ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #11 : งานประลองเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    หลัวเซี่ยอวี่เมื่อนั่งลงก็เร่งแสดงบารมีของคุณชายจากเมืองหลวงสั่งกับบริกรอย่างเย่อหยิ่งทันทีว่า “เจ้าจงไปนำอาหารที่แพงที่สุดมาหกอย่างจากนั้นนำจอกสุรามาสามจอก สำหรับสุราข้ามีสุราชั้นยอดจากเมืองหลวงสุราป่าของพวกเจ้าไม่อาจถูกปากข้าได้” หลัวเซี่ยอวี่แม้จะเห็นกาสุราบนโต๊ะแต่เนื่องจากกาสุราปิดฝาอยู่มีกลิ่นออกมาเพียงเล็กน้อยจึงมองอย่างดูถูก บริกรสับสนอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วจึงรีบตอบกลับทันที “ได้ขอรับขอพวกท่านรอสักครู่” กล่าวจบก็รีบไปนำจอกสุราและชุดถ้วยตะเกียบมาจัดวางให้แขกทั้งสามคนก่อนจะเข้าครัวไปสั่งอาหาร

     หลัวเซี่ยอวี่นำกาสุราที่ถูกปิดผนึกออกมาจากถุงมิติ ก่อนจะแสดงท่าทางสง่างามพลางกล่าวกับหานอี้หนิงว่า “สุราน้ำค้างหยกนี้เป็นสุราเลื่องชื่อของนครผิงอาน น่าเสียดายด้วยข้อจำกัดของการเดินทางข้าจึงไม่ได้นำจอกสุราหยกมาด้วย ยังคงต้องให้คุณหนูหานทนลิ้มรสด้วยจอกสุราธรรมดาไปก่อน รสอาจตกลงไปบ้างแต่ขอแม่นางหานโปรดให้อภัย” กล่าวจบหลัวเซี่ยอวี่ก็ยกจอกสุราไปทางหญิงงามทั้งพร้อมแสดงท่าทีที่คิดว่าสง่างามที่สุด

    หยางป๋อได้ฟังวาจาโอ้อวดจนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา ลั่วเฉินเองแม้จะใจเย็นก็ยังอดที่กร่นด่าในใจไม่ได้ “นี่เจ้าเสแสร้งขนาดนี้เจ้าคิดว่าตนเองเป็นรัชทายาทหรือไม่” ลั่วเฉินจับกาสุราพลางรินให้ตนเองและหยางป๋อ โดยยกกาสุราให้สูงกว่าปกติเพื่อให้สุราตกกระทบจอกได้อย่างเต็มที่ สุราแปดสมบัติเดิมก็เป็นหนึ่งในเรื่องกลิ่นหอมอยู่แล้วเมื่อตกกระทบจอกจากมุมสูงกลิ่นหอมที่แสดงออกมายิ่งฟุ้งกระจาย

    ฝูงชนที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานยังอดไม่ได้ที่จะหันมองหาที่มาของกลิ่นสุราหอมสดชื่นเช่นนี้ เซียวหลิงซีและหานอี้หนิงต่างมองมายังกาสุราในมือของลั่วเฉิน แม้แต่หลัวเซี่ยอวี่ที่คิดดูถูกในคราแรกก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมกลิ่นหอมในใจ หญิงงามทั้งสองต่างเร่งยกจอกสุราที่บรรจุสุราน้ำค้างหยกสุราเลื่องชื่อแห่งเมืองหลวงกระดกลงคอในทีเดียวก่อนจะยื่นจอกสุราไปทางลั่วเฉิน “คุณชายลั่วขอข้าลองชิมสุราของท่านหน่อย” หญิงงามทั้งสองกล่าววาจาพร้อมกันอีกอย่างไม่ได้นัดหมาย ลั่วเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สุรานี้เป็นเพียงสุราต่ำต้อยที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ ขอแม่นางทั้งสองอย่าได้รังเกียจ” กล่าวจบก็รินสุราให้แก่พวกนาง

    เซียวหลิงซีเมื่อได้รับสุราที่ลั่วเฉินรินให้ก็รีบยกดื่มลงคอทันที พลันรู้สึกถึงความร้อนแรงก่อนจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย อีกทั้งหลังจากสุราร้อนแรงไหลลงคอยังไม่รู้สึกบาดลึกเช่นสุราทั่วไปแต่กลับมีกลิ่นหอมกระจายทั่วทั้งในปากและลำคอ “นี่คือยอดสุรา” เซียวหลิงซีกล่าวชื่นชม หานอี้หนิงเมื่อได้รับสุรานางค่อยๆสูดดมชื่นชมกลิ่นหอม แม้นางจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคอสุราแต่นางยังคงสัมผัสถึงความพิเศษของสุรานี้ได้ ถึงนางจะไม่ได้ดื่มสุราบ่อยนักแต่ยังสามารถบอกได้ว่าสุรานี้ยอดเยี่ยมกว่าสุราที่นางเคยดื่มมา

     “คุณชายลั่วสุรานี้ท่านซื้อมาจากที่ใดท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่” หานอี้หนิงถามออกมาโดยตรงเมื่อตั้งสติได้ใบหน้าของนางก็แดงเล็กน้อย “คุณหนูหานอย่าได้เกรงใจไป พวกเราล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันมาก่อน เช่นนี้ดีหรือไม่ต่อไปพวกเรานับว่าเป็นสหาย สุรานี้ข้าได้มาโดยบังเอิญยังพอเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยจะขอมอบให้ท่านหนึ่งไหเป็นน้ำใจจากข้าและหยางป๋อให้กับสหาย” ลั่วเฉินกล่าวอย่างไร้ยางอาย เขาจำต้องทำหน้าที่พ่อสื่อไม่อาจยืดเยื้อมากความ 

    หานอี้หนิงใบหน้าแดงเรื่อแม้จะเขินอายแต่ยังแย้มยิ้มอย่างสดใส “ถ้าอย่างนั้นข้าขอรับไว้อย่างเต็มใจ ต่อไปพวกเรานับว่าเป็นสหายคำกล่าวเกรงใจไม่เอ่ยถึงอีก พวกเราอายุพอกันต่อไปท่านเรียกข้าว่าอี้หนิงส่วนข้าจะเรียกพวกท่านว่าลั่วเฉินกับหยางป๋อท่านว่าอย่างไร”  “นับข้าด้วยอีกคน” เซียวหลิงซีกล่าวอย่างยิ้มแย้มก่อนจะยกกาสุรารินให้ตนเอง “อย่างนั้นพวกข้าจะเรียกท่านว่าพี่สาวเซียว” ลั่วเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    หลัวเซี่ยอวี่เวลานี้ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับกลืนหนอนแมลงวันเข้าไปนับหมื่นตัว เมื่อใดกันที่มันเคยไร้ตัวตนขนาดนี้ ทั้งหานอี้หนิงที่ก่อนหน้านี้ยามพูดคุยเป็นเพียงการถามคำตอบคำและศิษย์พี่หญิงที่ปกติเย็นชากลับมีมุมที่สนุกสนานเช่นนี้ หลัวเซี่ยอวี่รู้สึกคล้ายดั่งเพลิงในใจจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อแต่กลับต้องสะกดกลั้นไม่อาจแสดงออกมา หากอาละวาดทุบตีชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ ศิษย์พี่หญิงที่เพิ่งจะตกลงเป็นสหายกับคนทั้งสองจะต้องลงมือกับมันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังอาจจะถูกหานอี้หนิงดูถูกที่ชายหนุ่มเก่งกาจสง่างามเช่นมันรังแกคนที่อ่อนแอกว่า หลัวเซี่ยอวี่จึงจำเป็นต้องสะกดเพลิงโทสะเอาไว้ในใจ

      สุราหลายจอกไหลผ่านลงคอการสนทนาก็ยิ่งเปิดเผย “ลั่วเฉินคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเกิดที่เมืองหลวง ทั้งยังเป็นหลานชายของจอมทัพลั่วข้านับถือท่านผู้เฒ่ายิ่งนัก พรุ่งนี้เจ้าจะร่วมประลองเวทีผู้กล้าวัยเยาว์หรือไม่” เซียวหลิงซีที่ยามนี้ใบหน้าแดงด้วยฤทธิสุราเอ่ยถามลั่วเฉิน “ข้าไม่ได้เข้าร่วม” ลั่วเฉินส่ายศีรษะปฏิเสธ “เจ้าเป็นบุตรหลานแม่ทัพเหตุใดจึงไม่เข้าร่วม” เซียวหลิงซียังคงถามต่อ “พี่สาวเซียวนั่นเพราะลั่วเฉินไม่อยากแย่งชิงตำแหน่งชนะเลิศกับข้า” หยางป๋อที่หน้าแดงเช่นกันกล่าวตอบแทนลั่วเฉิน

    เซียวหลิงซีไม่เคยรู้จักลั่วเฉินมาก่อนจะถามคำถามเช่นนี้ย่อมไม่แปลก แต่หานอี้หนิงคิดว่านางทราบข่าวของลั่วเฉินไม่น้อยจึงอดประหลาดใจไม่ได้ “ลั่วเฉินมีการฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำ เหตุใดจึงสามารถแย่งชิงตำแหน่งชนะเลิศกับคนอื่นได้” หานอี้หนิงคิดสงสัยในใจแต่ไม่อาจถามออกมา “เช่นนั้นหยางป๋อเจ้าหวังว่าจะชนะเลิศในครั้งนี้อย่างนั้นหรือ” หานอี้หนิงเปลี่ยนเป็นถามหยางป๋อแทน หยางป๋อรู้เจตนาของตนเองดี เพียงฟังคำถามจิตใจก็ล่องลอยจึงอดไม่ได้ที่หน้าแดง

    ลั่วเฉินทอดถอนใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า “สหายของข้าผู้นี้แม้จะดูทึ่มทื่อไปบ้างแต่จิตใจกล้าหาญยิ่งนัก เขารู้ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่ยังกล้าจะหลงรักสตรีสูงศักดิ์ เกียรติยศในครั้งนี้จึงเป็นบันไดที่จะทำให้ความปารถนาของเขาเป็นจริง” หานอี้หนิงพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นขอให้เจ้าโชคดี” เซียวหลิงซีกล่าวให้กำลังใจเช่นกัน “พรุ่งนี้จงแสดงออกให้เต็มที่พี่สาวจะเป็นกำลังใจให้” เมื่อเห็นการแสดงออกของหยางป๋อแม้หญิงงามทั้งสองคนจะไม่เข้าใจแต่สำหรับผู้ที่มีชะตาดอกท้ออย่างหลัวเซี่ยอวี่ย่อมพอจะคาดเดาได้มันจึงมีความคิดบางอย่างในใจ หลังจากกินดื่มสนทนากันถึงยามห้าย(1)จึงได้เวลาแยกย้าย ก่อนกลับลั่วเฉินยังไม่ลืมมอบสุราแปดสมบัติกำนัลให้กับสหายตามสัญญา หลัวเซี่ยอวี่ใบหน้าเป็นสีตับหมูมันแทบจะไม่มีส่วนร่วมในการสนทนา อีกทั้งยังไม่ได้รับของกำนัลจึงรู้สึกไม่พอใจยิ่งนักหลัวเซี่ยอวี่ผู้เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์กลับถูกชายหนุ่มบ้านนอกสองคนหยามเกียรติในใจยิ่งรู้สึกคลั่งแค้น

    วันต่อมาเป็นวันที่สองของเทศกาลคารวะผู้กล้าและวันนี้จะเป็นวันแรกของการประลองเวทีผู้กล้าวัยเยาว์ ช่วงเช้าเมื่อเริ่มการลงทะเบียนก็มีคนหนุ่มสาวมากมายที่คาดหวังว่าจะสามารถใช้เวทีนี้แสดงออกถึงสิ่งที่ฝึกฝนมา จึงรวมตัวกันต่อแถวลงทะเบียนกันอย่างคับคั่ง หลายคนแม้รู้ว่าไม่อาจเป็นผู้ชนะเลิศแต่ก็หวังว่าหากสามารถแสดงออกได้ดีอาจไปเข้าตาผู้สูงศักดิ์ อนาคตต่อไปภายหน้าย่อมสดใส ลั่วเฉินก็กำลังยืนประเมินผู้คนเช่นเดียวกัน เขาสังเกตเห็นหลายคนที่โดดเด่น คาดว่าน่าจะสามารถผ่านเข้ารอบสุดท้าย เวลานี้อัฒจันทร์ปรับเป็นสี่ทิศเวทีปรับเป็นเวทีขนาดใหญ่แตกต่างจากยามเป็นเวทีละครอยู่บ้าง ฝูงชนทยอยกันเข้ามาจับจองที่นั่งเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาลั่วเฉินก็ตรงไปยังที่นั่งว่างบนอัฒจันทร์เช่นเดียวกัน

    การประลองเวทีผู้กล้าวัยเยาว์จะแบ่งออกเป็นสองวันโดยวันแรกจะคัดผู้มีฝีมือแปดคนเข้าสู่รอบสุดท้าย ปีก่อนหยางป๋อผ่านรอบแรกไปได้แต่เมื่อถึงรอบสุดท้ายแต่เขาก็แพ้ตั้งแต่แรก คู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้ดีเท่าใดนักเมื่อเข้ารอบไปด้วยอาการบาดเจ็บสุดท้ายจึงแพ้ในรอบสี่คนสุดท้าย จะเห็นว่าการประลองเช่นนี้นอกจากฝีมือแล้วโชคเองก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน รอบสุดท้ายแข่งจบภายในวันเดียวผู้ชนะจึงจำเป็นต้องแข่งขันติดต่อกันถึงสามรอบ ภายใต้การแข่งขันที่กดดันเช่นนี้จึงมีหลายคนที่แม้จะมีฝีมือแต่โชคร้ายไม่อาจผ่านเข้าสู่รอบลึกๆ

    ก่อนเริ่มการประลองหอการค้าพันสมบัติได้มีการจัดตั้งโต๊ะพนันเพื่อให้ผู้คนได้ลงเงินพนันกับผู้เข้าแข่งขันที่คิดว่าจะชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้ กัวซีเฉียงผู้ชนะในปีที่แล้วอัตราต่อรองมาเป็นอันดับหนึ่งในอัตราแทงสี่จ่ายหนึ่งหวังเค่อ รองชนะเลิศในปีที่แล้วอัตราต่อรองแทงสองจ่ายหนึ่ง หวังเค่อผู้นี้เป็นผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับความนิยมสูง หวังเค่อเป็นเด็กกำพร้าที่สูญเสียบิดามารดาตั้งแต่ยังเด็ก หวังเค่อเคยได้รับการสั่งสอนจากผู้พเนจรคนหนึ่งหลังจากผู้พเนจรจากไปเขาก็เฝ้าอดทนฝึกฝนจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันเวทีผู้กล้าในปีก่อนอีกทั้งยังได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ ปีนี้หวังเค่อเองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีการฝึกฝนในแดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดเช่นกัน เนื่องจากตัวเขาเป็นเพียงชายหนุ่มจากหมู่บ้านขนาดเล็กนอกเมืองปิง ทรัพยากรที่เขาใช้ย่อมได้มาอย่างยากลำบาก สำหรับผู้คนที่ชอบเรื่องราวของความพยายามล้วนนิยมเดิมพันกับคนผู้นี้ ส่วนผู้สมัครที่เหลือมีอัตราต่อรองเดียวกันอยู่ที่แทงหนึ่งจ่ายห้า 

    ผู้คนสามารถวางเดิมพันกับผู้เข้าแข่งขันที่ชื่นชอบได้อย่างอิสระ ลั่วเฉินเองก็วางเดิมพันด้วยเงินสามสิบเหรียญทองในฝั่งหยางป๋อเช่นเดียวกัน หยางป๋อเองก็นำเงินสิบเหรียญทองที่เหลือเดิมพันข้างตนเอง เจ้าหน้าที่รับพนันประหลาดใจที่มีผู้ลงเดิมพันกับชายหนุ่มนามหยางป๋อถึงสี่สิบเหรียญทอง มันจึงแอบคาดหวังถึงการแสดงออกบนเวทีของชายหนุ่มคนนี้

    เมื่อถึงยามซื่อ(2) กรรมการบนเวทีที่เป็นชายวัยกลางคนร่างใหญ่ก็ประกาศเรียกผู้เข้าแข่งขันพร้อมแจ้งกติกาการแข่งขัน “ผู้ที่เข้าร่วมการประลองเวทีผู้กล้าวัยเยาว์เวทีมีทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบสี่คน จึงแบ่งการประลองออกเป็นแปดรอบ ในแต่ละรอบจะมีผู้เข้าการประลองยี่สิบคนและมีสี่รอบที่มียี่สิบเอ็ดคน แต่ละรอบจะคัดเลือกผู้ชนะเพียงหนึ่งคนที่ยืนบนเวทีได้เป็นคนสุดท้าย ผู้ที่ประกาศยอมแพ้หรือตกจากเวทีจะถูกคัดออก หากรู้ว่าสู้ไม่ได้ให้รีบประกาศยอมแพ้อาวุธล้วนไร้นัยน์ตาหากพวกเจ้าตกตายไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้นอกจากตัวเจ้าเอง การแข่งรอบนี้ไม่จำกัดวิธีการหากคนผู้หนึ่งเจอกลุ่มคนยี่สิบคนที่รวมตัวกันโจมตีแล้วพ่ายแพ้ก็ทำได้เพียงโทษว่าตนเองนั้นโชคร้ายเท่านั้น”  หยางป๋อจับสลากได้อยู่ในกลุ่มที่แปดซึ่งมียี่สิบเอ็ดคนเข้าร่วมการต่อสู้ เมื่อทราบลำดับการแข่งขันเรียบร้อยการต่อสู้ที่ผู้คนรอคอยก็เริ่มอย่างเป็นทางการ 

    บนเวทีรอบแรกหวังเค่อที่หลายคนคาดหวังแสดงฝีมืออย่างโดดเด่นจนสามารถยืนเป็นคนสุดท้ายบนเวทีได้ หวังเค่ออาศัยพละกำลังและกระบวนท่าที่ดุดันสยบคู่ต่อสู้ได้ไม่ยากเย็นเท่าใดนัก กลุ่มคนที่มาให้กำลังใจรวมถึงกลุ่มคนที่เล่นพนันไว้ต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี การแข่งขันดำเนินต่อไป ผู้ชนะบนเวทีไม่มีการพลิกโผ เมื่อการประลองเจ็ดกลุ่มผ่านไป ผู้ชนะล้วนเป็นตัวเต็งทั้งหมดรวมถึงหวังเค่อและกัวซีเฉียง 

    สำหรับกัวซีเฉียงก็สามารถแสดงออกได้อย่างโดดเด่นสมกับที่ถูกขนานนามว่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของเมืองปิง ไม่เพียงจะมีพลังฝึกปรือที่เหนือกว่าและการออกกระบวนท่ายังรัดกุมจนสามารถเป็นผู้ชนะบนเวทีที่สี่ได้โดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ฝูงชนมีทั้งยินดีทั้งหดหู่หลายคนทอดถอนใจคิดว่าไม่ควรเสี่ยงลงเดิมพันตรงข้ามกับกัวซีเฉียง หากเดิมพันฝั่งกัวซีเฉียงแม้จะได้เงินน้อยแต่ย่อมสามารถทำเงินได้แน่นอน โต๊ะพนันหอพันสมบัติจึงรีบปรับอัตราต่อรองสำหรับกัวซีเฉียงเป็นแทงสิบจ่ายหนึ่ง

    (1)ยามห้าย 21.00-22.59น.
    (2)ยามซื่อ 9.00-10.59น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×