คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เกราะอ่อนระดับปฐพี
หยางป๋อถูกลั่วเฉินลากกลับจวนแม่ทัพ หลังจากกล่าวคารวะแม่ทัพผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเขาก็มายืนอยู่ในห้องหลอมอาวุธของลั่วเฉินด้วยความมึนงง “เจ้าสร้างห้องนี้ตั้งแต่เมื่อใด ครึ่งเดือนก่อนที่ข้ามาหาเจ้าเรือนเจ้ายังไม่มีสิ่งเหล่านี้” “ข้าสร้างห้องหลอมนี้ราวเจ็ดวันก่อน ข้าค่อนข้างโชคดีได้พบสมุนไพรหายากก่อนที่จะนำบางส่วนไปขายแล้วจึงนำเงินมาซื้อตำราและอุปกรณ์หลอมอาวุธเหล่านี้” ลั่วเฉินตอบ “เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าใช้เวลาศึกษาตำราเพียงเจ็ดวันก็สามารถหลอมอาวุธวิญญาณระดับสูงได้แล้วรึ” หยางป๋ออุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “เพียงสามวัน กระบี่ที่เจ้าต้องการซื้อข้าหลอมไปขายให้หอการค้าลมวสันต์เมื่อหลายวันก่อน เอาล่ะเจ้าอย่าถามให้มากความมานี่สิข้าจะทำให้ความฝันถึงหญิงงามของเจ้าเป็นจริง”
ลั่วเฉินเรียกหยางป๋อเข้าไปใกล้ก่อนจะยื่นเห็ดหลินจือม่วงสามต้นให้ “นี่คือสิ่งที่เจ้าบอกว่าโชคดีได้พบอย่างนั้นรึ ลั่วเฉินนี่มันมีค่ามากเกินไป เจ้าควรนำไปขายหรือนำมาบ่มเพาะเพิ่มพลังฝึกฝนให้กับตัวเจ้าเองข้าไม่อาจรับไว้” หยางป๋อมองเห็ดหลินจือม่วงในมือลั่วเฉินอย่างประหลาดใจก่อนจะกล่าวปฏิเสธ “เจ้าจะกังวลสิ่งใดนี่เป็นเพียงของเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าคิดว่านักหลอมอาวุธอย่างข้ายังจะขัดสนเงินทองงั้นรึ ส่วนเรื่องการฝึกฝนเจ้าก็ไม่ต้องห่วงสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์กับการฝึกฝนของข้าแล้ว”
ลั่วเฉินไม่ต้องการกล่าววาจาไร้สาระ เขาปลดปล่อยพลังปราณของผู้ฝึกฝนแดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าออกมาทันที หยางป๋อเบิกตากว้าง “นี่เจ้า.. เหตุใดขั้นพลังของเจ้าจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ลั่วเฉินหากเจ้าเข้าร่วมเวทีผู้กล้าวันเยาว์จะมีผู้ใดสู้เจ้าได้อีก เจ้าก็ทราบว่าผู้ชนะเลิศในปีนี้จะได้สิทธิในการเข้าร่วมงานชุมนุมผู้กล้าในปีหน้า” ลั่วเฉินย่อมทราบเรื่องราวจากการบอกเล่าของหยางป๋อมาก่อนหน้านี้แล้วแต่เขาไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก “งานชุมนุมอะไรนั่นข้าย่อมต้องเข้าร่วม แต่ข้ามีวิธีของข้าเจ้าไม่ต้องห่วงไปเจ้าอย่าลืมว่าข้ายังเป็นนักหลอมอาวุธผู้หนึ่ง”
ลั่วเฉินให้หยางป๋อนำเห็ดหลินจือม่วงไปนั่งบ่มเพาะที่มุมหนึ่งของห้อง ก่อนที่เขาจะโยนเศษกระดูกหลายชิ้นไปรอบตัวหยางป๋อ หยางป๋อมองคลื่นพลังปราณที่หมุนวนรอบกายอย่างไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด สหายสนิทในวันนี้ทำให้เขาประหลาดใจหลายครั้งเกินไป หลังจากหลับตารวบรวมสมาธิกำหนดลมหายใจหยางป๋อก็รู้สึกสัมผัสได้ถึงการดูดซับพลังปราณอันรวดเร็ว เห็ดหลินจือม่วงสามต้นในมือต่างสั่นไหวเล็กน้อย
ลั่วเฉินไม่เสียเวลาเขานำซากวานรขนเหล็กออกมาตัวหนึ่ง หลังจากเลือกวัสดุอีกหลายชนิดเขาก็เข้าสู่กระบวนการหลอม ลั่วเฉินจุดผลเพลิงสวรรค์ก่อนจะนำขนของวานรลงไปเผาจนแดง ก่อนที่นำลงเตาหลอมแล้วเติมของเหลวสีน้ำเงินลงไปก่อนจะเร่งไฟอีกครั้ง เขาทำขั้นตอนนี้ซ้ำไปมากับวัตถุดิบอื่นอีกหลายชนิด นี่เป็นชุดเกราะอ่อน ลั่วเฉินจึงไม่ใช้วิธีการตีแต่เขาใช้วิธีการเฉพาะตัวโดยการส่งพลังปราณเข้าไปถักทอ
ขนของวานรขนเหล็กที่ถูกทำการเผาและประสานอยู่หลายรอบขนกลายเป็นลักษณะเส้นใยสีดำแกมน้ำเงินค่อยๆถักทอขึ้นรูป ผ่านไปหนึ่งชั่วยามชุดเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งหกส่วน สีดำแกมน้ำเงินก็ปรากฎสู่สายตา นี่คือของที่จะมอบให้สหายลั่วเฉินจึงทำให้ดีกว่าที่เขาจะทำขายในอนาคต แต่เวลานี้ยังไม่อาจทำให้ดีมากเกินไปในอนาคตเขาจะหลอมสร้างชุดเกราะอ่อนจากวานรขนเหล็กขายอย่างแน่นอนแต่จะไม่เสริมวัสดุพิเศษลงไป
เกราะอ่อนชุดนี้ลั่วเฉินเติมน้ำลายของหนอนผีเสื้อจักรพรรดิน้ำเงินลงไป น้ำลายของหนอนผีเสื้อชนิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยประสานเส้นใยของสัตว์ต่างให้มีความเหนียวได้ดี และหนอนผีเสื้อจักรพรรดิน้ำเงินยังมีพฤติกรรมที่จะกินแต่ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเท่านั้น เมื่อนำมาประสานกับเสื้อผ้าจะทำให้ร่ายกายมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ลั่วเฉินคิดว่าเขาช่างเป็นผู้เฒ่าแห่งดวงจันทร์คอยส่งเสริมความรักของสหายที่ดีจริงๆ หลังจากเวลาผ่านไปอีกสองชั่วยามหยางป๋อก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับรัศมีพลังที่เปลี่ยนไป เขาสัมผัสพลังปราณในร่างกายที่ไหลอย่างอบอุ่นไปตามส่วนต่างๆได้อย่างชัดเจน หยางป๋อดีดตัวขึ้นก่อนจะโห่ร้องออกมาอย่างยินดี เขาเห็นลั่วเฉินกำลังยืนส่งยิ้มมาทางเขา
ลั่วเฉินเองก็ไม่ได้ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาใช้เวลาสองชั่วยามในการหลอมสร้างชุดเกราะอ่อนจากวานรจ่าฝูงให้ตนเองอย่างพิถีพิถัน ลั่วเฉินคิดถึงเกราะอ่อนสีดำแกมม่วงที่เขากำลังสวมใส่ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ ชุดเกราะอ่อนระดับปฐพีแกร่งสิบส่วน หากไม่ใช่อาวุธนภาระดับสูงการจะสร้างความเสียหายให้กับเกราะอ่อนนี้แทบเป็นไปไม่ได้ ลั่วเฉินยังคงลบประกายความแกร่งลงก่อนจะนำมาสวมใส่ เมื่อสวมใส่ลั่วเฉินสัมผัสถึงความเรียบลื่นทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายอย่างยิ่ง
ในขั้นตอนการหลอมลั่วเฉินไม่เพียงใช้แกนอสูรและขนของวานรจ่าฝูงเขายังเติมเส้นใยที่ถักทอจากใยของแมงมุมสันโดษหลังม่วงอสูรระดับสี่ที่บังเอิญพบในป่าลงไป ไม่เพียงเสริมความแกร่งให้กับเกราะอ่อนแต่ยังให้ความอบอุ่นยามอากาศหนาวและเย็นสบายยามอากาศร้อนได้อีกด้วย “เส้นใยนี้เป็นของดีน่าเสียดายที่พบเพียงเส้นใยเก่า ในอนาคตหากพบตัวแมงมุมสันโดษหลังม่วงข้าควรจะจับมันไปเลี้ยงเอาเส้นใย” เวลานี้แมงมุมสันโดษหลังม่วงกำลังจัดการกับวิหกตัวหนึ่งที่บินมาติดใย ขณะกำลังจะลงเขี้ยวฉับพลันขนบนขายาวทั้งแปดลุกตั้งขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ลั่วเฉินมองที่สหายที่กำลังยินดีพลันยิ้มแย้มก่อนจะกล่าว “อีกสักครู่เจ้าจะยินดีกว่านี้” กล่าวจบเขาก็นำชุดเกราะอ่อนหนึ่งตัวและกระบี่หนึ่งเล่มที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ยื่นให้กับหยางป๋อ หยางป๋อมองสิ่งของในมืออย่างไม่เชื่อสายตาอีกครั้ง “นี่เป็นกระบี่วิญญาณระดับสูงเสริมแกร่งห้าส่วนใช่หรือไม่ แล้วชุดเกราะอ่อนนี้คือสิ่งของระดับใด” ลั่วเฉินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “นี่เป็นเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งหกส่วน ขอเพียงคู่ต่อสู้ไม่มีระดับพลังสูงกว่าเจ้าเกินไปหรือใช้อาวุธระดับนภาเข้าโจมตีจะไม่สามารถทำอันตรายกับอวัยวะภายในของเจ้าได้ อีกทั้งยังเสริมพลังธาตุลมช่วยยกระดับการเคลื่อนไหวของเจ้าได้อีกสองส่วน นอกจากนี้ข้ายังเสริมดวงความรักให้กับเจ้าด้วย เจ้าจงรีบเชื่อมวิญญาณสิ่งเหล่านี้กับตัวเจ้า”
หยางป๋อไม่ได้ยินคำพูดตามหลังของลั่วเฉินชัดเจนมากนัก เขารู้สึกสมองอื้ออึงตั้งแต่ได้ยินว่าเป็นเกราะอ่อนระดับปฐพีเสริมแกร่งหกส่วน ไม่ต้องถามว่าสิ่งนี้มีค่าแค่ไหนสำหรับตัวเขาแม้แต่บิดาหรือจะเป็นผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในเมืองปิงก็ไม่น่าจะมีสิ่งนี้และอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่หายากมันคือเกราะอ่อนที่สามารถสวมใส่ไว้ด้านใน หยางป๋อไม่ทราบว่าลั่วเฉินสามารถหลอมสร้างสิ่งนี้ได้อย่างไร แต่เขารู้ว่าแม้จะประเมินสหายสนิทไว้สูงแล้วแต่ยังคงประเมินต่ำเกินไป หยางป๋อไม่กล่าวมากความเพียงกล่าวคำออกมาสั้นๆ “ขอบใจเจ้ามากสหายข้า” ลั่วเฉินพยักหน้าพลางตบบ่าหยางป๋อก่อนจะกล่าว “ที่เหลือก็เป็นหน้าที่เจ้า พรุ่งนี้ข้าจะคอยชมการแสดงของเจ้าอยู่ที่ข้างเวที
เวทีประลองผู้กล้าวัยเยาว์จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่สองของงานเทศกาล ในวันแรกตามกำหนดการจะเป็นการแสดงของคณะละครเมืองเฉียว ลั่วเฉินและหยางป๋อต่างชักชวนกันไปดูการแสดง หยางป๋ออยากไปชมความงามของแม่นางหลินส่วนลั่วเฉินอยากไปชมเรื่องราวในละคร เขาได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันมาก่อนว่าในงานเทศกาลนี้ คณะละครเมืองเฉียวจะแสดงละครในเนื้อเรื่องการเดินทางของท่านเทพศาสตรา ลั่วเฉินอยากรู้ว่าผ่านไปหลายร้อยปีเรื่องราวของเขาจะเล่าขานกันไว้อย่างไร
แสงไฟหลากสีสันจากโคมตกแต่งรอบลานจัตุรัสทำให้เกิดภาพอันสวยงาม ลั่วเฉินและหยางป๋อเดินเคียงบ่ากันไปตามถนนรอบลานจัตุรัส ก่อนหน้านี้หยางป๋อร่างกายบึกบึนสมส่วนกว่าลั่วเฉินไม่น้อย แต่ยามนี้ลั่วเฉินเองก็กำยำผึ่งผายไม่แพ้กัน ชายหนุ่มสองคนหนึ่งชุดดำหนึ่งชุดแดงหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังสูงสง่าทำให้หญิงสาวน้อยใหญ่อดที่จะส่งสายตาหวานซึ้งไม่ได้ ชุดแดงนี้ลั่วเฉินสวมใส่เป็นวันแรกเมื่อไปรับชุดเขาพอใจฝีมือเถ้าแก่เนี้ยเป็นอย่างมากจึงตกรางวัลพิเศษไปอีกหนึ่งเหรียญทอง หยางป๋อมองหยางเฉินที่สวมใส่ชุดแดงด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นว่าลั่วเฉินชื่นชอบใส่ชุดสีแดงมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเนื่องจากสหายสร้างความตกใจกับตัวเขาหลายครั้งเรื่องเสื้อผ้าจึงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
เมื่อมาถึงเวทีแสดงชายหนุ่มทั้งคนพบพื้นที่ว่างบนอัฒจันทร์ทางด้านซ้ายของเวที แม้ทำเลจะไม่ดีนักแต่เมื่อมองฝูงชนที่จับจองพื้นที่กันจนแน่นขนัดจึงได้แต่โทษว่าตนเองมาสายเกินไป บนเวทีแสดงไฟยังคงดับอยู่เพราะการแสดงยังไม่เริ่มแต่ยังพอมองเห็นได้ว่ามีการเตรียมฉากเอาไว้แล้ว ลั่วเฉินเรียกหาเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังเดินตะโกนขายเมล็ดแตงก่อนจะซื้อเมล็ดแตงตากแห้งที่ห่อด้วยใบบัวมาสองห่อก่อนจะแบ่งห่อหนึ่งให้หยางป๋อ
หยางป๋อเวลานี้ไม่คิดสิ่งใดแล้ว แม้ว่าท่าทางการแสดงออกของสหายสนิทจะแปลกไปบ้างแต่เขาก็ทำใจให้ชินไปเสียแล้ว ลั่วเฉินใช้ฟันขบเมล็ดแตงส่งเข้าปากชิมรสชาติก่อนจะมองสำรวจรอบๆ เมื่อมองไปในพื้นที่ด้านบนของอัฒจันทร์กลางก็พบว่าตัวอัฒจันทร์มีการออกแบบเป็นพิเศษ ที่นั่งในส่วนนี้นอกจากจะกว้างขวางไม่แออัดแล้วด้านบนยังกางด้วยผ้าป่าน เวลานี้พื้นที่ส่วนนี้เต็มไปด้วยบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงของเมืองปิง ลั่วเฉินไม่สามารถจดจำผู้คนทั้งหมดได้แต่เขายังสามารถบอกฐานะของคนเหล่านี้จากเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวมใส่
ในกลุ่มคนลั่วเฉินมองเห็นคนคุ้นหน้าหลายคน ทั้งหานฉู่กวงเจ้าเมืองปิงในตำแหน่งตรงกลางและหญิงสาวสองคนในตำแหน่งด้านซ้ายและขวา หานฉู่กวงกำลังสนทนากับหญิงสาวคนหนึ่งทางด้านซ้าย สังเกตจากท่าทีระมัดระวังของหานฉู่กวงหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์จากเมืองหลวง หญิงสาวอายุราวยี่สิบปีสวมใส่ชุดขาวใบหน้างดงามดูเย็นชา แม้จะดูอายุน้อยแต่รัศมีพลังที่นางปลดปล่อยออกมายังทำให้ผู้คนไม่กล้าเพิกเฉย
ลั่วเฉินสังเกตเห็นว่าหญิงงามชุดขาวผู้นี้มีระดับพลังอยู่ในแดนปฐพีขั้นปลายเช่นเดียวกับหานฉู่กวง ทางพื้นที่ด้านขวาของหานฉู่กวงมีดรุณีน้อยงดงามคนหนึ่งนั่งอยู่ ลั่วเฉินจดจำใบหน้านี้ได้ว่าคือหานอี้หนิงธิดาคนรองของหานฉู่กวง ธิดาคนโตของหานฉู่กวงออกเรือนไปเมื่อหนึ่งปีก่อนกับบุตรชายขุนนางใหญ่คนหนึ่งในเมืองเฉียว การที่สามารถเชิญคณะละครมาได้ในครั้งนี้นอกจากจะทุ่มเทเงินทองคาดว่าอาศัยความสัมพันธ์นี้ด้วยเช่นกันจึงสำเร็จมาได้ ลั่วเฉินยังพบคนคุ้นหน้าอีกหลายคนบนอัฒจันทร์ชั้นรองลงมาเช่น หูเชียนฟาผู้ดูแลของหอลมวสันต์ รวมถึงกวงหมิงที่นั่งอยู่ด้านข้างของกวงเฉิงรองแม่ทัพกองกำลังรักษาเมืองปิงบิดาของมัน ลั่วเฉินเมื่อมองกวงหมิงที่หน้าตาไม่ค่อยมีความสุขนักเขาก็ยิ้มออกมาพลันรู้สึกว่าเมล็ดแตงมีรสชาติอร่อยขึ้นกว่าเดิม
ความคิดเห็น