลั่วเฉินปฏิเสธการชักชวนของหญิงงามที่ตั้งใจจะไปส่ง เขาเดินกลับจวนแม่ทัพด้วยตนเองอย่างสบายอารมณ์ สองชั่วยามก่อนหน้านี้ที่จวนเข้าเมืองปิง หานฉู่กวงกับหลัวเซี่ยอวี่กำลังร่ำสุราสนทนากัน ความจริงหานฉู่กวงเริ่มบทสนทนาเรื่องเหตุการณ์ประลองในวันนี้ แต่มันสามารถสังเกตเห็นได้ว่าหลัวเซี่ยอวี่สีหน้าไม่ค่อยมีความสุขนัก หานฉู่กวงแม้สุขสบายมานานแต่ก็เคยผ่านสนามการเมืองมาก่อนย่อมสามารถดูสีหน้าผู้คนได้ หลัวเซ่ยอวี่เวลานี้ได้ฟังหานฉู่กวงที่สนทนาถึงเหตุการณ์บนเวทีมันรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ตัวมันเมื่อได้ใช้เวลากับหานอี้หนิงแม้จะไม่ใช่การใช้เวลาส่วนตัวและไม่ได้สนทนากันมากนัก แต่มันกลับยิ่งรู้สึกหลงใหลดอกไม้ป่าดอกนี้ “จะทำอย่างไรดี” หลัวเซี่ยอวี่คิดในใจ

    ฉับพลันหลัวเซี่ยอวี่ก็เกิดความคิดหนึ่ง “ข้าต้องแต่งงานกับนาง” แม้มันยังไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อน แต่เพื่อให้ได้นางมาครอบครองทางเดียวที่ทำได้คือมันต้องแต่งงานกับนางเท่านั้น หลัวเซี่ยอวี่เป็นบุตรชายของขุนนางกรมคลังผู้หนึ่ง แม้บิดาจะมียศสูงกว่าหานฉู่กวงแต่ก็สูงกว่าไม่มากนัก เมื่อใช้ฐานะของมันรวมกับใบหน้าของบิดาก็ทำได้เพียงสูสีกับหยางป๋อเท่านั้น แต่หลัวเซี่ยอวี่ยังมีท่านอาจารย์ อาจารย์ของหลัวเซี่ยอวี่คือผู้อาวุโสห้าแห่งหุบเขาเซียนกระบี่ เมื่อเปรียบฐานะกับหานฉู่กวงต้องบอกว่าไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ หากอาจารย์ทำการสู่ขอหานอี้หนิงให้แก่มันหานฉู่กวงย่อมต้องยินดี และถึงแม้จะไม่ยินดีหานฉู่กวงก็ไม่อาจปฏิเสธได้

    เมื่อทำการตัดสินใจหลัวเซี่ยอวี่ก็เอ่ยกับหานฉู่กวงล่วงหน้า “ท่านเจ้าเมืองหาน ข้าขอกล่าวกับท่านตามตรง ตั้งแต่ที่ข้ามาถึงเมืองปิงแห่งนี้ข้าก็ไม่อาจหักใจจากไปได้ นั่นเพราะยามเมื่อข้าได้พบกับบุตรสาวของท่านข้าก็ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อีก ต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองหาน หากข้าจะขอให้ท่านอาจารย์สู่ขอบุตรสาวของท่านจะเป็นไปได้หรือไม่” หานฉู่กวงได้ฟังก็ตกตะลึง แม้ว่าตั้งใจจะให้บุตรสาวคนรองอยู่กับตนเองอีกสักพัก แต่ผู้อาวุโสห้าแห่งหุบเขาเซียนกระบี่คือผู้ใด นั่นเป็นตัวตนระดับเดียวกันกับเสนาบดีของแคว้น หากหลัวเซี่ยอวี่สู่ขอบุตรสาวด้วยตนเองหานฉู่กวงย่อมหาทางปฏิเสธแน่นอน แต่หากผู้อาวุโสห้าแห่งหุบเขาเซียนกระบี่เป็นผู้สู่ขอหานฉู๋กวงกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ท่านพูดจริงรึ” หานฉู่กวงอดไม่ได้ที่จะถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง “ย่อมแน่นอน ข้าจะรีบติดต่อท่านอาจารย์ทันที” หลัวเซี่ยอวี่ตอบกลับอย่างมั่นใจ

    เช้าวันต่อมาลั่วเฉินและสหายอีกสามคนต่างมาพบกันที่ประตูเมืองทิศใต้ตามที่ได้นัดหมาย ลั่วเฉินบอกกล่าวกับท่านย่าก่อนจะแวะทักทายท่านปู่แล้วจึงออกเดินทาง ก่อนถึงเวลานัดหมายลั่วเฉินไปสถานที่หนึ่งมาก่อน เขาไปยังหอการค้าลมวสันต์ก่อนที่จะนำกระบี่อีกสิบหกเล่มที่มีหน้าตาเหมือนกระบี่ที่หยางป๋อใช้วางตรงหน้าของเสมียนตู้ เสมียนตู้รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ต้องรู้ว่านี่คือกระบี่แบบเดียวกับที่ผู้ชนะการประลองเวทีผู้กล้าวัยเยาว์ใช้ กระบี่ที่มันได้รับมาจากลั่วเฉินก่อนหน้านี้นอกจากเล่มหนึ่งที่ขายไปก่อน อีกสองเล่มมันสามารถขายไปเมื่อวานนี้ในราคาถึงเล่มละสามสิบเหรียญทอง เมื่อผู้ซื้อรู้ว่านี่คือกระบี่แบบเดียวกับที่ผู้ชนะการแข่งขันเวทีผู้กล้าวัยเยาว์ใช้ ไม่เพียงจะไม่ต่อรองราคายังตกรางวัลให้มันอีกสองเหรียญทอง

    เสมียนตู้ยิ้มร่าแต่ก็ยังคงต่อรองราคา กระบี่สิบหกเล่มของลั่วเฉินราคารับซื้อคิดเป็นจำนวนเงินรวมทั้งหมดสองร้อยเหรียญทอง ลั่วเฉินไม่อยากเสียเวลาจึงรับเงินสองร้อยเหรียญทองจากเสมียนตู้ก่อนจะเดินทางไปยังประตูเมืองทิศใต้ เมื่อลั่วเฉินไปถึงคนที่เหลือก็รออยู่ก่อนแล้ว “พวกเจ้ามาเร็วกันไปหรือเปล่า” ลั่วเฉินกล่าวติดตลก “พวกเราจะให้ท่านผู้นำมารอได้อย่างไร” หานอี้หนิงหัวเราะคิกคัก “เอาล่ะไปกันเถอะรถม้าจะไปส่งเราที่ชายป่า” หานอี้หนิงกล่าวเชิญชวน

    ป่าไผ่ม่วงอยู่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ของเมืองปิงประมาณสี่สิบลี้ สำหรับลั่วเฉินให้เขาวิ่งมาหรือนั่งมาในรถม้าก็ใช้เวลาไม่ต่างกันมากนัก แน่นอนหากมีทางเลือกนั่งรถม้าย่อมสบายกว่า ม้าวายุสี่ตัวลากรถม้าที่มีขนาดใหญ่พอให้คนทั้งสี่นั่งได้อย่างสบายพุ่งทะยานไปข้างหน้าใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงชายป่าไผ่ม่วง ลั่วเฉินและสหายทั้งสามต่างลงจากรถม้าพร้อมที่จะเดินเท้าต่อ หานอี้หนิงเจตนาบอกกับบิดาว่าไม่ต้องการผู้คุ้มครองในการเดินทางครั้งนี้ หากเป็นยามปกติหานฉู่กวงย่อมไม่ยอม แต่ครั้งหนีมีเซียวหลิงซีไปด้วยจึงเบาใจลงไปได้ อีกทั้งการเดินทางครั้งนี้ยังมีหยางป๋อไปด้วย สำหรับหานฉู่กวงการที่ผู้อาวุโสห้าจะสู่ขอบุตรสาวของเขานั้นเป็นเรื่องที่สุดวิเศษ เพียงแต่สิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น หากหลัวเซี่ยอวี่ไม่สามารถบอกกล่าวให้อาจารย์มาสู่ขอบุตรสาวได้หยางป๋อก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี นอกจากจะมีอนาคตไกลแล้วฐานะทางบ้านยังต้อยต่ำ หากเกลี้ยกล่อมดีๆอาจสามารถทำให้หยางป๋อแต่งเข้าตระกูลหานได้

    การเดินทางคราวนี้ลั่วเฉินใช้เวลามากกว่าคราวที่แล้วเล็กน้อย กว่าจะมาถึงริมลำธารที่จุดเดิมที่เขาเคยพักท้องฟ้าก็มืดแล้ว ลั่วเฉินนับว่ามีวาสนากับหมูหินระหว่างทางเขาถึงกับถูกหมูหินสามตัวเข้าโจมตี เมื่อรวมกับที่หยางป๋อและเซียวหลิงซีได้รับมาอีกคนละหนึ่งตัว การเดินทางครั้งนี้ลั่วเฉินและสหายย่อมไม่มีปัญหาเรื่องเสบียงอีก มื้ออาหารค่ำยังคงมีหมูหินเป็นตัวเอก แต่คราวนี้นอกจากหมูหินแล้วลั่วเฉินยังสามารถเก็บหน่ออ่อนไผ่ม่วงมาได้มากมาย มื้ออาหารจึงเพิ่มมาด้วยหน่อไม้ย่างรสชาติหวานกรอบ ลั่วเฉินเพียงแค่นำสะเก็ดดาวมาย่างอาหารแต่ไม่คิดจะปรับเปลี่ยนเป็นเตียงหิน กลับเป็นหานอี้หนิงที่นำเตียงไม้มากับถุงมิติขนาดใหญ่ของนาง เมื่อกินอาหารอิ่มและดื่มสุราอีกเล็กน้อยพวกเขาก็พักผ่อนพร้อมกับนัดหมายกันผัดเปลี่ยนเวรยาม

    เช้าวันต่อมาวิหกอสูรยังคงส่งเสียงกู่ร้องก้องป่าจนใบไม้ต่างสั่นไหว เมื่อคนทั้งสี่จัดการเรื่องราวส่วนตัวเรียบร้อยก็พร้อมเดินทางอีกครั้ง ลั่วเฉินสังเกตุเห็นเหยี่ยวอสูรสีน้ำตาลตัวใหญ่ตัวหนึ่งบนทองฟ้าจึงเกิดความคิดบางอย่าง “เสี่ยวป๋อเจ้าเห็นวิหกอสูรตัวนั้นหรือไม่” ลั่วเฉินกล่าวพลางชี้ไปที่เหยี่ยวอสูรสีดำที่กำลังร่อนปีกวนอยู่บนท้องฟ้า “แน่นอนว่าข้าเห็น” หยางป๋อพยักหน้า “หากเจ้าสามารถจับมันมาได้ข้าจะหลอมสร้างกระบี่ที่นอกจากกระบี่ระดับนภาจะไม่มีกระบี่เล่มใดเหนือไปกว่ากระบี่ของเจ้า”

    หยางป๋อหางตากระตุก แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการกระบี่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นแต่เขาจะจับเหยี่ยวอสูรบนท้องฟ้าได้อย่างไร แม้แต่ยอดฝีมือระดับนภาก็ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ “นั่น ข้าจะจับมันได้อย่างไร” หยางป๋อกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “หากเจ้าต้องการจับอสูรเหยี่ยวหรืออสูรอินทรีย์เจ้าต้องหาสิ่งที่มันชอบเสียก่อน เจ้าจงไปหาสัตว์อสูรงูที่มีสีสว่างเตะตาและมีขนาดใหญ่พอมาเป็นเหยื่อล่อเพื่อที่เจ้าจะได้โจมตีมัน” ลั่วเฉินกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ตกลง” หลังจากนัดหมายสถานที่ในการกลับมาเจอกันหยางป๋อก็ทะยานจากไป

    (1)ฤดูชุนเทียน  ฤดูใบไม้ผลิ
    (2)ยามห้าย 21.00-22.59น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×