ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #30 : ทำลายทัพเฟิง

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 67


    “เจ้าจงรีบเปิดประตูเมือง หากสามารถยอมจำนนได้เร็วพวกเราจะมีทางรอด” ผู้พูดคือกัวเป่าที่มาพร้อมกับหวังเค่อ คนทั้งสองเวลานี้กำลังกล่าวบางอย่างกับทหารกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่คุ้มกันประตูเมือง “แต่นี่มันจะดีจริงหรือท่านรองเจ้าเมือง” ทหารคนหนึ่งกล่าวอย่างลังเล “จงฟังคำสั่ง เมืองปิงไม่มีความหวังแล้ว” กวงเฉิงใช้น้ำเสียงกดดัน “ขอรับท่านแม่ทัพ” ทหารเฝ้าประตูเมืองรีบตอบรับ

    บนกำแพงเมืองหานฉู่กวงที่กำลังหลบลูกธนูในที่กำบังพร้อมกับมองหาใครบางคน “แม่ทัพกวงกับรองเจ้าเมืองกัวอยู่ที่ไหน” หานฉู่กวงตะโกนถามเสียงดัง ขณะที่ทหารที่อยู่ใกล้ๆกำลังจะตอบ ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งลงมาปักที่ลำคอของทหารคนนั้นจนล้มลง “บัดซบ คนพวกนั้นคงไม่ได้หนีไปซ่อนตัวหรอกนะ” หานฉู่กวงรำพึงในใจอย่างสิ้นหวัง “อย่าแตกตื่น หลบในที่กำบังแล้วหาจังหวะยิงธนูตอบโต้” เสียงหนึ่งตะโกนสั่งการ หยางชงเวลานี้ถือดาบปัดป่ายลูกธนูก่อนจะฉุดดึงทหารคนหนึ่งที่หมอบอยู่ที่พื้นขึ้นมา “เจ้าหลบเข้าที่กำบัง พลโล่ตั้งขบวนให้พร้อมเมื่อหินระลอกนี้จบลงจงตั้งโล่คุ้มกันพลธนูเตรียมโต้กลับ” หยางชงตะโกนเรียกสติของเหล่าทหาร

    ขณะที่หยางชงพยายามจัดระเบียบทหารบนกำแพงก็มีเสียงโซ่ประตูเมืองดังลั่นก่อนที่ประตูเมืองจะเปิดออกพร้อมเสียงตะโกน “พวกเรายอมจำนน รีบเคลื่อนพลเข้ามาได้เลย” หานฉู่กวงแทบไม่เชื่อหูตนเองนี่เป็นเสียงของกัวเป่ากับกวงเฉิงที่หายตัวไป “คนพวกนี้ถึงกลับกล้าที่จะทรยศ” หานฉู่กวงกัดฟันกรอด ฟงเต๋อกวงที่เห็นเหตุการณ์แม้จะรู้สึกประหลาดใจแต่เมื่อพิจารณาท่าทางของกลุ่มคนที่เปิดประตูเมืองก็หัวเราะฮาฮา “เจ้าพวกนี้ขี้ขลาดยิ่งนัก พลธนูโจมตีบนกำแพงเมืองต่อไป ทหารม้าจงมากับข้า”

    ทัพม้าเมืองเฟิงพุ่งทะยานออกไป ด้วยระยะห่างเพียงสามร้อยหมี่ชัยชนะอยู่ข้างหน้าแค่เอื้อมเท่านั้น ขณะที่พวกมันกำลังมีความสุข ภาพของคนที่กำลังยอมจำนนเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป ศีรษะมากกว่าสิบหัวลอยเคว้งขึ้นไปในอากาศขณะที่มีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนปรากฏตัว หนึ่งในนั้นเป็นคนตัวใหญ่ในชุดเกราะสีน้ำตาลกำลังแบกเสาไม้ก่อนจะปักเสาไม้ลงขวางอยู่หน้าประตูเมือง บนเสาไม้มีคนผู้หนึ่งถูกมัดเอาไว้กับปลายเสา ฟงเต๋อกวงเพ่งตามองหลายครั้งก่อนที่สีหน้ามันจะบิดเบี้ยวไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ผู้ที่ถูกมัดไว้กับเสาไม้กลับเป็นหลานชายของมันฟงต้าหลี่ “เหตุใดต้าหลี่จึงมาอยู่ที่นี่” ฟงเต๋อกวงรู้สึกมึนงง

    เมื่อลั่วเฉินและสหายเห็นการกระทำของกัวเป่าและกวงเฉิงจึงรีบดำเนินการทันที ลั่วเฉินพุ่งทะยานเมื่อคนเหล่านั้นเพิ่งจะเปิดประตูเมืองสำเร็จลั่วเฉินก็ตัดศีรษะของทุกคนลงมาแล้ว กัวเป่ากับกวงเฉิงรู้สึกถึงความเย็นที่คำลอก่อนที่จะได้ตอบสนองภาพที่เห็นก็คือสิ่งต่างๆหมุนวนรวมถึงร่างที่แต่งกายคล้ายพวกมันแต่ไร้ศีรษะ

    “โจมตี” สิ้นเสียงของลั่วเฉินหวังเค่อก็พุ่งทยานออกไปพร้อมกับขวานในมือ ลั่วเฉินตั้งใจที่จะให้หวังเค่อเป็นคนทำลายรูปแบบกระบวนทัพของศัตรู พลังป้องกันของหวังเค่อทั้งเกราะอ่อนและเกราะหนักแข็งแกร่งมาก แม้จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับนภาขั้นต้นหากใช้การโจมตีทางกายภาพลั่วเฉินก็มั่นใจว่าหวังเค่อจะสามารถเอาตัวรอดได้ หากต้องการลั่วเฉินสามารถใช้สะเก็ดดาวกวาดล้างกองทัพขนาดเล็กนี้ได้ไม่ยากนักแต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของเขา เขาต้องการหล่อหลอมสหายให้สามารถพัฒนาการต่อสู้เพื่อที่จะสามารถรับมือกับเรื่องราวต่างๆได้ในอนาคต

    หวังเค่อพุ่งทะยานเข้าหากองทหารม้าเมืองเฟิงที่กำลังมึนงง ขวานคู่ในมือฟันออกทั้งคนและม้าต่างถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เซียวหลิงซีและหานอี้หนิงพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มทหารม้าที่เหลือโดยไม่แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทัพม้านับพันเกิดความสับสนอลหม่าน คนทั้งสามทะยานผ่านไปทางใดล้วนมีบุปผาโลหิตสาดกระเซ็น ฟงเต๋อกวงเมื่อได้สติขณะกำลังจะตะโกนสั่งการก็มีปราณกระบี่หลายสายพุ่งตรงเข้ามา ฟงเต๋อกวงยกง้าวขึ้นป้องกันได้อย่างฉิวเฉียดแต่มือที่จับง้าวพลันรู้สึกชาไปชั่วขณะจนง้าวแทบจะหลุดมือไป เมื่อมองไปในทิศทางที่ถูกโจมตีก็เห็นชายหนุ่มชุดดำในมือถือกระบี่สีดำกำลังฟาดฟันกระบี่เข้าใส่มันอีกครั้ง

    “ฉีกกระชากอาชา” หยางป๋อฟาดฟันกระบี่ในมือด้วยเจตนาสังหาร คนผู้นี้คิดจะย่ำยีหานอี้หนิงช่างสมควรตายยิ่งนัก เมื่อเห็นศัตรูรับกระบี่ได้แต่ร่างกายสั่นสะท้านหยางป๋อก็โจมตีด้วยกระบวนท่าต่อเนื่อง “โฉบทะยานเวหา” ปราณกระบี่สีดำพุ่งเข้าโจมตีมือข้างที่ถือง้าวจนขาดกระเด็นออกไป ปราณกระบี่อีกสายหนึ่งพุ่งเข้าหาลำคอที่ไร้การป้องกัน ตัดศีรษะของฟงเต๋อกวงจนปลิดปลิว

    ฟงเต๋อคุนมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนก สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไรเมืองปิงที่อ่อนแอกลับสามารถมีกลุ่มคนที่ห้าวหานเช่นนี้ มันมองไปที่ประตูเมืองเพื่อจะมองให้ชัดเจนอีกครั้ง ฟงเต๋อคุนอยู่ห่างจากประตูเมืองราวสองลี้จึงไม่สามารถมองเห็นบุคคลที่ถูกมัดอยู่บนเสาไม้ได้ชัดเจนนัก แต่ถึงจะมองไม่ชัดเจนฟงเต๋อคุนกลับรู้สึกได้ว่าบุคคลนั้นคือบุตรชายคนโตของมัน ก่อนที่จะได้ตัดสินใจสั่งการมันมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างเสาไม้กำลังทำท่าทางคล้ายกำลังง้างคันธนู

    เพียงชั่วพริบตาฟงเต๋อคุนราวกับสัมผัสได้ถึงความตายมันรีบฟาดฟันกระบี่ออก กระบี่ในมือกระทบกับอะไรบางอย่างก่อนที่กระบี่ในมือจะแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ฟงเต๋อคุนสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกมหาศาลพุ่งเข้ากับชนกับหน้าอกทะลวงทั้งชุดเกราะหนักและเกราะอ่อนที่มันสวม ก่อนที่พลังอันแหลมคมจะทะลวงม่านพลังปราณที่ปกป้องร่างกายจนตัวมันกระเด็นปลิวออกจากหลังม้า วัตถุที่กระแทกเข้ามาทั้งรุนแรงและมีความร้อนมหาศาลจนฟงเต๋อคุนไม่อาจครองสติเอาไว้ได้

    ทัพทหารราบเมืองเฟิงขณะที่กำลังรอฟังคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่หลายคนสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งผ่านจนผิวกายบางส่วนรู้สึกแสบร้อน ขณะกำลังจะตามหาที่มาก็เห็นร่างแม่ทัพใหญ่ ผู้นำที่พลังฝีมือไร้เทียมทานของพวกมันร่างกายปลิดปลิวคล้ายกับใบไม้แห้งที่ถูกลมกระโชก ร่างของแม่ทัพใหญ่ฟงเต๋อคุนถูกกระชากปลิวไปจากหลังม้าก่อนจะลุกเป็นไฟกลางอากาศ ร่างนั้นกระเด็นไปมากกว่ากว่ายี่สิบหมี่ก่อนที่จะตกลงแน่นิ่งบนพื้นพร้อมกับไฟที่กำลังเผาผลาญท่วมร่าง หนังศีรษะของทหารโดยรอบรู้สึกชาและสับสน

    หยางชงที่กำลังจัดกระบวนทหารบนกำแพงเมืองมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขาเห็นคนเพียงไม่กี่คนพุ่งเข้าโจมตีทัพเฟิงจนระส่ำระสาย อีกทั้งหนึ่งในนั้นสามารถเห็นอย่างชัดเจนว่าคือหยางป๋อบุตรชายของเขา ไม่เพียงเท่านั้นหยางป๋อยังสามารถตัดศีรษะของฟงเต๋อกวง แม่ทัพผู้เก่งกาจที่แม้แต่กวงเฉิงก็ไม่กล้าที่จะปะทะด้วย ถึงแม้จะตกตะลึงแต่หยางชงก็ทราบว่านี่คือโอกาสจึงรีบตะโกนสั่งการ “จัดกระบวนทัพเข้าโจมตีข้าศึกที่นอกเมือง”

    หานฉู่กวงเมื่อเห็นว่าไม่มีการโจมตีทางอากาศเข้ามาอีกก็ออกจากที่กำบัง เมื่อมองจากกำแพงเมืองเห็นคนไม่กี่คนกำลังบุกเข้าโจมตีกองทัพข้าศึก หานฉู่กวงขยี้ตาหลายครั้งจนมั่นใจว่าเงาร่างสีชมพูที่กำลังเข่นฆ่าสังหารศัตรูที่ดูมึนงงเป็นบุตรสาวคนรองของมัน “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร” หานฉู่กวงอ้าปากค้าง

    หนึ่งชั่วยามผ่านไปแร้งอสูรก็บินวนเต็มฟ้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของทหารจำนวนมาก แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นทหารทัพเฟิงที่มาเยือนด้วยความห้าวหาญแต่กลับต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ ทหารเมืองปิงก็เสียชีวิตไม่น้อยแต่เมื่อเทียบกับทัพเฟิงย่อมไม่อาจเปรียบกันได้ ทหารเมืองปิงเสียชีวิตประมาณหกร้อยคนเท่านั้นแต่ทัพเฟิงต้องทิ้งร่างเอาไว้หลายพันคน ทัพเฟิงที่เหลือต่างแตกฉานซ่านเซ็นหลบหนีไปกันไปคนละทิศละทาง

    แม้โลหิตจะย้อมร่างแต่สหายทั้งห้าคนกลับมองกันและกันด้วยรอยยิ้ม คนที่มีความสุขมากที่สุดคือหวังเค่อ เขาสามารถทะลวงจากแดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดเข้าสู่แดนปฐพีขั้นต้นได้ในคราวเดียว หานอี้หนิงเองก็สามารถทะลวงจากแดนก่อกำเนิดขั้นที่แปดเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าได้เช่นกัน หยางป๋อกับเซียวหลิงซีเองก็รู้สึกได้ถึงประสบการณ์การต่อสู้มากมายที่เพิ่มขึ้นจากศึกครั้งนี้  คนทั้งห้าส่งสายตาให้กันก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “วันนี้ข้าต้องดื่มกินให้สาแก่ใจ” หวังเค่อตะโกนออกมา “ข้าจะตามเถ้าแก่เหลาสุราหอมอัมพันมาเปิดร้าน วันนี้พวกเราดื่มกินให้เต็มที่ข้าจะเป็นเจ้าภาพเอง” หานอี้หนิงกล่าว “ตกลง” หยางป๋อหัวเราะ

    หยางชงวิ่งทะยานมาหาคนทั้งห้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หยางชงเมื่อมาถึงก็แสดงสีหน้าขุ่นเคืองกล่าวตำหนิทันที “ทำไมพวกเจ้าถึงได้กระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือไม่” “ทุกคนสบายดีท่านพ่อ ข้าเองก็สบายดี” หยางป๋อหัวเราะก่อนที่จะตื่นตระหนกเมื่อหยางชงเขกหมัดเข้าที่ศีรษะของเขา “โอ้ย ท่านพ่ออย่าตีข้า” หยางป๋อเอามือกุมหัววิ่งหนีไปทางประตูเมือง “พวกเจ้ากลับเข้าเมืองไปก่อน ข้าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงนี้ให้เรียบร้อยแล้วจะรีบกลับไป” หยางชงกล่าว “ขอรับ เจ้าค่ะท่านลุง” เมื่อเห็นหลานชายหลานสาวตอบรับหยางชงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

    ขณะที่กลุ่มสหายกำลังจะผ่านประตูเมือง หานฉู่กวงก็มาถึง “พวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก ข้าจะรายงานความชอบของพวกเจ้าให้ราชสำนักตกรางวัลลงมา” หานฉู่กวงแสดงรอยยิ้มเต็มใบหน้า สหายทั้งห้าคนเดินผ่านหานฉู่กวงด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับสิ่งที่หานฉู่กวงเพิ่งจะกล่าวไป ใบหน้าของหานฉู่กวงบิดเบี้ยวคล้ายคนท้องผูก

    ที่เหลาสุราหอมอัมพันมีแขกไม่ได้รับเชิญ หานฉู่กวงติดตามคนทั้งห้าเข้าร่วมงานเลี้ยงโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยชวน หานอี้หนิงจ้องมองบิดาด้วยสายตาเย็นชา หานฉู่กวงเอ่ยถามกับรุ่นเยาว์ทั้งห้า “เจ้าว่าเราควรจัดทัพเข้ายึดเมืองเฟิงดีหรือไม่” ลั่วเฉินมองหานฉู่กวงด้วยความรู้สึกโง่เขลา “คนผู้นี้มาเป็นเจ้าเมืองได้อย่างไร” ลั่วเฉินไม่สามารถหาคำตอบให้ตนเองได้ในขณะนี้

    กลับเป็นเซียวหลิงซีที่หัวเราะออกมา “หากท่านเจ้าเมืองหานยึดเมืองเฟิงได้แล้วท่านจะรักษาไว้ได้อย่างไร” หานฉู่กวงได้ฟังก็ถอนใจด้วยความหดหู่ “นั่นสินะ กำลังทหารของเมืองปิงมีน้อยเกินไป หากให้รอกำลังเสริมจากราชสำนักก็ไม่ทราบจะมาถึงเมื่อใด”

    คืนนี้ความครึกครื้นภายในเมืองปิงคล้ายดั่งงานเทศกาล ชาวเมืองต่างพากันออกมาฉลองเต้นรำกันตามจัตุรัส ร้านสุราเหลาสุราเพิงขายอาหารล้วนคึกคัก เนื่องจากไม่ได้เตรียมวัตถุดิบเอาไว้มากนักหลายๆร้านสินค้าไม่พอขาย ในเหลาสุราหอมอัมพันหานฉู่กวงทนความเย็นชาไม่ไหวจึงกลับออกไปบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของกลุ่มลั่วเฉินจึงดีขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงมีผู้คนที่ทราบเหตุการณ์เข้ามาคารวะสุราคนทั้งห้าไม่หยุด เวลานี้ชื่อเสียงของคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองปิง

    “หยางป๋อสมกับที่เป็นผู้กล้าวัยเยาว์อันดับหนึ่งของเมืองปิงสามารถตัดศีรษะรองแม่ทัพฝ่ายศัตรูอย่างง่ายดายทั้งยังสังหารทหารศัตรูอีกมามาย” “คนที่เหลือก็ล้วนยอดเยี่ยมมีพลังฝีมือเข้มแข็งทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ” “บุตรสาวท่านเจ้าเมืองเมื่อก่อนลือกันว่าเป็นเพียงนกน้อยในกรงทอง กลับกล้าบุกตะลุยเข้าไปในทัพข้าศึก ต่อไปข้าจะไม่เชื่อข่าวลืออีกนางช่างกล้าหาญยิ่งนัก” “แม่นางที่มาจากเมืองหลวงสมกับเป็นศิษย์ของหุบเขาเซียนกระบี่ นางสังหารข้าศึกจนล้มตายดั่งใบไม้ร่วง” “หวังเค่อเองก็ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าได้ยินจากทหารบนกำแพงว่าเป็นดั่งดาวหางที่พุ่งทะยานฉีกกระชากศัตรูเป็นชิ้น” “หลานชายท่านแม่ทัพใหญ่ก็ยอดเยี่ยมเช่นกันสามารถสังหารแม่ทัพศัตรูด้วยธนูเดียว”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×