ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #14 : กระบี่ลมขจีออกโรง

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 67


    กัวซีเฉียงสวมชุดขาวยืนมือไพล่หลังอย่างสง่างามอยู่บนเวที ขณะที่กรรมการประกาศเรียกชูเกออีกครั้ง หลังจากประกาศเรียกเป็นครั้งที่สามก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งมาแจ้งว่าชูเกอขอสละสิทธิการแข่งขัน ความจริงชูเกอเองยังคิดที่จะสู้ต่อแต่เมื่อตัวมันบาดเจ็บหนักและยังฟังคำเตือนจากบิดามันก็ตัดสินใจสละสิทธิ กรรมการประกาศให้กัวซีเฉียงได้ผ่านเข้ารอบต่อไปโดยไม่ต้องแข่งขัน “ผู้ชนะในการประลองคู่ที่สองกัวซีเฉียง การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วยาม”

      การประลองมาถึงช่วงสุดท้าย ผู้คนบนอัฒจันทร์ล้วนนั่งประจำอยู่กับที่ลั่วเฉินกับหยางชงก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันก็มีชายคนหนึ่งเดินแทรกมาในช่องทางเดินผ่านคนทั้งสองไป หลังจากชายคนนั้นเดินจากไปบนตักของหยางชงก็มีกระดาษพับชิ้นหนึ่ง ลั่วเฉินสังเกตเห็นเช่นกันจึงมองหยางชงที่หยิบกระดาษขึ้นมาแกะดู ในกระดาษมีเพียงตัวอักษรเขียนไว้ว่า “ให้บุตรชายของเจ้ายอมแพ้แล้วเจ้าจะได้เลื่อนตำแหน่ง” หยางชงเมื่อเห็นข้อความในกระดาษก็รู้สึกเดือดดาลก่อนจะขยำกระดาษ “นี่พวกมันคิดว่าข้าจะเห็นแก่ลาภยศจนทำลายอนาคตของบุตรชายงั้นรึ”

        ลั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ความจริงการเลื่อนตำแหน่งของหยางชงต้องอยู่ในการจัดการของท่านปู่ของเขา แต่เมื่อท่านปู่ของเขาไม่สนใจกิจการการใดอีกต่อไปอำนาจตัดสินใจทั้งหมดเลยกลายเป็นของรองแม่ทัพกวงเฉิง บิดาของกวงหมิง อีกทั้งในกองทัพต่างรู้กันดีว่าลั่วเฉินหลานชายของแม่ทัพใหญ่และหยางป๋อบุตรชายของนายกองหยางชงสนิทสนมกันเพียงใด ทำให้หยางชงที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันมาตลอดกลับไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาเป็นเวลานาน ลั่วเฉินมองหยางชงที่บีบกระดาษในมือใบหน้าคล้ายกำลังสะกดกั้นอารมณ์ “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าคุ้นชินกับสภาพนี้มานานแล้ว” หยางชงเมื่อเห็นลั่วเฉินมองมาจึงค่อยๆสงบลง ลั่วเฉินเพียงพยักหน้าไม่กล่าวสิ่งใดอีก

       กองทหารในกองกำลังรักษาเมืองปิงนับวันยิ่งขาดระเบียบวินัย เนื่องจากระยะหลังไม่มีการปะทะกับกองกำลังใดเหล่าทหารจึงยิ่งละเลยการฝึกซ้อม ในกองทัพต่างทราบกันดีว่ารองแม่ทัพกวงเฉิง มีอำนาจในมืออีกทั้งเป็นคนชื่นชอบในทรัพย์สิน การใช้เงินทองซื้อตำแหน่งจึงกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังสามารถจ่ายเงินเพื่อที่จะได้ตำแหน่งที่ไม่มีความเสี่ยงจากการต่อสู้ได้อีกด้วย แต่หากผู้ใดยากจนหรือไม่ยอมจ่ายก็จะได้รับตำแหน่งที่ต้องเสี่ยงอันตราย กองทหารหน่วยที่หยางชงควบคุมจึงมักจะได้รับงานลาดตระเวนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอยู่เสมอ

      บนอัฒจันทร์กลาง รองเจ้าเมืองกัวเป่ากำลังกระซิบกระซาบกับกวงเฉิงรองแม่ทัพกองกำลังรักษาเมือง “เหล่ากวง หยางชงมันไม่ลุกจากที่นั่งแบบนี้คงไม่รู้ตัวสินะว่าสิ่งใดดีไม่ดีกับตัวมัน” “เจ้าหมอนี่มันเป็นพวกหยาบกระด้างมานานแล้ว เมื่อมันไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้ต่อไปก็อย่าโทษที่ข้าโหดร้าย” กวงเฉิงสบถด่าออกมา เซียวหลิงซีมีประสาทหูที่ดี คนทั้งสองแม้จะพยายามเบาเสียงแต่นางยังคงได้ยินจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยความดูถูก

     ครึ่งชั่วยาม(1)ผ่านไปกรรมการเดินมากลางเวที ก่อนที่จะประกาศเรียกผู้เข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศให้ขึ้นมาบนเวที “การแข่งขันได้มาถึงรอบตัดสินหาผู้ชนะแล้ว ข้าขอประกาศแนะนำชายหนุ่มผู้เข้มแข็งสองคนสุดท้ายที่มาถึงรอบนี้และจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งผู้กล้าวัยเยาว์อันดับหนึ่งของเมืองปิงในปีนี้” กรรมการผายมือขวาไปทางหยางป๋อที่ยืนอยู่ทางขวา “ผู้เข้าแข่งขันคนแรก หยางป๋อ บุตรชายของนายกองแห่งกำลังรักษาเมืองปิง ฝีมือการต่อสู้เก่งกาจสมกับเป็นบุตรของนายทหาร ปีนี้เพียงอายุสิบหกปีแต่สามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งหลายคนจนมาถึงรอบชิงชนะเลิศนี้ได้” กลุ่มคนที่เชียร์หยางป๋อพากันส่งเสียงโห่ร้อง

    หลังจากนั้นกรรมการก็ยกมือซ้ายผายมือไปทางกัวซีเฉียง “ผู้เข้าแข่งขันคนที่สองกัวซีเฉียง ผู้ชนะเลิศการประลองจากปีที่แล้ว ฉายารุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งเมืองปิงคนปัจจุบัน บุตรชายของท่านรองเจ้าเมืองปิงกัวเป่า สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้อย่างรวบรัดหมดจดจนมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง” ฝูงชนพากันโห่ร้อง บนอัฒจันทร์เหล่าขุนนางต่างพากันประจบประแจงสรรเสริญอวยพรให้กับกัวเป่า

    หยางป๋อยืนอย่างสงบบนเวที แม้จะมีเสียงโห่ร้องดังอยู่รอบด้านเขายังคงไม่เสียสมาธิ มือขวากำกระบี่ในมือซึ่งคือกระบี่ลมขจีที่ลั่วเฉินมอบไว้ให้ แม้จะรูปร่างเหมือนกระบี่ที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้แต่เมื่อยามได้สัมผัสหยางป๋อก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่าง แม้จะไม่อาจสัมผัสได้ถึงวิญญาณกระบี่แต่หยางป๋อยังคงรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของร่างกาย

    กรรมการเพิ่งส่งสัญญาณให้เริ่มการประลองก็มีเสียงฮือฮาจากอัฒจันทร์รอบด้าน “นั่นคืออาวุธระดับปฐพีอย่างนั้นรึ เจ้าดูรัศมีพลังกดดันที่กระบี่นั้นปล่อยออกมาสิ” “ผู้ใดสามารถบอกได้บ้างว่ากระบี่นั่นเสริมแกร่งเท่าใดช่างเปล่งประกายยิ่งนัก” “ข้าเคยเห็นกระบี่ที่จัดแสดงบนชั้นสองของหอการค้าลมวสันต์ก็เปล่งประกายเช่นนี้ แต่กระบี่เล่มนั้นราคาสูงถึงหนึ่งพันเหรียญทอง” “หรือนี่จะเป็นกระบี่เล่มนั้น ท่านรองเจ้าเมืองช่างร่ำรวยจริงๆสามารถซื้อกระบี่ราคาแพงเช่นนั้นให้กับบุตรชาย” ฝูงชนต่างพูดคุยกันเมื่อเห็นกัวซีเฉียงชักกระบี่ออกมา

    กัวเป่าก็ประหลาดใจเช่นกันมันย่อมไม่ได้เป็นคนซื้อกระบี่ให้กับบุตรชาย แม้มันจะมีเงินหนึ่งพันเหรียญทองแต่นั่นแทบจะเป็นเงินสะสมทั้งหมดของมัน กัวเป่าย่อมไม่นำมาซื้อกระบี่เพียงเล่มเดียว ถึงแม้จะสงสัยว่าบุตรชายได้กระบี่เล่มนี้มาจากที่ใดแต่นี่ย่อมนับเป็นเรื่องดี เซียวหลิงซีเมื่อเห็นกระบี่ในมือของกัวซีเฉียงก็หันไปหรี่ตามองหลัวเซี่ยอวี่ ” หลัวเซี่ยอวี่เมื่อเห็นศิษย์พี่หญิงหรี่ตามองมาจึงรีบชิงแก้ตัว “ท่านมองข้าด้วยเหตุใด กัวซีเฉียงเป็นสหายของข้า ข้าย่อมช่วยเหลือสหายบ้างเล็กน้อย

    ขณะที่เซียวหลิงซีกำลังคิดที่จะให้หยางป๋อหยิบยืมกระบี่ของนางการต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว กัวซีเฉียงลงมืออย่างรวดเร็วด้วยกระบวนท่าโจมตี “ปราณวายุสังหาร” นี่เป็นหนึ่งในกระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดของกัวซีเฉียง กัวซีเฉียงกราบอาจารย์มีฝีมือที่บิดาจ้างมาเพื่อสอนมันโดยเฉพาะตั้งแต่ยังเด็ก กัวซีเฉียงมีความมั่นใจว่าความสำเร็จในวิชากระบี่ของมันเหนือล้ำกว่าผู้ใดในเมืองปิง หยางชงเมื่อเห็นปราณกระบี่ของกัวซีเฉียงก็อดที่เกร็งไปทั้งร่างไม่ได้ เวลานี้เองมีคนวางฝ่ามือบนหลังมันก่อนที่จะได้ยินเสียงลั่วเฉินกล่าว “ท่านลุงอย่าได้กังวล” เมื่อสัมผัสถึงการไหลเวียนอันอบอุ่นของพลังปราณบนแผ่นหลัง ถึงแม้จะแปลกใจแต่หยางชงก็ผ่อนคลายลง

    ปราณกระบี่สีเงินขนาดมหึมาจู่โจมเข้าใส่หยางป๋อ กระบี่นี้กัวซีเฉียงใส่พลังมาเต็มที่ มันได้รับสัญญาณจากบิดาว่าหากเป็นไปได้ให้ลงมือสังหารคู่ต่อสู้เสีย ในขณะที่ผู้คนต่างคาดเดาว่าหยางป๋อจะต้องแย่แน่ หญิงสาวหลายคนเอามือขึ้นมาปิดตา บางคนถึงกับคิดว่าหยางป๋ออาจตกตายใต้ปราณกระบี่นี้ หยางป๋อที่ตกเป็นเป้าสายตาเวลานี้ไม่เพียงไม่ลนลานแต่มุมปากกลับยังมีรอยยิ้มเล็กน้อย เขาควงกระบี่ก่อนจะฟันออกไปเต็มแรงเช่นกัน “โฉบทะยานเวหา” ปราณกระบี่สีเขียวฟาดตรงเข้าใส่ปราณกระบี่สีเงินเล่มใหญ่

    แม้จะมีขนาดเล็กกว่ามากแต่ปราณกระบี่สีเขียวกลับพุ่งอย่างรวดเร็วเข้าโจมตีโดยตรง เมื่อปราณกระบี่ทั้งสองตกกระทบกันก็เกิดเสียงดัง “เปรี้ยง” เกิดคลื่นกระแทกจนเกิดฝุ่นคละคลุ้ง ปราณกระบี่ที่ปะทะกันเวลานี้ทำให้หลายคนเบิกตากว้าง ปราณกระบี่สีเขียวที่เล็กกว่ากลับบดขยี้ปราณกระบี่สีเงินจนแตกกระจายเป็นชิ้น ไม่เพียงเท่านั้นปราณกระบี่สีเขียวยังคงพุ่งต่อไปจนปะทะเข้ากับหน้าอกของกัวซีเฉียง กัวซีเฉียงตกตะลึงเมื่อเห็นกระบี่ในมือแตกเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงแค่ด้ามที่มันจับอยู่ ก่อนจะได้สติกัวซีเฉียงก็รู้สึกถึงพลังที่รุนแรงกระแทกเข้ามาที่หน้าอกจนมันปลิวกระเด็นดั่งว่าวที่สายป่านขาด กัวซีเฉียงอ้าปากกระอักโลหิตออกมาเป็นสายเมื่อร่วงหล่นสู่พื้นมันก็สิ้นสติไป 

    เสียงในสนามเงียบสนิทจนอาจจะได้ยินแม้เสียงเข็มตก ผู้ชมล้วนตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า หลัวเซี่ยอวี่ไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อมันเห็นกระบี่ของมันแตกกระจาย “นี่เป็นไปได้อย่างไร” ขณะที่หลายคนยังไม่ฟื้นคืนสติกับมีคนผู้หนึ่งตวาดก้องออกมา “เจ้าลงมืออำมหิตนัก” กัวเป่าในชุดขุนนางสีเขียวถือกระบี่พุ่งทะยานลงมาจากอัฒจันทร์ กัวเป่าเป็นผู้ฝึกฝนแดนปฐพีขั้นกลางมันใช้พลังสิบส่วนฟันออกด้วยท่าสังหารหมายจะจบชีวิตชายหนุ่มที่ทำร้ายบุตรชาย กระบี่โจมตีโดยตรงเข้าใส่หน้าอกของหยางป๋อที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและพลังยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่

    หยางป๋อกระเด็นออกไปไกลจนเกือบสุดขอบเวทีก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนช้าๆไม่คล้ายได้รับบาดเจ็บพลางชี้กระบี่มาทางกัวเป่า “เจ้าสุนัขเฒ่าลอบกัดข้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก” กัวเป่าได้ฟังยิ่งเดือดดาล มันทะยานขึ้นฟ้าฟันกระบี่ลงหมายจะสังหารหยางป๋อให้ตายเสีย ลั่วเฉินขณะกำลังจะลงมือก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวคนผู้หนึ่ง ขณะที่กระบี่ของกัวเป่าฟันลงมาก็มีปราณกระบี่สีขาวสายหนึ่งพุ่งมาเช่นกัน “ฉัวะ” ปราณกระบี่ขาวเฉือนมือที่ถือกระบี่ของกัวเป่าจนเลือดสาด กระบี่หลุดลอยจากมือไป กัวเป่าพลิกตัวร่อนลงพื้นก่อนจะทรงกายอย่างทุลักทุเล ขณะที่มันกำลังจะตวาดด้วยความโกรธแค้นใส่ผู้ที่ที่สอดมือเข้ามา มันก็เห็นหญิงงามชุดขาวยืนอยู่บนเวทีพร้อมชี้กระบี่มาที่มัน มันยังไม่ทันกล่าวสิ่งใดหญิงงามชุดขาวก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “เจ้ากล้าลงมือกับผู้กล้าวัยเยาว์ของแคว้นเซี่ยอย่างนั้นรึ เจ้าคงคิดว่าเมืองปิงนี่เป็นของเจ้าอย่างนั้นสินะ” 

    เซียวหลิงซียืนถือกระบี่อย่างสง่างามอยู่บนเวที สายลมพัดชุดขาวของนางจนพลิ้วไหวดั่งเทพธิดา แต่เวลานี้เทพธิดากำลังหรี่ตามองชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยเจตนาสังหาร มือข้างที่ถูกเฉือนของของกัวเป่าเวลานี้โลหิตหยุดไหลแต่มือกลับถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งจนกลายเป็นสีม่วง มันสัมผัสได้ถึงความเย็นสุดขั้วแต่หน้าผากของมันกลับมีเหงื่อไหลลงมา ขณะที่กัวเป่าไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก็มีชายชุดขุนนางสีน้ำเงินทะยานลงมายืนคั่นระหว่างมันกับเซียวหลิงซี

    “ขอแม่นางเซียวใจเย็นลงก่อน รองเจ้าเมืองปิงเพียงขาดสติไปเมื่อเห็นบุตรชายได้รับบาดเจ็บเท่านั้น “ หานฉู่กวงยืนประสานมือทำท่าขออภัยไปทางเซียวหลิงซี “หยางป๋อเป็นผู้ชนะย่อมเป็นตัวแทนคนหนึ่งของผู้กล้าวัยเยาว์แห่งแคว้นเซี่ย หากผู้ใดกล้าลงมือลับหลังอย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเรื่องราวผ่านไปง่ายๆ” นางเก็บกระบี่เข้าฝักแต่ยังคงหรี่ตามองกัวเป่าอย่างไม่เป็นมิตร

    (1)ครึ่งชั่วยาม ประมาณ 1ชั่วโมง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×