ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #38 : ความลำบากใจของน้องสาว

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 67


    หม่าเชียนรู้สึกสิ้นหวัง แม้ว่าพลังฝึกฝนของมันจะอยู่เพียงแดนก่อกำเนิดขั้นที่แปด แต่กว่าที่มันจะสามารถมาถึงจุดนี้บิดาต้องจ่ายเงินไปมหาศาลเพื่อซื้อยาเม็ดและสมุนไพรจำนวนมาก ยิ่งหลังจากนี้หากบิดาถูกทำลายการฝึกฝนนั่นจะยิ่งหาเงินได้ยากลำบากไม่ใช่หรือ หม่าซุนในใจไม่ยินยอมอย่างยิ่ง หากถูกทำลายการฝึกฝนตัวมันที่มีศัตรูมากมายต่อไปมันจะใช้ชีวิตได้เยี่ยงไร แต่หากมันไม่ยินยอมจากความแข็งแกร่งที่หนุ่มสาวเหล่านี้แสดงออกมามันจะต้องตายอย่างแน่นอน

    หม่าซุนตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยตนเอง หม่าซุนตบฝ่ามือออกไปฟาดส่วนท้องใต้สะดือของบุตรชาย “อ๊าก” หม่าเชียนกระอักโลหิตคำโตออกมาตอนนี้มันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและไร้พลังก่อนที่ความเจ็บปวดจะตามมาอีกหลายครั้ง แขนขาของมันล้วนหักจากการโจมตีของบิดา หลังจากนั้นหม่าซุนก็หักขาทั้งสองข้างและแขนข้างหนึ่งของตนเองก่อนที่จะฟาดตบตันเถียนด้วยพลังสิบส่วน หม่าซุนกระอักโลหิตออกมาก่อนที่มันจะสิ้นสติไป

    ลั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความโหดเหี้ยมของหม่าซุน “ต้าเค่อ ถุงมิติของคนเหล่านี้เป็นของเจ้ากับพี่สะใภ้ เก็บไปให้หมดอย่าได้ทิ้งเอาไว้” หวังเค่ออยากจะปฏิเสธแต่เมื่อคิดดูเขายังสามารถแบ่งปันสิ่งของให้กับสหายในภายหลังเขาจึงรวบรวมมันทั้งหมด กลุ่มของลั่วเฉินควบม้าจากไปทิ้งให้กลุ่มของหม่าซุนที่เวลานี้มีสภาพน่าอนาถเอาไว้โดยไม่หันกลับมามอง

    ลั่วเฉินคำนวณทิศทางก่อนที่เขาจะนำกลุ่มไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เส้นทางนี้ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดหากมุ่งไปยังเมืองหลวง แต่จุดประสงค์ของลั่วเฉินไม่ใช่การเร่งเดินทาง เขาเลือกเส้นทางนี้เนื่องจากในความทรงจำมีป่าสัตว์อสูรแห่งหนึ่งที่เขาต้องการไปสำรวจ เขาวางแผนที่จะยกระดับอาวุธให้กับเซียวหลิงซี หากโชคดีเขาอาจจะสามารถพบสิ่งที่ต้องการได้จากป่าบริเวณนั้น

    คนทั้งหกเดินทางไปตามแนวชายป่าเป็นเวลาสิบวันก็มาถึงบริเวณที่ใกล้กับเป้าหมาย หากเดินลึกเข้าไปในป่านี้อีกประมาณห้าสิบลี้จะเป็นบริเวณที่เขาต้องการสำรวจ ในเวลาสิบวันนอกจากการเดินทางพวกเขาก็ไม่ได้ละทิ้งการฝึกฝน เมื่อมีเวลาพวกเขาจะฝึกฝนแลกเปลี่ยนกระบวนท่า ทั้งยังได้รับคำแนะนำจากลั่วเฉินทำให้แต่ละคนล้วนมีความก้าวหน้า

    หานอี้หนิงกับถังเหอซินต่างก็ฝึกฝนด้วยกันอย่างหนัก เมื่อมีชุดเกราะอ่อนที่มีการป้องกันดีเยี่ยมพวกนางต่างประลองฝีมือกันอย่างดุเดือดโดยหวังว่าจะสามารถทะลวงเข้าสู่แดนปฐพี ฝีมือการต่อสู้ของถังเหอซินดีกว่าหานอี้หนิงเล็กน้อยแต่เมื่อนางโจมตีถูกหานอี้หนิงนางก็ตกอยู่ในความมึนงง ภายหลังลั่วเฉินจึงให้นางกินสมุนไพรบางอย่าง นางจึงสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ แต่เวลาสิบวันยังไม่อาจทำให้หญิงงามทั้งสองคนทะลวงผ่านเขตแดนได้

    พวกเขามาถึงชายป่าก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทุกคนจึงตัดสินใจพักแรมก่อนที่เริ่มสำรวจภายในป่าในวันพรุ่งนี้ ตลอดการเดินทางเพื่อความสนุกพวกเขาผลัดเปลี่ยนเวรกันหาอาหาร มีวันหนึ่งที่หวังเค่อแบกหมีตัวใหญ่มา วันนี้เป็นเวรของหานอี้หนิงต้องหาอาหาร เนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัดหยางป๋อจึงอาสาไปเป็นเพื่อนนาง

    ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้วหานอี้หนิงจึงไม่เข้าไปลึกสักเท่าใด นางเพียงต้องการหาสัตว์ที่พอจะนำมาทำอาหารได้เท่านั้น เหมือนโชคนางค่อนข้างจะดีหานอี้หนิงพบหมูป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังขุดดินข้างต้นไม้ต้นหนึ่ง นางไม่อยากเสียเวลาจึงเลือกใช้วิธีการที่ง่ายที่สุด หานอี้หนิงสำรวจทิศทางลมก่อนที่นางจะปล่อยผงผีเสื้อมายาออกไปเล็กน้อย หมูป่าเขี้ยวดาบสัตว์อสูรระดับสองกำลังขุดดินเพื่อหาอาหารเมื่อสัมผัสถึงสายลมมันก็รู้สึกมึนงง

    หานอี้หนิงเห็นการแสดงออกของหมูป่านางก็มีรอยยิ้มมุมปาก หานอี้หนิงถือกระบี่เดินเข้าไปหาหมูป่าก่อนจะชักกระบี่ออกมา ขณะนางกำลังจะลงมือก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของนาง ลูกธนูมาพร้อมกับพลังปราณเฉียดผ่านหานอี้หนิงไปก่อนจะเจาะทะลุคอของหมูป่า หมูป่าตัวใหญ่ร้องเสียงหลงล้มตัวลงถีบขาไปมาบนพื้น “ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นอย่างไรล่ะ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าวันนี้ข้าจะหาอาหารให้พวกเจ้าทุกคนเอง” ชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งวิ่งมาจากด้านหนึ่งของป่า ก่อนที่จะมีคนหนุ่มสาวอีกสามคนวิ่งตามมา หลังจากนั้นก็มีบ่าวรับใช้อีกหลายคนมาถึง “พวกเจ้ารีบมาแบกเจ้าตัวนี้กลับไปที่พัก” ชายหนุ่มชุดเขียวสั่งการกับบ่าวรับใช้

    “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไร” หยางป๋อคำรามด้วยความเดือดดาล ต้องรู้ว่าลูกธนูดอกนั้นหากผิดไปเพียงนิดเดียวเป้าหมายที่โดนโจมตีอาจจะเป็นหานอี้หนิง ถึงแม้ไม่อาจจะทำร้ายหานอี้หนิงที่สวมเกราะอ่อนได้ แต่นี่ก็แสดงว่าชายหนุ่มชุดเขียวไม่ได้คำนึงว่าการโจมตีอาจจะทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย “ทำไม ข้ากำลังจะนำเหยื่อที่ข้าสังหารกลับไปเจ้ามีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ฮ่าฮ่า เหอซานสองคนนี้ต้องการจะแย่งเหยื่อของเจ้า” ชายหนุ่มชุดเขียวอีกคนหนึ่งกล่าว 

    ชายหนุ่มชุดเขียวนามว่าเหอซานได้ฟังคำกล่าวของสหายก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมา “พวกเจ้าอยากแย่งชิงเหยื่อกับข้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทุบตีพวกเจ้าจนบิดามารดาจำเจ้าไม่ได้” หยางป๋อดวงตาแผ่ประกายสังหาร คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเพียงผู้ฝึกฝนแดนก่อกำเนิด คนที่พลังฝึกฝนสูงที่สุดอยู่ในแดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดเท่านั้น หยางป๋อเพียงสะบัดกระบี่ครั้งเดียวคนหลายคนนี้ก็จะไม่อาจกล่าววาจาใดได้อีกในชีวิตนี้

    “ปล่อยให้พวกเขาเอาหมูป่าไป” หานอี้หนิงที่กำลังหันหลังกล่าวออกมาเบาๆโดยไม่หันมามอง “เจ้าว่าอย่างไรนะ” หยางป๋อรู้สึกมึนงง แน่นอนว่าหยางป๋อได้ยินถ้อยคำที่หานอี้หนิงพูดเพียงแต่เขาไม่เข้าใจเท่านั้นเองว่าเหตุใดหานอี้หนิงถึงแสดงออกแบบนี้ เมื่อเห็นหานอี้หนิงไม่พูดอะไรอีกหยางป๋อก็ไม่ถามต่อเพียงยืนมองหานอี้หนิงอย่างสงบ “พวกขี้ขลาด นับว่าพวกเจ้ายังรู้ตัว” เหอซานกล่าวออกมาอย่างเย่อหยิ่ง บ่าวรับใช้หลายคนใช้เชือกผูกหมูป่ากับท่อนไม้แล้วยกออกไป ก่อนจากไปเหอซานกับชายหนุ่มหญิงสาวที่เหลือพากันหัวเราะก่อนจะเดินจากไปอย่างหยิ่งผยอง

    หยางป๋ออดไม่ได้ที่จะถาม “อี้หนิง เหตุใดเจ้าจึงต้องยอมให้พวกเขา” หานอี้หนิงลำบากใจเล็กน้อยแต่นางก็ไม่คิดปิดบังหยางป๋อ “ชายชุดเขียวคนนั้นเป็นน้องชายของพี่เขยข้า พี่สาวดีต่อข้ามาก หากเรามีปัญหากับพวกเขาพี่สาวอาจจะได้รับความลำบาก” หยางป๋อเข้าใจเหตุผลได้ทันที ป่าแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองเฉียวประมาณหนึ่งร้อยลี้จึงนับได้ว่าเป็นพื้นที่ในการดูแลของเมืองเฉียว อีกทั้งพี่สาวของหานอี้หนิงแต่งงานกับบุตรชายของขุนนางใหญ่คนหนึ่งในเมืองเฉียว

    หยางป๋อกับหานอี้หนิงกลับมายังจุดพักแรมในมือของหยางป๋อหิ้วไก่ป่าตัวเล็กมาสองตัว ลั่วเฉินเมื่อเห็นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หวังเค่อตกตะลึงเล็กน้อย เซียวหลิงซีกับถังเหอซินยิ้มด้วยความขบขัน หยางป๋อเหลือบมองหานอี้หนิงเมื่อเห็นนางไม่ได้กล่าวอะไรหยางป๋อจึงวางไก่ป่าสองตัวลงก่อนจะยิ้มอย่างเขินๆ

    แม้หานอี้หนิงและหยางป๋อจะได้ไก่ป่ามาเพียงสองตัวแต่กลุ่มคนทั้งหกก็ไม่ได้ลำบากเรื่องอาหาร ลั่วเฉินยังมีเนื้อสัตว์ต่างๆสะสมอยู่ในแหวนดาวตกอีกทั้งระหว่างทางที่พวกเขามาก็ได้รับเนื้อสัตว์มาไม่น้อย ลั่วเฉินมอบหมายให้หยางป๋อจุดไฟย่างไก่ป่าสองตัว เขาวางขาตั้งหินก่อนจะนำสะเก็ดดาวออกมาในลักษณะเป็นหม้อหินขนาดใหญ่ เติมน้ำและเครื่องปรุงรสก่อนจะนำเนื้อหมีที่เหลือจากวันก่อนออกมาตุ๋น ลั่วเฉินใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการตุ๋น เนื้อหมีที่มีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแข็งแกร่งก็เริ่มเปื่อยนิ่มอย่างรวดเร็ว

    เซียวหลิงซีถามคำถามที่นางสงสัยมานาน “เสี่ยวเฉิน หม้อหินที่ใช้อยู่สิ่งนี้คือวัสดุใดมันร้อนเร็วมากเช่นเดียวกับแผ่นหินที่เจ้าใช้ย่างเนื้อ” “ทั้งสองสิ่งที่ท่านว่าเป็นของชิ้นเดียวกัน ความจริงเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปแบบง่ายๆได้” ลั่วเฉินไม่คิดปิดบังแต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมด แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ทุกคนต้องหันมามอง หยางป๋ออดไม่ได้ที่จะถาม “อาวุธที่เปลี่ยนรูปร่างได้มีจริงหรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้าใช้ในการต่อสู้มาก่อน” คนที่เหลือก็สงสัยเช่นเดียวกันกับหยางป๋อ อาวุธที่รูปร่างคล้ายหม้อและกระทะเหล่านี้จะใช้งานอย่างไร ลั่วเฉินหัวเราะเล็กน้อย “นั่นเพราะข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้”

    ทุกคนแม้จะยังสับสนกับอาวุธหม้อหินที่เปลี่ยนรูปร่างได้ของลั่วเฉิน แต่เมื่อคิดถึงความสามารถในการหลอมอาวุธของเขาทุกคนก็สามารถยอมรับได้ กลุ่มสหายจิบสุราพูดคุยกันระหว่างรออาหาร เซียวหลิงซีเห็นหานอี้หนิงจิบสุราเงียบๆจึงอดถามไม่ได้ “อี้หนิงเจ้าเป็นอะไรไป” คนอื่นก็สังเกตได้จึงเงียบลงและหันไปมองหานอี้หนิงเช่นกัน หานอี้หนิงระบายลมหายใจออกมา 

    หานอี้หนิงเล่าถึงเหตุการณ์ที่นางกับหยางป๋อพบเจอในป่าสั้นๆก่อนจะกล่าวเพิ่มเติม “พี่สาวอายุมากกว่าข้าสามปี นางรักและดูแลข้าอย่างดีมาตลอด ราวสองปีก่อนบิดาต้องเดินทางมาที่เมืองเฉียวเกี่ยวกับงานของราชสำนักจึงพาพี่สาวเดินทางมาด้วย เมื่อบิดาและพี่สาวกลับเมืองปิงข้าก็เห็นว่านางไม่มีความสุขนัก หลังจากกลับมาไม่นานก็มีคนจากเมืองเฉียวเดินทางมาสู่ขอพี่สาว เมืองเฉียวเป็นเมืองใหญ่ของภูมิภาคนี้มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน ตำแหน่งขุนนางของที่นั่นจึงสูงกว่าเมืองเล็กอย่างเมืองปิง พี่สาวของข้าแต่งงานกับบุตรชายของรองเจ้าเมือง รองเจ้าเมืองคนนี้เป็นขุนนางขั้นสี่กลางซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าบิดาของข้าเพียงเล็กน้อยแต่มีอำนาจอยู่ในมือมาก ในวันแต่งงานของพี่สาวครอบครัวของข้าเพียงจัดงานกันภายในเนื่องจากเจ้าบ่าวไม่ได้เดินทางมาเพียงแค่ส่งคนมารับตัวเจ้าสาวเท่านั้น”

    เซียวหลิงซีได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาล ต้องรู้ว่าตามประเพณีของต้าเซี่ยเจ้าบ่าวต้องเดินทางมาจัดงานแต่งงานที่บ้านเจ้าสาวก่อนแล้วจึงเดินทางกลับไปจัดงานแต่งงานที่บ้านเจ้าบ่าวอีกครั้ง “คนผู้นี้ไม่ให้เกียรติบิดาและพี่สาวของเจ้าแม้แต่น้อย” 

    หานอี้หนิงใบหน้าขมขื่น นางกล่าวต่อ “ผู้คนในเมืองปิงต่างเล่าลือกันว่าบิดาอาศัยความสัมพันธ์ของครอบครัวพี่เขยจึงสามารถเชิญคณะละครของแม่นางหลินให้เดินทางไปแสดงที่เมืองปิงแต่ในความเป็นจริงนั้นครอบครัวของพี่เขยไม่เคยให้ความสำคัญกับบิดาเลย เป็นพี่สาวของข้าต่างหากที่เชิญคณะละครมาได้ นางไปดูละครที่โรงละครของแม่นางหลินเป็นประจำจนพี่สาวกลายเป็นสหายของนาง บิดาส่งพิราบหมื่นลี้ไปหาพี่สาวเพื่อให้นางบอกกล่าวกับพ่อสามีของนางให้ช่วยดำเนินการเชิญแม่นางหลินมาแสดงที่เมืองปิง พี่สาวรู้จักพ่อสามีของนางดีนางจึงขอร้องแม่นางหลินด้วยตนเอง พี่สาวไม่เคยบอกเรื่องเหล่านี้ให้ข้ากับบิดารู้ เป็นแม่นางหลินที่บอกกล่าวกับข้าด้วยตนเอง”

    ถังเหอซินระบายลมหายใจด้วยความหดหู่เมื่อมองไปยังหวังเค่อนางก็รู้สึกว่านางเลือกคนได้ถูกแล้ว หานอี้หนิงมองถังเหอซิน “หากข้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากสหายทุกคนที่นี่ ข้าเองก็น่าจะมีสภาพไม่ต่างจากพี่สาว” กล่าวจบนางก็ยิ้มให้กับสหายทุกคน 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×