คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เด็กหนุ่มลั่วเฉิน
แคว้นเซี่ยปีที่สิบในรัชศกไป่หลุนแห่งราชวงศ์ไป๋ เดือนสี่ฤดูชุนเทียน เมืองปิงเมืองชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นเซี่ยเวลานี้อากาศเย็นสบาย บรรยากาศในเมืองกำลังคึกคักเป็นพิเศษ บ้านเรือนประชาชนต่างตกแต่งประดับประดาด้วยธงและโคมหลากสีสัน อีกเพียงห้าวันจะถึงวันเทศกาลรำลึกถึงผู้กล้าที่เสียสละชีวิตเพื่อสร้างสันติสุขให้กับมวลมนุษย์ หากนับย้อนไปราวหนึ่งพันปีในทวีปหยวนหวงอันกว้างใหญ่แห่งนี้ เผ่ามนุษย์มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากเพราะการรุกรานจากสัตว์อสูร ด้วยการกำเนิดขึ้นของเทพอสูรหกตัวในเวลาไล่ๆกันทำให้บรรดาสัตว์อสูรนับวันยิ่งดุร้าย เผ่ามนุษย์ต้องคอยหลบหนีเอาชีวิตรอดจากการรุกรานอยู่นานหลายร้อยปี จนวันหนึ่งประกายความหวังของมนุษยชาติก็เกิดขึ้นเมื่อมีคนผู้หนึ่งได้รวบรวมบรรดาผู้กล้าจากทุกสารทิศเข้าทำสงครามกับสัตว์อสูร
มหาสงครามครั้งนี้ยาวนานถึงสี่ร้อยปีเหล่าผู้กล้าจึงสามารถหยุดการอาละวาดของสัตว์อสูรลงได้สำเร็จ สัตว์อสูรที่เหลือรอดต่างหลบหนีเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาเสินหนงที่อยู่ใจกลางทวีปหยวนหวงไม่กล้าออกมาก่อความวุ่นวายระลอกใหญ่อีก แต่ถึงแม้จะได้รับชัยชนะทว่าผู้นำของเหล่าผู้กล้านามว่าเทพศาสตราฮั่วเฉิน เทพยุทธเพียงหนึ่งเดียวของเผ่ามนุษย์ก็ได้ร่วงหล่นลงเช่นเดียวกัน หลังจากมหาสงครามสิ้นสุดลงผู้กล้าระดับแดนจักรพรรดิที่รอดชีวิตสี่คนได้ทำการสร้างอาณาจักรล้อมรอบเทือกเขาเสินหนงเอาไว้ทั้งสี่ทิศ คนทั้งสี่ต่างก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของแคว้นที่ตนเองสร้างขึ้น ชนรุ่นหลังต่างขนานนามด้วยความยกย่องพวกเขาทั้งสี่ยกให้เป็นสี่มหาจักรพรรดิ ถือเป็นการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของเผ่ามนุษย์อีกครั้ง
“ท่านป้าหลี่ท่านดูหนูดินเหล่านี้ล้วนตัวอวบอ้วนอีกทั้งพวกมันยังมีชีวิตอยู่ หากท่านขังเอาไว้จำหน่ายช่วงวันเทศกาลจะต้องมีลูกค้าจำนวนมากมาอุดหนุนร้านท่านอย่างแน่นอน ท่านช่วยเพิ่มราคาให้ข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่” เด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาดอกท้อใสกระจ่าง จมูกโด่ง ปากบางเป็นรอยหยัก กล่าวกับสตรีวัยกลางคนเจ้าของร้านอาหารอย่างยิ้มแย้มวาจาออดอ้อน “เห็นแก่ที่เจ้าส่งของดีให้ร้านข้าเป็นประจำเอาแบบนี้หนูดินเจ็ดตัวข้าคิดให้เจ้าตัวละสิบเหรียญเงินทั้งหมดเจ็ดสิบเหรียญเงินพอใจหรือไม่” สตรีกลางคนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านป้าหลี่มากขอรับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างก่อนที่จะรับเงินมาตรวจนับ “ถ้าข้าได้ของดีมาอีกข้าจะมาหาท่านป้าหลี่เป็นคนแรก ข้าไปก่อนนะขอรับ” เด็กหนุ่มกล่าวลาสตรีวัยกลางคนอย่างมีความสุข
สตรีวัยกลางคนมองส่งเด็กหนุ่มร่างสูงเดินจากไปก่อนที่นางจะรำพันกับตนเอง “ผู้ใดจะคิดว่าบุตรหลานขุนนางใหญ่เช่นนี้จะใช้ชีวิตเยี่ยงนายพราน ดูเจ้าที่มีความสุขจากเงินเล็กน้อยที่ได้รับสิ เงินจำนวนเท่านี้ไม่เพียงพอให้ลูกหลานเสเพลเหล่านั้นร่ำสุราอาหารหนึ่งมื้อด้วยซ้ำ” ลั่วเฉินไม่ทราบความคิดของท่านป้าหลี่ ยามนี้เขากำลังมีความสุขกับเงินที่หามาได้ เขาที่มีพลังฝึกฝนเพียงแดนก่อกำเนิดขั้นที่สามการหาเงินจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ภายหลังเขาโชคดีพบเส้นทางหาเงินเส้นทางหนึ่งนั่นคือการจับหนูดินหางเหลือง แม้จะเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำแต่หนูชนิดนี้มีรสชาติอร่อยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ดุร้าย เพียงแต่มันมีความว่องไวและเฉลียวฉลาด กว่าที่ลั่วเฉินจะจับพวกมันได้ก็ใช้เวลาคิดหาวิธีอยู่นานพอสมควร
ตอนนี้เขาสะสมเงินไว้ได้ไม่น้อยเป้าหมายของเขาตอนนี้คือต้องการเก็บเงินซื้อยาเม็ดก่อกำเนิด เม็ดยาที่จะช่วยเพิ่มพลังการบ่มเพาะของเขาให้เพิ่มระดับได้เร็วขึ้นได้ แต่เม็ดยาชนิดนี้มีราคาสูงถึงสามสิบเหรียญทองต่อหนึ่งเม็ด เส้นทางหาเงินของเขาจึงยังอีกยาวไกลนัก ลั่วเฉินเดินมาจนถึงจัตุรัสใจกลางเมือง เขามองบรรดาเหล่าคนงานที่กำลังช่วยกันสร้างเวทียกสูง เวทีนี้จะใช้ในงานเทศกาลรำลึกถึงผู้กล้าที่กำลังจะมาถึง
ในงานเทศกาลปีนี้จะมีการแสดงหลายอย่างทั้งการแสดงละคร การแสดงดนตรี แต่ที่ผู้คนให้ความนิยมสูงสุดคือการประลองคัดเลือกผู้กล้าวัยเยาว์ การประลองผู้กล้าวัยเยาว์นี้ผู้ที่สามารถสมัครเข้าแข่งขันต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี ผู้ชนะในปีที่แล้วเป็นบุตรชายของรองเจ้าเมืองที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีมีพลังฝึกฝนอยู่ในแดนก่อกำเนิดขั้นที่เจ็ด เวลานี้ยังได้ยินว่าสามารถทะลวงสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดไปแล้ว ลั่วเฉินรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ลั่วเฉินปีนี้อายุสิบห้าปีเขาหวังว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาจะสามารถฝึกฝนเข้าถึงแดนก่อกำเนิดขั้นสูงได้
ลั่วเฉินเดินมายืนอยู่หน้ารูปปั้นบริเวณด้านเหนือของจัตุรัสก่อนที่เขาจะโค้งคำนับอย่างจริงใจ นี่เป็นวีรบุรุษผู้กล้าผู้เสียสละของเผ่ามนุษย์เทพศาตราฮั่วเฉิน เผ่ามนุษย์เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถฝึกฝนเข้าสู่แดนเทพยุทธ นามเฉินของเขาท่านปู่ก็ตั้งขึ้นตามนามของผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ รูปปั้นแสดงให้เห็นถึงบุรุษชุดแดงผู้หนึ่งกำลังยืนชูกระบี่อย่างกล้าหาญ ใต้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งมีสัตว์อสูรนอนสยบอยู่ ลั่วเฉินได้ยินมาว่าทุกเมืองของแคว้นเซี่ยล้วนมีรูปปั้นของท่านเทพศาสตราตั้งอยู่ในอิริยาบถต่างกัน เขายังคงจำได้อย่างเลือนลางว่าเมื่อครั้งยังเด็กตัวเขาเคยอยู่ในเมืองหลวง ครั้งหนึ่งมารดาเคยพาเขาไปไหว้รูปปั้นของท่านเทพศาสตรา เวลานั้นท่านเทพศาสตรา สวมเกราะสีแดงในมือถือทวนยาวควบอยู่บนหลังอาชาดำตัวหนึ่งช่างสง่างามยิ่งนัก ด้านข้างยังมีสตรีงดงามขี่อาชาขาวในมือถือกระบี่ เวลานั้นเขายังไม่ทราบว่าท่านแม่พามาไหว้ผู้ใด
ขณะที่เขากำลังจมอยู่กับความคิดก็มีเสียงหนึ่งดึงสติของเขาออกมา ในร้านสุราใกล้กับจัตุรัสมีคนผู้หนึ่งกำลังมองมาที่เขาพร้อมกล่าวเย้ยหยัน “ลั่วเฉิน ไหนมาดูสิว่าวันนี้เจ้าหาของป่าอะไรมาได้บ้าง ให้ข้าจะช่วยอุดหนุนเจ้าสักหน่อยเป็นอย่างไร” ชายหนุ่มจมูกเหยี่ยว ดวงตาแคบเล็ก ชายคนนั้นมองลั่วเฉินอย่างยั่วยุพร้อมกับโยนถั่วเข้าในปาก ลั่วเฉินมองกลุ่มคนก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง เขาคร้านจะใส่ใจคนกลุ่มนี้ “โอ้ เดินหนีอย่างนั้นหรือนี่สินะใครต่อใครถึงลือกันว่าคนจวนลั่วล้วนขี้ขลาดตาขาว” ลั่วเฉินหยุดเดินก่อนที่จะหันหน้ามาสบตาผู้พูด พลันตวาดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “กวงหมิงเจ้าลูกสุนัข ไหนมาให้ข้าดูสิว่านอกจากการเห่าหอนแล้วเจ้ามีความสามารถอันใด” ลั่วเฉินสูญเสียทั้งบิดาและมารดาจากสงคราม คำพูดของกวงหมิงคนนี้เป็นคำดูถูกที่เขาไม่อาจทนรับไหว
ชายหนุ่มกวงหมิงหรี่ตาลงก่อนจะยืนขึ้น “จะสู้งั้นรึ ย่อมได้พวกเราลงมือ” สิ้นคำสั่งของกวงหมิงลูกสมุนอีก 4 คนต่างยืนขึ้นก่อนจะพุ่งตัวมาทางลั่วเฉินด้วยท่าทางดุร้าย การตะลุมบอนที่หน้าร้านสุราจึงเกิดขึ้น กว่าที่ทหารลาดตระเวนในเมืองจะมาระงับเหตุทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ กวงหมิงถึงบ้วนเลือดมีฟันติดออกมาหลายซี่ เหล่าทหารย่อมรู้จักชายหนุ่มเหล่านี้ดีจึงไม่มีการจับกุมเพียงกล่าวตักเตือนเท่านั้น
ภายในจวนแม่ทัพใหญ่เมืองปิงในห้องนอน ลั่วเฉินกำลังทายารักษาบาดแผลให้กับตนเองพลางส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความเจ็บปวด การสู้กับคนห้าคนเป็นสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถ ยังดีที่คนเหล่านี้ล้วนเมาสุราและวิชาฝึกฝนของตระกูลลั่วค่อนข้างแข็งแกร่งเขาจึงสามารถเอาตัวรอดมาได้ ลั่วเฉินส่งเสียงด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งพลางมองไปทางเรือนของท่านปู่ของเขา ชาวเมืองปิงทุกคนต่างรับรู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่เมืองปิงเป็นชายชราที่ได้รับความบอบช้ำทางจิตใจจนไม่ออกจากเรือนมานานมากแล้ว
เล่ากันว่าแม่ทัพลั่วเฟิงซู ยามอยู่ในจุดสูงสุดของกองทัพเคยเป็นหนึ่งในสองจอมทัพพิทักษ์แห่งแคว้นเซี่ย บัญชากองกำลังทหารฝ่ายทักษิณหลายแสนนาย ราวสิบปีก่อนเกิดการกบฏโดยกองทัพฝ่ายพายัพของจอมทัพตงหลี่ชิง ทัพตงได้กรีฑาทัพเข้าโจมตีนครผิงอานเมืองหลวงของแคว้นเซี่ย กว่าจอมทัพลั่วเฟิงซูจะทราบข่าวก็สายเกินไป เมื่อยกทัพมาช่วยเมืองหลวงก็แตกพ่ายและจักรพรรดิไป๋เสียนอู่ถูกสังหารเสียแล้ว
จักรพรรดิไป๋เสียนอู่เป็นจักรพรรดิองค์ที่สิบเอ็ดแห่งราชวงศ์ไป๋ แม้จะถูกเรียกขานว่าจักรพรรดิแต่จักรพรรดิไป๋เสียนอู่มีพลังบ่มเพาะเพียงแดนนภาเท่านั้น เมื่อเมืองหลวงใกล้จะถูกตีแตก บรรดาราชนิกูล ขุนนางฝ่ายราชวงศ์และข้าทาสบริวารต่างพากันหลบหนี จวนตระกูลลั่วก็ต้องหลบหนีจากการตามจับกุมให้ได้เช่นเดียวกัน หากฝ่ายทัพตงคร่ากุมผู้คนในจวนตระกูลลั่วเอาไว้ได้ ถึงแม้ไม่อาจทำให้ทัพลั่ววางอาวุธ แต่เหล่าทหารก็ต้องสูญเสียขวัญกำลังใจอย่างมาก
จวนตระกูลลั่วในขณะนั้นนอกจากบ่าวไพร่แล้วก็มีเพียงเด็ก สตรีและคนชรา จอมทัพผู้เฒ่าลั่วมีฮูหยินและอนุภรรยาอีกสองคน บุตรชายสี่คน บุตรสาวสามคน สะใภ้และอนุภรรยาของบุตรชายสิบคน หลานชายหลานสาวมากถึงสิบแปดคน ในเวลานั้นคนในจวนนั้นต่างแยกกันหลบหนี ลั่วเฉินที่ขณะนั้นอายุเพียงห้าปีหลบหนีพร้อมกับการมารดานางซูซื่อและบ่าวไพร่จำนวนหนึ่ง แต่มีเพียงลั่วเฉินและพ่อบ้านชราเท่านั้นที่สามารถหลบหนีมาถึงทัพลั่วได้สำเร็จ
เพื่อให้ลั่วเฉินได้หลบหนีนางซูซื่อและบ่าวไพร่ได้แยกตัวเพื่อล่อกองกำลังตามล่าไปอีกทางหลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบตัวนางอีกจึงคาดว่านางน่าจะสู้จนตัวตาย ลั่วซื่อหลงบิดาของลั่วเฉินเป็นบุตรชายคนที่สองของฮูหยินผู้เฒ่าลั่ว แต่เป็นคนสุดท้องในบรรดาบุตรชายทั้งสี่คนของจอมทัพเฒ่าลั่ว ลั่วซื่อหลงปีนั้นอายุยี่สิบห้าปี มีภรรยาเพียงคนเดียวคือนางซูซื่อและมีบุตรเพียงคนเดียวคือลั่วเฉิน ลั่วซื่อหลงเมื่อเห็นลั่วเฉินหลบหนีมาได้แต่ภรรยาไม่ทราบชะตากรรมก็ทั้งยินดีทั้งโศกเศร้า ยังมีภรรยาและบุตรของแม่ทัพนายกองของทัพลั่วอีกเป็นจำนวนมากที่ยามนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมในเวลานั้น
จอมทัพลั่วตัดสินใจเด็ดขาดเคลื่อนทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงโดยไม่สนว่าจะมีตัวประกันหรือไม่ ถึงแม้ทัพลั่วที่อยู่ทางใต้จะมีกำลังรบสูงกว่าเนื่องจากดูแลชายแดนที่มีภาวะศึกสงครามบ่อยครั้งว่าทางเหนือแต่ก็ไม่สามารถแสดงอานุภาพได้อย่างเต็มที่ การรบจึงเต็มไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายถึงจะแม้สูญเสียไพร่พลจำนวนมากทัพลั่วก็เข้ายึดคืนเมืองหลวงได้สำเร็จ
จอมทัพตงหลี่ชิงหลบหนีไปพร้อมแม่ทัพนายกองคนสนิทที่เหลือรอดเพียงร้อยกว่าคน ถือว่าสิ้นสุดศึกชิงเมืองหลวงที่ยาวนานถึงแปดเดือน ในสงครามครั้งนี้ทัพลั่วแม้ได้รับชัยชนะ แต่จอมทัพลั่วเฟิงซูก็ต้องสูญเสียบุตรชายทั้งสี่คน หลังเหตุการณ์จอมทัพลั่วเฟิงซูอัญเชิญองค์รัชทายาท พระโอรสองค์โตวัยยี่สิบห้าชันษาของจักรพรรดิไป๋เสียนอู่ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ที่สิบสองแห่งแคว้นเซี่ย
จักรพรรดิพระองค์ใหม่ทรงพระนามว่า จักรพรรดิไป๋ซีเทียน ขึ้นครองราชย์ได้เพียงสามเดือนก็ออกราชโองการที่ทำให้ผู้คนล้วนประหลาดใจ ในราชโองการกล่าวว่า “จอมทัพทักษิณลั่วเฟิงซู วางแผนการรบผิดพลาดทำให้สูญเสียไพร่พลมากมาย อีกทั้งยังปล่อยให้กบฏตงหลบหนีไปได้ ให้ลดตำแหน่งจากจอมทัพขั้นสองเป็นแม่ทัพขั้นห้า ควบคุมกองกำลังรักษาเมืองปิง”
ราชโองการนี้สำหรับจอมทัพผู้เฒ่าที่เพิ่งสูญเสียบุตรชาย คล้ายดั่งอัสนีบาตยามแล้ง ตั้งแต่นั้นแม่ทัพเฒ่าผู้นี้ก็คล้ายวิญญาณออกจากร่าง ไม่สนใจเหตุบ้านเมืองรวมถึงเรื่องในเรือน ถึงจะยังมีตำแหน่งคุมทหารประจำเมืองแต่แม่ทัพเฒ่าไม่เคยไปยังค่ายทัพแม้เพียงครั้งเดียว ราชสำนักก็ไม่มีคำตำหนิลงมา แต่นานวันเข้าเหล่าขุนนาง แม่ทัพ นายกองในเมืองปิงที่เกรงอกเกรงใจในทีแรกก็เริ่มไม่เห็นแม่ทัพผู้เฒ่าลั่วอยู่ในสายตา เหล่าสะใภ้ที่เคยอยู่อย่างสมบูรณ์ด้วยลาภยศเงินทองย่อมไม่อาจทนทานความเป็นอยู่ที่ยากลำบากเช่นนี้ได้ ต่างพากันหาข้ออ้างกลับบ้านเดิมไป แม่ทัพผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้กล่าวรั้งแต่อย่างใด ในเรือนจึงเหลือเพียง ลั่วเฉิน หลานชายกำพร้าและบ่าวเก่าแก่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ความคิดเห็น