ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #32 : ออกเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 67


    ในเหลาสุราหอมอัมพันลั่วเฉินกำลังทำการค้าอย่างมีความสุข ด้วยเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับในครานี้คาดว่าจะไม่มีปัญหาในการซื้อเรือนหลังใหญ่ในเมืองหลวง “น้องชายเจ้าจะไปเมืองหลวงนานเท่าใด” ชายอ้วนสอบถาม ลั่วเฉินส่ายศีรษะ “ข้าไม่มั่นใจนักว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในเมืองหลวง แต่ข้าไม่มีแผนที่กลับมาอยู่ที่เมืองปิงนี้อีก” ชายชราเหล่าจิ่วมองลั่วเฉิน “เช่นนั้นเจ้ามีแผนใดในอนาคต” ลั่วเฉินทอดสายตาไปในระยะไกลคล้ายเหม่อมองอะไรบางอย่าง “ข้าจะเดินทางตามหาวัสดุหายาก ระหว่างนั้นข้าจะแวะไปที่เมืองหลวงเพื่อชมความสนุกของงานชุมนุมผู้กล้า”

    เหล่าจิ่วกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “น้องชายในฐานะที่พวกเราเป็นคู่ค้ากัน ข้าขอเตือนอะไรเจ้าบางอย่างในงานชุมนุมผู้กล้าปีนี้จะมีเหตุการณ์บางอย่าง เจ้าต้องระวังตัว” ลั่วเฉินสบตากับเหล่าจิ่ว “พรรคของพวกท่านมีคนเข้าร่วมการชุมนุมด้วยรึ” เหล่าจิ่วพยักหน้า “ย่อมต้องมี เราเตรียมคนหลายคนเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมนี้โดยเฉพาะ” 

    ลั่วเฉินกลับมาที่เรือนขณะกำลังจะนอนเขายังคงวิเคราะห์สถานการณ์จากคำพูดของเหล่าจิ่ว “คาดว่าในการชุมนุมครั้งนี้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา” ลั่วเฉินคาดเดาความเป็นไปได้หลายอย่างก่อนจะหลับไป ในเวลาเดียวกันยังมีชายคนหนึ่งยังคงไม่ได้นอน ในทางระบายน้ำที่มืดดำและส่งกลิ่นเหม็น กัวซีเฉียงลากร่างโชกเลือดหมอบคลานไปตามทางระบายน้ำอย่างยากลำบาก “เจ้ารูนี้มันยาวเท่าใดกันแน่ เหตุใดจนป่านนี้จึงยังมองไม่เห็นทางออก”

    เหลาสุราหอมอัมพันเป็นอาคารสูงสามชั้น ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศเหนือของเมืองปิง วันนี้กลุ่มของลั่วเฉินทำการจองห้องรับรองพิเศษห้องใหญ่บนชั้นที่สามเอาไว้ทั้งวัน เมื่อบริกรจัดวางอาหารจนเต็มโต๊ะก็ขอตัวจากไป ลั่วเฉินเปิดหน้าต่างออกก่อนจะพลิกกายขึ้นไปบนหลังคาของเหลาสุรา วันนี้เป็นวันที่เซียวหลิงซีคาดการณ์ไว้ว่าพิราบหมื่นลี้ของหลัวเซี่ยอวี่จะมาถึง ลั่วเฉินนั่งลงบนหลังคาของอาคารก่อนจะแผ่สัมผัสวิญญาณไปทางทิศเหนือที่คาดว่าจะเป็นเส้นทางการบินของพิราบหมื่นลี้

    “พี่สาวเซียว ศิษย์น้องของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อคิดถึงหลัวเซี่ยอวี่ที่หายหน้าไปหยางป๋อก็อดไม่ได้ที่จะถาม เซียวหลิงซีแสดงสีหน้าดูถูก “มันกลับมาเมื่อวานพร้อมกับหัวของทหารเฟิงหลายหัว คาดว่ามันจะดักสังหารทหารที่หนีทัพ เมื่อกลับมายังได้เสียงชมเชยจากบิดาของอี้หนิง” หานอี้หนิงเบะปาก “ช่างเป็นบุคคลที่ไร้ยางอายยิ่งนัก” “พวกเจ้าว่าเสี่ยวเฉินจะจัดการกับพิราบหมื่นลี้ได้หรือไม่” หานอี้หนิงแม้จะเชื่อมั่นในตัวลั่วเฉิน แต่นี่เป็นทั้งชีวิตของนางนางจึงยังอดไม่ได้ที่จะกังวลใจ “จากที่เห็นในศึกคราก่อนพวกเราต่างรู้ว่าเสี่ยวเฉินเป็นมือธนูที่ยอดเยี่ยม เจ้าอย่าร้อนใจไป” เซียวหลิงซีกล่าว

    เวลาผ่านไปสองชั่วยาม ลั่วเฉินยังคงนั่งในท่าเดิมอย่างสงบ บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปราวห้าลี้มีพิราบขนาดเท่าแม่ไก่บินมาด้วยความเร็วสูง ด้วยการเป็นวิหกส่งสารที่ถูกฝึกมาอย่างดีมันมีสัญชาตญาณที่ยอดเยี่ยม เมื่อเห็นว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกลพิราบหมื่นลี้ก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายและคิดถึงรางวัลที่มันจะได้รับ ฉับพลันมันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง มันรีบเปลี่ยนทิศทางวัตุบางอย่างแหวกอากาศพุ่งผ่านมันไปด้วยความเร็วที่มันยากจะจินตนาการ คลื่นความร้อนวาบผ่านทำให้อากาศสั่นไหว พิราบหมื่นลี้สูญเสียการควบคุมมันหมุนเคว้งในอากาศ ก่อนที่จะมันจะทันได้ตั้งหลักมันก็ได้ยินเสียง “พลั่บ” ความร้อนมหาศาลพรากสติสุดท้ายของมันไป

    ลั่วเฉินมองประกายไฟบนท้องฟ้าก่อนที่จะโหนตัวกลับลงมาในห้อง “เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็แค่รอให้พิราบหมื่นลี้ของพี่สาวเซียวมาถึง” หานอี้หนิงรอยยิ้มเบ่งบานเต็มใบหน้า ความหนักอึ้งในใจที่อยู่กับนางมานานหลายวันถูกยกออกไป “มาพวกเรากินให้เต็มที่ วันนี้ข้าจะเป็นเจ้ามือเอง” หานอี้หนิงกล่าวอย่างมีความสุข เหล่าสหายล้วนโห่ร้อง ในนั้นเสียงของหวังเค่อที่พูดน้อยกลับดังมากที่สุด

    กัวซีเฉียงค่อยๆลืมตาขึ้นมามันสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบนร่างกาย ขณะกำลังจะพยายามขยับตัวมันก็รู้สึกถึงการสั่นไหว ดวงตาค่อยๆปรับแสงจนชัดเจนจึงเห็นว่ามันนอนอยู่ในรถม้าขนาดเล็กคันหนึ่ง กัวซีเฉียงค่อยๆพยุงกายขึ้นด้วยความเจ็บปวด เมื่อเปิดม่านกันแสงออกก็เห็นขบวนรถม้าหลายสิบคัน “นี่เป็นคาราวานการค้าอย่างนั้นรึ” กัวซีเฉียงคิดในใจ “เจ้าฟื้นแล้ว นับว่าเจ้ายังโชคดีที่ข้ามียาติดตัวอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นถึงแม้ข้าจะพบเจ้าก็อาจจะช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ไม่ได้” กัวซีเฉียงหันไปตามเสียงก็พบว่าผู้พูดเป็นชายอ้วนแต่งกายคล้ายเศรษฐีคนหนึ่ง

    หลัวเซี่ยอวี่เฝ้ารอพิราบหมื่นลี้จนฟ้ามืด “นี่เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดพิราบหมื่นลี้ของข้าจึงยังมาไม่ถึง” ในเมืองที่ห่างไกลผู้อาวุโสตัวสูงเคราขาวท่าทางคล้ายบัณฑิตก็ได้รับรายงานเช่นกัน “เจ้าบอกว่าจดหมายของข้าถูกทำลายอย่างนั้นหรือ” “ใช่ขอรับผู้อาวุโสห้า” ศิษย์คนหนึ่งในหอข่าวสารกล่าว ใบหน้าชราแสดงความสงสัยในใจ “มีสัตว์อสูรวิหกโจมตีหรือมีผู้ใดสามารถสังหารพิราบหมื่นลี้ของสำนัก นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เมืองเล็กชายแดนแห่งนั้นจะมีผู้ที่สามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างไร” ชายชรายังคงสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น

    สองวันต่อมาในที่สุดจดหมายตอบกลับของผู้อาวุโสสาม อาจารย์ของเซียวหลิงซีก็มาถึง ข้อความในจดหมายระบุเอาไว้ว่า เซียวหลิงซีสามารถพาหานอี้หนิงกลับไปกราบอาจารย์ที่เมืองหลวง หานฉู่กวงย่อมรู้สึกยินดีในขณะที่หลัวเซี่ยอวี่รู้สึกเดือดดาลยิ่งนัก มันคาดเดาสถานการณ์มากมายหนึ่งในนั้นที่มันคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุดก็คือลั่วเฉิน หลัวเซี่ยอวี่ยิ่งคาดเดาก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ หลังจากที่มันรู้ว่าลั่วเฉินใช้ลูกธนูเพียงดอกเดียวสังหารแม่ทัพที่อยู่ในแดนปฐพีขั้นสูงสุดจิตใจของมันก็สั่นสะท้าน ยิ่งมันรู้ว่าหยางป๋อสามารถสังหารแม่ทัพที่มีพลังฝึกฝนสูงกว่ามันก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นในใจ

    สองวันที่ผ่านมาลั่วเฉินและสหายก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า ลานฝึกในเรือนหยางป๋อสหายทั้งห้าต่างฝึกฝนกันอย่างบ้าคลั่ง ลั่วเฉินชี้แนะการฝึกฝนให้กับสหายทุกคน พวกเขาต่างรู้สึกว่าตนเองพัฒนาขึ้นมาก  “กระบี่นี้เจ้าต้องใส่จิตสำนึกลงไปมากกว่านี้ พยายามออกกระบวนท่าด้วยสำนึกวิญญาณของเจ้า หากเจ้าเข้าใจของเจตนาในกระบวนท่าที่เจ้าใช้ เจ้าจะสามารถแสดงถึงพลังของมันได้อย่างเต็มที่” ลั่วเฉินกล่าว 

    ใกล้เวลาออกเดินทางลั่วเฉินพยายามใช้เวลาที่เหลือในการเป็นเพื่อนพูดคุยกับย่าของเขา ลั่วเฉินรู้สึกใจหายแม้เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับสถานที่แต่สำหรับผู้ชราทั้งสองลั่วเฉินยังคงเป็นห่วงไม่น้อย “ท่านย่า ข้าจะออกเดินทางไปก่อนและจะรอพวกท่านอยู่ที่เมืองหลวง หากพวกท่านไม่ตามมาภายในสองปีข้าจะกลับมารับพวกท่านเอง” ตั้งแต่บิดามารดาจากไปเขาก็อยู่กับปู่และย่าของเขามาตลอด ถึงแม้กับท่านปู่จะไม่ได้สนทนากันมากนักแต่กับท่านย่าแทบจะเป็นความอบอุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

    หญิงชราลูบศีรษะหลานชายด้วยความรัก “เฉินเอ๋อ การเดินทางยาวไกลยิ่งนักเจ้าจงดูแลตนเองให้ดี ย่ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถมาก แต่จงอย่าได้กระทำการใดด้วยความประมาท เมื่อเจ้าไปถึงเมืองหลวงให้รีบไปที่ตระกูลซุนเพื่อพบคารวะผู้นำตระกูลรวมถึงบิดามารดาคู่หมั้นของเจ้า หากพวกเขายังยินดีที่จะรักษาสัญญาหมั้นหมายเจ้าจงหารือเรื่องกำหนดการแต่งงานกับพวกเขา ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ย่าอยากไหว้วาน เมื่อเจ้าพอมีเวลาจงช่วยแวะไปดูความเป็นอยู่ของลูกพี่ลูกน้องที่เหลือของเจ้า หากพวกเขามีชีวิตที่ยากลำบากถ้าพอจะช่วยเหลือได้จงให้ความช่วยเหลือพวกเขาสักเล็กน้อย” ลั่วเฉินพยักหน้ารับคำ แม้คนเหล่านั้นเลือกที่จะจากไปยามลำบากแต่ตอนที่จากไปหลายคนยังเด็กและไม่อาจตัดสินใจเองได้

    วันต่อมากลุ่มสหายก็พร้อมเดินทาง สิ่งที่สร้างความสุขให้กับคนทั้งห้าคือบุคคลที่พวกเขารังเกียจไม่อาจตามมาด้วย หลัวเซี่ยอวี่ต้องอยู่รอพิราบหมื่นลี้จึงไม่อาจติดตามเซียวหลิงซีกลับไปด้วย เซียวหลิงซีในใจรังเกียจศิษย์น้องผู้นี้อยู่แล้ว เมื่อศิษย์น้องที่น่ารังเกียจต้องอยู่รอรับคำสั่ง ในใจของนางก็มีความสุข

    ม้าวายุสี่ตัวพร้อมกับรถม้าขนาดใหญ่ที่ลากด้วยม้าวายุสองตัวหนึ่งคันก็ออกเดินทาง หวังเค่อทำหน้าที่สารถีขับรถม้า ในรถม้าไม่มีสัมภาระใดแต่มีการจัดพื้นที่พักผ่อนเอาไว้ เมืองในแคว้นเซี่ยที่ใกล้กับเมืองปิงที่สุดห่างออกไปห้าร้อยลี้ กลุ่มของลั่วเฉินจะต้องมีการค้างแรมระหว่างทางหลายวันจึงจำเป็นต้องมีพื้นที่พักผ่อนให้กับหญิงงามทั้งสองคน

    หานฉู่กวงพาบรรดาขุนนางทั้งเมืองมาส่งบุตรสาวและคณะออกเดินทาง เหล่าขุนนางล้วนกล่าววาจาเยินยอจนหานฉู่กวงปลายจมูกชี้ขึ้นฟ้ามีรอยยิ้มเย่อหยิ่งเต็มใบหน้า แม้ปากจะกล่าวคำเยินยอแต่เหล่าขุนนางล้วนแต่อิจฉาในใจ หากพวกมันมีบุตรที่สามารถเข้าเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเซียนกระบี่ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ไม่อาจระงับความเย่อหยิ่งได้

    กลุ่มสหายมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ เมื่อไม่มีสัมภาระมากนักการเดินทางจึงค่อนข้างคล่องตัว พวกเขาไม่รีบร้อนเดินทางเท่าใดนัก หนึ่งวันจะเดินทางประมาณสามร้อยลี้แล้วจึงพักแรม เวลาที่เหลือล้วนใช้ในการการฝึกฝน เมื่อได้เดินทางพร้อมกับฝึกฝนไปด้วยคนหนุ่มสาวทั้งห้าต่างก็รู้สึกว่าระยะทางยาวไกลนั้นไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด

    แคว้นจินซื่ออาณาจักรโบราณอันยิ่งใหญ่ในตำหนักธิดาเทพ ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใดในสายตาของนางกำนัล ธิดาเทพที่เคยงดงามบริสุทธิ์ดั่งดอกบัวขาวกลับคล้ายจะมีเสน่ห์มากขึ้นทุกวัน ดวงตางดงามที่เคยนิ่งสงบไร้ระลอก เวลานี้หากเผลอจ้องมองนางกำนัลหลายคนรู้สึกเหม่อลอยจนวิญญาณแทบจะถูกพรากออกไป เรือนร่างงดงามในยามก้าวย่างทำให้ผู้มองอดไม่ได้ที่จะหลงใหลเคลิบเคลิ้ม “ธิดาเทพเพคะขบวนเทวทูตและบุตรสวรรค์ทั้งสิบคน ที่จะออกเดินทางสู่แดนเหนือไปยังแคว้นเซี่ยจะพร้อมออกเดินทางในอีกเจ็ดวันเพคะ” หัวหน้านางกำนัลกล่าวรายงาน 

    ธิดาเทพชิวเยี่ยนนั่งเอนกายอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวสีขาว ท่าทางของนางคล้ายไม่ได้ฟังคำรายงานของนางกำนัล ดวงตาสดใสเป็นประกายของนางไม่มองนางกำนัลแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางกำลังจมอยู่ในความคิดบางอย่าง ความทรงจำในฝันของนาง นางที่งดงามและกระตือรือร้นกำลังท่องไปในดินแดนต่างๆของทวีปอันแสนกว้างใหญ่

    นางพบเจอผู้คนมากมายครั้งหนึ่งนางยังเคยถูกมนุษย์หลอกให้เข้าไปอยู่ในหอโคมแดง เวลานั้นนางได้ฝึกฝนวิชาดนตรี ขับร้อง อุปรากร นางมีชื่อเสียงโด่งดังเหล่าบุรุษทั้งชราและวัยเยาว์ต่างชื่นชมนางแต่นางไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ใด ขอเพียงนางเหลือบสายตามองผู้คนมากมายล้วนต้องการก้มลงถือรองเท้าให้นาง เพียงเพื่อรอยยิ้มของนางหลายคนเข่นฆ่าสังหารกันแม้กระทั่งบุตรยังสามารถสังหารบิดา

    เมื่อนางเบื่อจากสถานที่เก่านางก็จะเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสถานที่ ครั้งหนึ่งจักรพรรดิของแค้วนขนาดใหญ่ในเวลานั้นต้องการรับนางไปเป็นพระชายา เหล่าขุนนางพากันคัดค้านมากมายจนกระทั่งมีแม่ทัพคนหนึ่งก่อกบฏนำกำลังทหารเข้าโจมตีเมืองจักรพรรดิ แม่ทัพคนนั้นสังหารจักรพรรดิได้สำเร็จ หลังจากนั้นแม่ทัพก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิและต้องการตัวนางเป็นพระชายาอีกครั้ง นางรู้สึกเบื่อหน่ายการเล่นนี้จึงจากไป ในภายหลังยังทราบข่าวว่าในเวลาไม่นานแม่ทัพที่กลายเป็นจักรพรรดิผู้นั้นก็ถูกสังหารเช่นกัน

    นางเดินทางผ่านเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง นางที่อยู่ในเมืองใหญ่มานานรู้สึกสนใจจึงแวะพักที่นี่ เมืองขนาดเล็กนี้ไม่มีสิ่งใดให้นางทำมากนักเมื่อเห็นว่าร้านซาลาเปาแห่งหนึ่งมีเถ้าแก่เนี้ยทำงานเพียงลำพังนางจึงขอสมัครช่วยงานที่ร้านแห่งนี้ เถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงม่ายที่สูญเสียสามีไปในสงครามโดยไม่ทันมีลูก เมื่อเห็นว่านางหน้าตางดงามน่ารักจึงรับนางไว้ช่วยงานในร้าน อีกทั้งยังมองนางเป็นเหมือนบุตรสาวคนหนึ่ง นางเองก็ปฏิบัติกับเถ้าแก่เนี้ยอย่างดีเช่นกัน ชีวิตช่วงนี้ของนางแม้จะเรียบง่ายแต่นางก็รู้สึกชอบไม่น้อย 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×