คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : ซื้อขายครั้งใหญ่
เหล่าจิ่วพยักหน้า “พรรคของเราต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของราษฎร บรรดาราชวงศ์รวมถึงขุนนางต่างก็ใช้กำลังกดขี่ราษฎรข้าเชื่อว่าเจ้าก็คงทราบข้าจึงหวังให้เจ้าเข้าร่วมกันกับเรา” ลั่วเฉินส่ายศีรษะ แม้เขาจะมองว่าชายชราเหล่าจิ่วนั้นไม่มีเจตนาร้าย แต่เขายังคงต้องการเว้นระยะจากคนกลุ่มนี้เอาไว้ก่อน “ข้าจะไม่เข้าร่วมกับค่ายสำนักใด แต่หากพวกท่านต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของราษฎรจริงข้าสามารถให้ความร่วมมือได้ในบางครั้ง” ชายทั้งสามคนเมื่อได้ยินชายหนุ่มปฏิเสธในทันทีคราแรกก็คาดไม่ถึงเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กัน อีกทั้งชายหนุ่มอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับพรรคตะวันรุ่งดีพอก็นับเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่จะถูกปฏิเสธ
“น้องชายสามารถให้ความร่วมมืออันใดกับพวกเราได้บ้าง” เหล่าจิ่วถามออกมาโดยตรง “ข้าคิดว่าพวกท่านต้องการชักชวนข้าเพราะเกราะอ่อนระดับปฐพีในงานประมูลถูกต้องหรือไม่” ลั่วเฉินระบุจุดประสงค์ของพวกเขาโดยตรง “ถูกต้อง” เหล่าจิ่วพยักหน้า ลั่วเฉินสบตากับคนทั้งสามทีละคน “ข้าสามารถขายเกราะอ่อนให้พวกท่านได้ พวกท่านต้องการเท่าใดข้าจะให้ราคาพวกท่านต่ำกว่าราคาประมูล” เวลานี้ลั่วเฉินมีเงินหลายพันเหรียญทอง ความจริงสำหรับเขาเวลานี้ไม่มีที่ให้ใช้เงินมากนะ แต่เขาเคยผ่านประสบการณ์ในจวนแม่ทัพในยามที่ไม่มีเงินมาก่อนลั่วเฉินจึงไม่คิดดูถูกเงินทอง
ชายทั้งสามคนต่างแสดงออกอย่างมีความสุข ชายอ้วนกล่าวว่า “เจ้าสามารถขายให้พวกเราได้เท่าใด” ลั่วเฉินยื่นนิ้วชี้ออกมา “ตัวละหนึ่งพันเหรียญทองข้าสามารถขายให้ท่านได้หนึ่งร้อยตัว แต่ตอนนี้ข้ามีอยู่กับตัวเพียงยี่สิบตัวเท่านั้น หากท่านต้องการเพิ่มเราจะต้องนัดกันคราวหลัง” “ตกลง” ชายอ้วนกล่าวพลางนำตั๋วเงินหนึ่งพันเหรียญทองยี่สิบใบออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ลั่วเฉินเองก็นำชุดเกราะอ่อนยี่สิบตัวที่หลอมสร้างไว้ก่อนหน้านี้ออกมา “ข้าจะซ่อมตัวหนึ่งให้พวกท่านฟรี ข้าจะนำมาให้เมื่อเราพบกันครั้งหน้า” ลั่วเฉินกล่าวพลางชี้ไปที่ชุดเกราะอ่อนบนตัวฟงต้าหลี่ที่นอนสิ้นสติอยู่
“นี่คือบุตรชายคนโปรดของฟงเต๋อคุนแม่ทัพเมืองปิง” ชายอ้วนกล่าว ลั่วเฉินยิ้มออกมาขณะมองที่ฟงต้าหลี่บนพื้น “ถูกต้อง คราแรกข้าหมายจะสังหารมันเสียแต่บิดาของมันกำลังนำกองทัพไปโจมตีเมืองปิง บางทีการเก็บมันเอาไว้ก่อนอาจจะยังพอมีประโยชน์” “น้องชายมาจากเมืองปิงอย่างนั้นหรือ ไม่ทราบข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไรดี” ชายอ้วนกล่าว “ใช่แล้วข้ามาจากเมืองปิงมีนามว่าลั่วเฉิน เอาล่ะท่านบอกข้าทีว่าเราจะติดต่อกันอย่างไร”
ชายนายพรานที่เงียบอยู่นานกล่าวเป็นคราแรก “เมื่อใดที่เจ้าคิดว่าสินค้าทั้งหมดจะพร้อม” ลั่วเฉินคิดเล็กน้อย “เมืองปิงยังมีสงครามรออยู่ แต่หากไม่มีอะไรผิดพลาดอีกสิบวันให้ท่านมารับของ จำไว้ว่าอย่าให้นานเกินสิบวันเพราะหลังจากนั้นข้าอาจจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงของแคว้นเซี่ย” ชายนายพรานพยักหน้า “ตกลงอีกสิบวันข้าจะให้คนติดต่อเจ้า เจ้ารับหยกครึ่งชิ้นนี้ไปผู้ติดต่อจะมีหยกอีกครึ่งที่เหลือ” ชายนายพรานส่งหยกที่แตกชิ้นหนึ่งให้กับลั่วเฉินก่อนที่คนทั้งสามจะจากไป
วันต่อมาลั่วเฉินก็ขี่ม้าวายุพร้อมกับจูงม้าอีกตัวที่มัดฟงต้าหลี่ติดเอาไว้มาถึงสถานที่นัดหมายกับสหาย “หยางป๋อ เจ้ากลับสามารถทะลวงสู่แดนปฐพีได้จริงๆ” ลั่วเฉินหัวเราะออกมา แม้จะแปลกใจว่าลั่วเฉินสามารถมองเห็นแดนการฝึกฝนได้อย่างไรทั้งที่เขาไม่ได้ใช้พลังปราณแต่หยางป๋อก็ไม่ถาม “พวกข้าโชคดีที่ไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง ว่าแต่นั่นเจ้ามัดผู้ใดมา” “พวกเราคุยกันระหว่างเดินทาง” ลั่วเฉินกล่าว
“เจ้าหมายความว่า ทัพเมืองเฟิงกำลังยกมาโจมตีเมืองปิงอย่างนั้นรึ” หานอี้หนิงเบิกตากว้าง “ถูกต้อง ฟงเต๋อคุนแม่ทัพใหญ่ของเมืองเฟิงยกกำลังพลหนึ่งหมื่นนายมาคาดว่าอีกไม่เกินสามวันน่าจะถึงเมืองปิง” ลั่วเฉินกล่าวอย่างเรียบเฉย หานอี้หนิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านในใจ “คนผู้นี้คือบุตรชายคนโปรดของฟงเต๋อคุนอย่างนั้นหรือ” หยางป๋อมองไปชายหนุ่มที่ทั้งตัวมีแต่โลหิตแห้งกรังบนหลังม้า “ข้าคิดว่าคนผู้นี้ยังพอมีประโยขน์จึงพามันกลับมา” ลั่วเฉินกล่าวอย่างสบายๆ
พวกเขาเดินทางโดยไม่พักเมื่อมาถึงประตูทิศใต้ของเมืองปิงท้องฟ้าก็มืดไปแล้ว แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาแม้จะเห็นว่ามีคนถูกมัดมากับม้าแต่เมื่อเห็นหนึ่งในผู้มาเป็นหานอี้หนิง ยามเฝ้าประตูเมืองก็ปล่อยคนทั้งหมดเข้าเมืองอย่างง่ายดาย หานอี้หนิงสั่งให้ทหารพาฟงต้าหลี่ไปคุมขังไว้ก่อนและให้ควบคุมเป็นอย่างดี ห้ามไม่ให้ทรมานและอย่าปล่อยให้ตาย
ลั่วเฉินเมื่อกลับถึงจวนแม่ทัพ ท่านปู่และท่านย่าก็เข้านอนไปแล้ว ลั่วเฉินจึงเดินกลับไปที่เรือน เขาล้างตัวก่อนที่จะพักผ่อน เมื่อนึกถึงสถานการณ์เบื้องหน้าลั่วเฉินตัดสินใจจะดำเนินการกับวัสดุที่สหายหามาในวันพรุ่งนี้
เช้าวันต่อมาในห้องหลอมอาวุธ ลั่วเฉินพิจารณากระทิงเพลิงทองแดงขนาดมหึมาด้วยรอยยิ้ม สหายทั้งสามคนทำงานได้ดีจริงๆ ลั่วเฉินเลาะเส้นเอ็น กระดูกและแก่นอสูรแยกออกจากเนื้อ เขามองเขาโค้งขนาดใหญ่ด้วยความพอใจ สิ่งนี้สามารถหลอมสร้างเป็นอาวุธที่เหมาะจะใช้กับสถานการณ์พอดี ลั่วเฉินเริ่มด้วยการเผาเส้นเอ็นในเตาก่อนจะนำมาแยกเป็นเส้นเล็กๆแล้วจึงนำไปแช่ในของเหลวสีดำซึ่งเป็นน้ำยางของต้นไม้เก่าแก่ชนิดหนึ่ง
ลั่วเฉินนำแก่นอสูร เขาโค้งและกระดูกบางชิ้นลงไปหลอมพร้อมกับแร่ดาวตกสีทองและสีม่วง หลังจากหลอมด้วยไฟร้อนแรงแร่ทั้งสองก็ละลายจนผสานเข้าเป็นเนื้อเดียวกับเขาของกระทิงเพลิงทองแดง เสียงค้อนดังก้องบริเวณเรือนของลั่วเฉินอยู่ราวสองชั่วยามก่อนจะเงียบลง
ลั่วเฉินมองคันธนูสีทองประกายม่วงในมือ เขานำเส้นเอ็นสีดำที่ทำการถักทอเรียบร้อยแล้วนำมาขึงจนตึงก่อนจะประกบด้วยกระดูกโค้งยาว เมื่อขั้นตอนคันธนูเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาหลอมสร้างลูกธนู เขานำส่วนกะโหลกของกระทิงเพลิงทองแดงมาหลอมรวมกับแร่ดาวตกสีเงินก่อนจะนำมาตีเป็นหัวลูกธนูได้ทั้งหมดประมาณห้าสิบชิ้น ก้านทำจากไม้อวี้มู่ที่มีความเหนียวและรับแรงสะท้อนได้ดีติดส่วนท้ายรวมกับกระดูกชิ้นเล็ก ส่วนปีกทำจากขนปีกของเหยี่ยวอสูรตาแดง เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลั่วเฉินก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
ในจวนเข้าเมือง คนกลุ่มใหญ่กำลังพูดคุยกันด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด ผู้เข้าร่วมนอกจากเจ้าเมืองหานฉู่กวงและรองเจ้าเมืองกัวเป่า ยังมีรองแม่ทัพกวงเฉิง หานอี้หนิง เซียวหลิงซี หลัวเซี่ยอวี่ และขุนนางหลายคน “ทัพเมืองเฟิงนับหมื่นอีกทั้งฟงเต๋อคุนนำทัพมาด้วยตนเองพวกเราจะรับมืออย่างไร” หานฉู่กวงถามคนทั้งหมด กัวเป่าที่ใบหน้าขาวซีดรีบตอบ “มีเวลาอีกเพียงสามวันพวกเราต้องรีบเตรียมการป้องกันให้พร้อม”
“กวงเฉิงเจ้ามีความมั่นใจในการรับมือหรือไม่” หานฉู่กวงกล่าวกับรองแม่ทัพกวงเฉิง “ทัพเมืองเฟิงไม่เคยโจมตีเมืองเรามานานหลายปีไม่คิดว่าวันนี้จะยกทัพมา ทัพของเราตอนนี้เสียเปรียบจำเป็นต้องหาวิธีป้องกันเมืองขอรับ” หานฉู่กวงพยักหน้า “แล้วเจ้ามีวิธีป้องกันเมืองหรือไม่” กวงเฉิงหน้าแดง “นอกจากกองทัพเมืองเฟิงจะเข้มแข็งและมีจำนวนมากกว่ากองกำลังของเมืองเรา ฟงเต๋อคุนยังมีพลังฝีมือเหนือกว่าพวกเรา หากจะป้องกันเมืองข้าคิดว่าจะต้องให้แม่ทัพลั่วมาทำหน้าที่นี้”
“แม่ทัพใหญ่ยังไม่มาอีกเหรอ รีบส่งคนไปเชิญมา” หานฉู่กวงคำรามด้วยความโกรธ กวงเฉิงใบหน้าขาวซีดรีบกล่าวตะกุกตะกัก “ ข้า ข้าให้คนไปตามแล้วขอรับท่านเจ้าเมือง” “ท่านแม่ทัพใหญ่คนนี้ช่างทำตัวไม่สมกับตำแหน่งยิ่งนัก” กัวเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก
หานอี้หนิงและเซียวหลิงซีต่างหันมาสบตากัน คืนก่อนพวกนางเพียงนำคนไปคุมขังแต่ไม่ได้บอกว่าผู้ถูกคุมขังเป็นผู้ใด ดูจากสถานการณ์ของคนเหล่านี้ พวกนางจึงตัดสินใจที่จะปรึกษาลั่วเฉินก่อนว่าควรทำอย่างไรต่อไป หลัวเซี่ยหวี่ขยับเข้ามาใกล้เซียวหลิงซีก่อนจะกระซิบกับนาง “ศิษย์พี่หญิง พวกเราควรจะออกเดินทางไปก่อนเพื่อความปลอดภัยหรือไม่” เซียวหลิงซีได้ฟังก็มองศิษย์น้องอย่างดูถูก นางไม่ตอบเพียงชักชวนหานอี้หนิงจากไป
ลั่วเฉินขณะนี้กำลังเล่าเรื่องราวของการเดินทางอย่างคร่าวๆให้ท่านย่าของเขาฟัง ฮูหยินผู้เฒ่ามองเหรียญทองแดงที่มีตราสัญลักษณ์รูปทั่งและค้อนที่มีดวงดาวด้านบนสามดวงด้านล่างมีชื่อของลั่วเฉินสลักอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่ามีน้ำใสๆในตา “เฉินเอ๋อ เจ้าช่างมีความสามารถจริงๆ ย่าภูมิใจในตัวเจ้า” นางกล่าวพร้อมกับนำเหรียญตราวางลงในมือของลั่วเฉินก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ลั่วเฉินมองท่านย่าที่กำลังมีความสุขเขาก็รู้สึกอบอุ่นใจ “ท่านย่านี่เป็นเงินส่วนหนึ่งที่ข้าได้มาข้าคิดว่าเพียงพอที่จะให้ท่านปู่เกษียณ พวกท่านสามารถไปเมืองหลวงพร้อมกันกับข้า ข้าสามารถซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เมืองหลวงให้พวกท่านได้อยู่อย่างสุขสบาย เมื่ออากาศดีท่านกับท่านปู่ยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวทั่วแคว้น” ฮูหยินผู้เฒ่ามองตั๋วเงินกองใหญ่ในมือหลานชาย นางคิดใคร่ครวญในใจหากกลับไปเมืองหลวงนางสามารถเป็นธุระเรื่องการแต่งงานของหลานชายซึ่งเป็นเรื่องดี “เรื่องนี้ข้าขอปรึกษากับท่านปู่ของเจ้าก่อน” “ขอรับท่านย่า” ลั่วเฉินพยักหน้า
ขณะที่ย่าหลานกำลังพูดคุยกันพ่อบ้านฝูก็รีบร้อนเข้ามารายงาน “ฮูหยิน นายน้อย มีทหารกลุ่มหนึ่งมาที่หน้าประตูเพื่อขอพบนายท่านขอรับ” “หืม คนพวกนี้มาทำไมกัน” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังลุกขึ้นยืน ลั่วเฉินก็ลุกขึ้นก่อน “เดี๋ยวข้าไปดูเองขอรับท่านย่า” กล่าวจบลั่วเฉินก็รีบเดินออกไป
ที่หน้าประตูทหารกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่แต่ละคนมีสีหน้าบูดบึ้ง “ท่านแม่ทัพให้เราพาตาแก่นี่ไปจวนเจ้าเมืองหากมันไม่ยินยอมเล่า” ทหารคนหนึ่งกล่าว “ต่อให้ต้องลากไปเราก็ต้องพาตาแก่นี่ไปให้ได้” ทหารอีกคนกล่าว “ตาแก่นี่รับเบี้ยหวัดแต่กลับไม่ทำงานช่างเป็นภาระของเมืองยิ่งนัก” “หึหึ เจ้าจะรู้อะไรตาแก่นี่หมดสภาพไปแล้ว ที่ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งได้เป็นเพียงความเมตตาของราชวงศ์เท่านั้น”
คนเฝ้าประตูจวนแม่ทัพเป็นบ่าวเก่าแก่ที่อพยพมาจากเมืองหลวง เวลานี้ได้ฟังคำดูถูกผู้เป็นนายก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป “พวกเจ้ากล่าววาจาสุนัขอันใด นี่พวกเจ้ากล้าที่จะหมิ่นเกียรติของท่านแม่ทัพอย่างนั้นรึ” กลุ่มทหารเมื่อเห็นบ่าวเฒ่าเดือดดาลก็หันมองหน้ากันก็จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เจ้าแก่ข้าจะบอกเจ้าให้นะ..” “เพี้ยะ” ขณะทหารคนหนึ่งกำลังจะกล่าวคำดูถูกก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนก่อนที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดในช่องปาก มันทรุดตัวลงก่อนจะบ้วนบางอย่างออกมาพร้อมกับเลือด “ฟัน ฟันของข้า อ่อก อ่อก แหวะ” ฟันมากกว่าสิบซี่ถูกบ้วนออกมาพร้อมกับเลือด
กลุ่มทหารที่เหลือดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า พวกมันจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดแดงที่ยืนอยุ่หน้าประตูข้าง “เจ้า เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายทหารของทางการอย่างนั้นรึ” นายกองหัวหน้ากลุ่มตะคอกออกมา “เพี้ยะ” นายกองที่ตะคอกเสียงดังทรุดลงไปกับพื้นก่อนกระอักโลหิตพร้อมฟันหลายซี่ออกมา ทหารที่เหลือหนังศีรษะชาไปชั่วขณะ นายกองของพวกมันเป็นถึงผู้แข็งแกร่งในแดนปฐพีขั้นต้นกลับโดนเพียงฝ่ามือตบโดยไม่อาจหลบหรือป้องกันได้เลย
“เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใคร” ลั่วเฉินถามทหารคนที่ยืนอยู่หน้าสุด “ข้า ข้าสังกัดกองลาดตระเวนประตูตะวันออกของท่านแม่ทัพกวง” “เพี้ยะ” ทหารที่ตอบกระเด็นออกไปพร้อมกับพ่นเลือดเป็นสาย “เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใคร” ลั่วเฉินถามทหารอีกคนทางซ้าย “ข้า ข้า ข้า ..” “เพี้ยะ” ร่างคนกระเด็นพ่นเลือดเกิดขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใคร” ลั่วเฉินถามทหารอีกคนที่ร่างกายกำลังสั่นสะท้าน “ข้า ข้าเป็นทหารในกองกำลังรักษาเมืองของท่านแม่ทัพลั่วขอรับ” ลั่วเฉินหรี่ตาลงก่อนจะนำกระบี่ออกมา เขาค่อยๆมองคนทั้งหมดทีละคน เหล่าทหารทั้งที่กำลังยืนและนอนอยู่ต่างร่างกายสั่นสะท้าน พวกมันสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นคล้ายอยู่ห่างจากความตายไม่ไกล คนที่ยืนอยู่ล้วนคุกเข่าลง
ลั่วเฉินปล่อยจิตสังหารก่อนจะพูดช้าๆ “หากข้าเห็นพวกเจ้าทำกริยาดูหมิ่นท่านปู่ของข้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอีกครั้งจะเป็นเวลาตายของเจ้า หากกวงเฉิงต้องการพบท่านปู่ของข้าให้มันไสหัวมาหาเองที่นี่” กล่าวจบลั่วเฉินฟันกระบี่ออกไปเกิดปราณกระบี่วูบไหว เมื่อลั่วเฉินเก็บกระบี่เข้าฝักทหารทุกคนต่างมีรอยเฉือนที่ลำคอ เลือดสีแดงค่อยๆไหลย้อยลงมา หลายคนไม่อาจทรงตัวได้อีกก้มศีรษะลงกราบกราน ต้องรู้ว่ากระบี่นี้หากลึกลงไปอีกเพียงนิดเดียวชีวิตน้อยๆของพวกมันคงหลุดลอยไป
ความคิดเห็น