ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #2 : ป่าไผ่ม่วง

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    ขณะที่ลั่วเฉินกำลังทำแผลก็ได้ยินเสียงก้าวเดินมาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปก็พบว่าผู้มาคือหญิงชราผู้เป็นย่าของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าลั่วปีนี้อายุเกือบเจ็ดสิบปีแต่ก้าวย่างยังคงมั่นคง หลังโค้งงอเพียงเล็กน้อย ก่อนแต่งเข้ามาในตระกูลลั่วนางเองก็เกิดในตระกูลขุนนางบู๊ ฝึกฝนวิชาต่อสู้ ขี่ม้า ยิงธนูฝีมือไม่ด้อยกว่าผู้ใด ลั่วเฉินยืนขึ้นกล่าวทักทาย “ท่านย่า ท่านมาได้อย่างไรขอรับ” ฮูหยินผู้เฒ่ามองบาดแผลบนร่างของหลายชายพลางพยักหน้าเล็กน้อย  “เฉินเอ๋อ เจ้าไปทะเลาะกับผู้คนมาอีกแล้วรึ” ลั่วเฉินมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ท่านย่าขอรับ หากพวกมันเพียงดูถูกข้า ข้ายังพอทนได้ แต่พวกมันดูถูกท่านปู่ ท่านพ่อท่านแม่ข้า สุนัขเหล่านั้นอยู่รวมกันเป็นฝูงแล้วพากันส่งเสียงเห่าหอน  กวงหมิงพลังบ่มเพาะเหนือกว่าข้า แต่มันก็ถูกเพลงหมัดตระกูลลั่วของข้าจนฟันร่วงไปหลายซี่เหมือนกันขอรับ” 

    ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานชายด้วยความรู้สึกผิด “ผู้อื่นจะว่าอย่างไรเจ้าอย่าได้นำมาใส่ใจเลย ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะไม่กล่าวโทษว่าปู่ย่ากับพ่อแม่ของเจ้าที่ทำให้เจ้าลำบาก” ลั่วเฉินส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวอย่างแย้มยิ้ม “ท่านปู่เป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในใจข้า ท่านย่าเองก็ดูแลเด็กกำพร้าอย่างข้าอย่างดีมาโดยตลอด ท่านพ่อท่านแม่ข้าบนสวรรค์ล้วนแต่ทำเพื่อราษฎร ข้าจะกล่าวโทษพวกท่านได้อย่างไรขอรับ” ฮูหยินผู้เฒ่าคลี่ยิ้มออกมาพลางลูบหัวหลานชาย “ถ้าว่าคิดอย่างนั้นย่าก็วางใจ วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบสิบห้าปีของเจ้า ย่ายังมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ย่าจะให้พ่อบ้านฝูนำไปซื้อยาเม็ดก่อกำเนิดมาให้เจ้า” นางเพียงหวังว่าหากหลานชายสามารถทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่สี่ เมื่ออายุครบสิบหกปีหลานชายจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อพบกับคู่หมั้นถึงเวลานั้นจะได้ดูแลตนเองได้มากขึ้น

    แม้ว่าแม่ทัพเฒ่าลั่วยังได้รับเบี้ยหวัดจากตำแหน่งขุนนางขั้นห้าพอสมควร แต่ด้วยขุนนางที่นำจ่ายเบี้ยหวัดทั้งหลายทราบว่าแม่ทัพเฒ่าลั่วไม่เป็นที่โปรดปราณขององค์จักรพรรดิ เป็นเพียงแม่ทัพในนามไม่มีอำนาจในมือ เบี้ยหวัดที่ควรจะได้รับเต็มสิบส่วนจึงโดนหักริบไปแบ่งปันกัน เบี้ยหวัดที่ได้รับจริงจึงมีเพียงสามส่วนเท่านั้น ส่วนทรัพย์สมบัติเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งจอมทัพนั้น เนื่องจากแม่ทัพผู้เฒ่าลั่วเลี้ยงดูบริวารมากมายจึงจำต้องใช้จ่ายเงินทองเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังนำเงินทองที่เก็บไว้ส่วนใหญ่มาชดเชยเพิ่มเติมให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสียชีวิตจากการรบ เงินทองสะสมของตระกูลลั่วจึงเหลือไม่มากนัก ทั้งยังถูกบรรดาสะใภ้นำติดตัวกลับบ้านเดิมไปด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เงินในมือฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ่งมายิ่งจำกัด

    ลั่วเฉินมองผู้เป็นย่าย่าด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ "ข้าขอไม่รบกวนท่านย่าขอรับ พรุ่งนี้ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นจะโชคดี ข้าว่าจะไปจับหนูดินหางเหลืองทั้งยังจะหาสมุนไพรแถวป่าไผ่ม่วงดูขอรับ” ฮูหยินเฒ่าลั่วมองหลานรักพลางพยักหน้า แม้ว่านางจะเป็นห่วงหลานชายผู้นี้ไม่น้อย แต่นางรู้ว่าหลานชายนั้นเป็นเด็กดี และนางเองก็รู้ว่าบุตรหลานตระกูลแม่ทัพย่อมไม่อาจเลี้ยงดูอย่างไข่ในหินโดยไม่ปล่อยให้เผชิญอันตรายได้ นางเพียงกล่าวเตือนหลานชาย “เจ้าอย่าได้เข้าไปลึกเกินไป เพียงมองหาในบริเวณชายป่าเท่านั้น หากเจ้าไปพบเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจงรีบหนีไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะเป็นอันตรายได้” ลั่วเฉินพยักหน้า “ข้าทราบขอรับท่านย่า”

    ป่าไผ่ม่วงเป็นป่าชายบริเวณชายขอบทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเทือกเขาเสินหนง ป่าแห่งนี้อยู่ติดกับชายแคว้นต้าเซี่ยและแคว้นต้าเย่จึงเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของทั้งสองอาณาจักร ป่าไผ่ม่วงแห่งนี้อุดมไปด้วยต้นไผ่สีม่วงอันเป็นวัสดุที่ทนทานสวยงามนิยมนำมาทำงานฝีมือ ในต้นฤดูฝนป่าแห่งนี้จะมีชาวบ้านจำนวนมากมาเก็บหน่อไม้ไปทำอาหาร หน่อไม้จากไผ่ชนิดนี้มีสีเหลืองแกมม่วง มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองชายแดนนี้ แน่นอนว่าชาวบ้านธรรมดาจะไม่เข้าป่าไปลึกเกินไปเพราะป่าไผ่ม่วงนี้เองก็อุดมไปด้วยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจำนวนมาก

    ลั่วเฉินเตรียมอาวุธและอุปกรณ์ที่จำเป็นก่อนเดินทางออกนอกเมืองเข้าสู่ป่าไผ่ม่วงตั้งแต่รุ่งสาง จุดประสงค์ของของการเดินทางของลั่วเฉินในครั้งนี้เขาหวังว่าจะได้พบกับหนูดินหางเหลืองสัตว์อสูรระดับต่ำ หนูชนิดนี้มีรสชาติดีและมีสรรพคุณในการเพิ่มพลังปราณเล็กน้อย ถึงแม้จะเพิ่มพลังปราณเพียงเล็กน้อยก็มีประโยชน์มากสำหรับลั่วเฉินในเวลานี้ อีกทั้งเขายังสามารถนำไปขายทำเงินได้อีกด้วย ลั่วเฉินเดินวนบริเวณกอไผ่ม่วงอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็พบโพรงของหนูดินหางเหลือง ลั่วเฉินวางกับดักตาข่ายบริเวณปากโพรงแล้วเดินวนไปรอบๆเพื่อหาทางเข้าออกของโพรงด้านอื่น ลักษณะของโพรงหนูดินหางเหลืองจะเป็นโพรงใหญ่มีทางเข้าออกหลายทาง ในโพรงหากมีพื้นที่ขนาดใหญ่อาจจะมีหนูดินหางเหลืองจำนวนมากอยู่ภายใน 

    หลังจากเดินหาอยู่พักใหญ่ลั่วเฉินก็พบทางเข้าออกอีกสี่ทางจึงเริ่มทำการติดตั้งกับดัก เขาวางกับดักตาข่ายที่เขาทำมาเพื่อจับหนูดินหางเหลืองโดยเฉพาะพร้อมกับนำหน่ออ่อนของไผ่ม่วงมาวางล่อด้านหลังตาข่าย เมื่อหนูดินตามกลิ่นเข้ามาสามารถเข้ามาได้แต่ไม่อาจกลับออกไปได้หลังจากการวางกับดักที่เหลือก็คือการรอเวลา เพื่อที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่าลั่วเฉินจึงตัดสินเดินลึกเข้าไปในป่าอีกสักหน่อย ลั่วเฉินมีความรู้สึกบางอย่างตั้งแต่เข้าป่ามาในวันนี้ ถึงแม้เขาจะเข้าป่าไผ่ม่วงนี้มาหลายครั้งแต่กลับไม่เคยมีความรู้สึกนี้มาก่อน คล้ายมีบางอย่างกำลังเรียกเขา บางทีนี่อาจจะเป็นลางบอกว่าวันนี้เขาจะโชคดี 

    แต่หลังจากเดินอยู่หลายชั่วยามนอกจากสมุนไพรเพียงเล็กน้อยเขาก็ไม่พบสิ่งใดที่มีค่า ลั่วเฉินหัวเราะในใจนี่เขาคงจะโลภจนเสียสติไปแล้ว แต่เมื่อกำลังคิดจะหันหลังกลับลั่วเฉินก็ต้องตกตะลึงเมื่อเขามองเห็นการกระเพื่อมของอากาศบริเวณป่าไผ่ด้านหน้า “นี่ เกิดอะไรขึ้นทำไมข้ารู้สึกว่าป่าไผ่ด้านหน้านี้ต่างไปจากเดิม” ลั่วเฉินมองป่าไผ่สีม่วงเบื้องหน้าพลางคิดด้วยความสับสน เขากำลังจะก้าวถอยหลังเพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้อาจจะอันตราย แต่ก่อนที่เขาจะถอยหนีพลันเหลือบไปเห็นเห็ดลักษณะคล้ายร่มสีม่วงหลายดอกอยู่บริเวณข้างกอไผ่ “นั่นมันเห็ดหลินจือม่วง สมุนไพรวิญญาณที่สามารถเพิ่มพลังปราณได้ ทำไมถึงมีมากมายเพียงนี้” ลั่วเฉินไม่รอช้าพุ่งเข้าไปเก็บเห็ดหลินจือม่วง 

    หลังจากเก็บเห็ดหลายดอก ลั่วเฉินก็ส่งสายตามองลึกเข้าไปในป่าด้านหน้า เขาเห็นเห็ดหลินจือม่วงอีกเป็นจำนวนมากกระจายอยู่ตามพื้นดิน อีกทั้งยังมีสมุนไพรที่เขาไม่ทราบว่าคือสิ่งใดอีกหลายชนิด “ข้ารวยแล้ว” ลั่วเฉินคิดในใจ “แต่ว่าทำไมถึงมีสมุนไพรมากถึงเพียงนี้ ที่แห่งนี้ไม่เคยมีใครเข้ามาก่อนหรืออย่างไร” แม้จะสงสัยแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องกังวลในตอนนี้ ลั่วเฉินรีบเก็บสมุนไพรล้ำค่าลงถุงตาข่าย ยิ่งเก็บเขาก็ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้น 

    ลั่วเฉินเก็บสมุนไพรชนิดต่างๆหลายร้อยต้นจนเกือบจะเต็มถุงกระสอบ เมื่อเขามองพื้นที่โดยรอบก็พบว่าสมุนไพรยังเหลืออีกเป็นจำนวนมาก  “หากข้าเหลือทิ้งไว้แล้วมีผู้อื่นมาพบคงจะน่าเสียดาย” ขณะตัดสินใจจะเก็บสมุนไพรให้หมดทุกอย่างลั่วเฉินพลันเหลือบเห็นที่บริเวณส่วนลึกด้านหน้ามีวงกลมอักขระกำลังเปล่งแสง เมื่อมองเขาก็รู้สึกว่าวงกลมอักขระนี้คล้ายกำลังเรียกตัวเขา “นั่นคือสิ่งใด” ลั่วเฉินค่อยๆเดินเข้าไปหาวงกลมอักขระ 

    วงกลมอักขระนี้กว้างประมาณห้าหมี่(1) เมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็มองเห็นว่ามีประตูบานหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศใจกลางของวงกลม โดยมีเส้นแสงอักขระที่เขาอ่านไม่ออกหมุนวนอยู่รอบๆ “ประตูนี้คือสิ่งใด หากเปิดแล้วจะเกิดอันตรายหรือเป็นสมบัติวิเศษ” ลั่วเฉินทั้งต้องการสมบัติแต่ก็ยังเกรงว่าอาจจะมีอันตราย สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าก้าวเข้าไปในวงอักขระเพื่อที่จะลองเปิดประตู

    แต่เพียงเขาก้าวเท้าเข้าไปในวงอักขระประตูก็พลันเปิดออกพร้อมกับมีแสงสว่างมากมายหลั่งไหลออกมา ลวดลายอักษรหลากสีลอยขึ้นมาหมุนวนรอบตัวลั่วเฉินก่อนที่อักขระจะหลั่งไหลเข้าสู่ศีรษะของเขา ลั่วเฉินร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดเส้นโลหิตทั้งร่างปูดโปนราวกับจะปริแตกออกได้ตลอดเวลา เขาเจ็บปวดจนไม่อาจทรงตัวจนต้องคุกเข่าลงพร้อมกับเอามือกุมใบหน้า เหงื่อในร่างกายผุดออกมาหยดลงจนพื้นเป็นสีดำราวกับน้ำหมึก ความเจ็บปวดนี้ยาวนานราวครึ่งเค่อแต่สำหรับลั่วเฉินคล้ายจะยาวนานนับพันปี เมื่อความเจ็บปวดมาถึงขีดสุดฉับพลันแววตาของลั่วเฉินก็เปล่งประกายแสงสีทองจางๆออกมา

    ลั่วเฉินค่อยๆยืนขึ้นพลางมองไปบนร่างกายที่เปียกชุ่ม เดิมทีลั่วเฉินซึ่งอายุเพียงสิบห้าปีก็มีรูปลักษณ์หล่อเหลาผอมสูงอยู่แล้ว แม้จะให้ความรู้สึกว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มวัยแต่ก็เรียกได้ว่าสูงกว่าชายหนุ่มวัยเดียวกันทั่วไป แต่เวลานี้ร่างสูงกลับเกิดความเปลี่ยนแปลง ร่างกายที่เคยผอมก่อนหน้านี้กลับมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเงาวาวราวกับแม้ต้องเผชิญกับหอกกระบี่ที่แหลมคมก็ไม่สามารถทิ่มแทงร่างนี้ให้เกิดบาดแผลได้

    ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย รวมกับรูปร่างที่ดูแข็งแกร่งมองดูคล้ายเปล่งรัศมีที่สูงส่ง ลั่วเฉินทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ “ความทรงจำนี้เป็นของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าคือเทพยุทธฮั่วเฉินจริงๆงั้นหรือ เหตุใดความทรงจำจึงขาดๆหายๆ” ลั่วเฉินยังคงสับสนมึนงง หลังจากใช้เวลาทบทวนความทรงจำอยู่เป็นเวลานาน ลั่วเฉินก็เริ่มทำความเข้าใจกับความทรงจำที่เพิ่งสัมผัสถึง “ชีวิตก่อนข้าก็คือฮั่วเฉิน  คงเพราะนี่เป็นเพียงเสี้ยววิญญาณส่วนหนึ่งจึงมีเพียงความทรงจำหลงเหลือเพียงบางอย่าง ทักษะวิชาพื้นฐาน เคล็ดการหลอมอาวุธระดับปฐพี การใช้ไฟและรูปแบบค่ายกล”

    ลั่วเฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะหันไปทิศทางของประตูที่ลอยในอากาศก่อนจะกล่าวเบาๆ “แหวนดาวตก” เขากางฝ่ามือออก พลันปรากฏแหวนสีเงินวงหนึ่งลอยออกมาจากประตู แหวนสีเงินค่อยๆตกลงสู่มือของลั่วเฉิน เขามองดูแหวนในมือก่อนจะยิ้มออกมา นี่คือแหวนดาวตกหนึ่งในห้าศาสตราเทพยุทธที่เขาหลอมจากแกนเทพอสูรตัวหนึ่ง ภายในเป็นห้วงมิติขนาดใหญ่สามารถบรรจุภูเขาได้ทั้งลูก เมื่อรวมสิ่งนี้เข้ากับสะเก็ดดาว วัตถุวิเศษที่หลอมสร้างจากแร่ดาวตกกว่าสิบชนิด สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งรูปทรงขนาดและน้ำหนัก สามารถหดเล็กได้เท่าเมล็ดถั่วและขยายใหญ่ได้เท่าภูเขาลูกหนึ่งทั้งสามารถหนักได้สูงสุดถึงหนึ่งร้อยล้านจิน เมื่อสมบัติทั้งสองนี้รวมเข้าด้วยกันจึงเกิดเป็นศาสตราเทพยุทธชิ้นหนึ่ง 

    ลั่วเฉินสำรวจบริเวณโดยรอบ นอกจากถุงกระสอบที่มีสมุนไพรมากมายแล้ว พื้นที่รอบตัวเขาก็ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิด ลั่วเฉินเก็บสมุนไพรมีค่าลงถุงกระสอบก่อนจะเก็บเข้าในแหวนดาวตก เขานำสมุนไพรที่คัดแยกไว้ก่อนนี้วางรอบวงอักขระ ทั้งหมดล้วนเป็นสมุนไพรเพิ่มพลังของแดนก่อกำเนิด ลั่วเฉินหมุนวนฝ่ามือพลางกล่าว “เคล็ดต้วนฮ่าวอัคคีหลอมวิเศษ” เปลวไฟดวงเล็กหลากสีพลันพวยพุ่งจากปลายนิ้วของลั่วเฉินเลื้อยตวัดลุกไหม้สมุนไพรที่อยู่รอบๆ สมุนไพรเหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผุยผง ก่อนที่เปลวไฟหลากสีจะถูกดึงดูดกลับเข้าสู่ร่างของลั่วเฉิน  นี่เป็นเคล็ดการใช้ไฟที่ช่วยในการดูดซับพลังปราณซึ่งเป็นทักษะส่วนตัวของเขาในอดีต

    รัศมีพลังของลั่วเฉินเริ่มพุ่งทยาน  แดนก่อกำเนิดขั้นที่สี่ แดนก่อกำเนิดขั้นที่ห้า  แดนก่อกำเนิดขั้นที่หก แดนก่อกำเนิดขั้นที่เจ็ด  รัศมีพลังยังคงเพิ่มขึ้น แดนก่อกำเนิดขั้นที่แปด ก่อนจะเพิ่มขึ้นช้าลงจนหยุดนิ่ง ลั่วเฉินสำรวจร่างกายของตนเองก่อนที่จะต้องประหลาดใจ “เหตุใดจึงมีสิ่งนี้อยู่ในตันเถียนของข้า” ลั่วเฉินพยายามส่งพลังวิญญาณเข้าไปตรวจสอบแต่กลับไม่สามารถทำได้ “ระดับวิญญาณของข้าไม่เพียงพอ ข้าคงต้องรวบรวมเสี้ยววิญญาณของข้ากลับมาก่อนจึงจะสามารถตรวจสอบสิ่งนี้ได้” 

    เวลานี้ค่ายกลลวงตากำลังค่อยๆหายไป เดิมพื้นที่นี้เป็นเพียงพื้นที่ปกติแต่การคงอยู่ของศาสตราเทพยุทธและค่ายกลลวงตาทำให้สมุนไพรที่เกิดขึ้นบริเวณนนี้อยู่รอดจากการถูกพบเห็นมาได้นานหลายร้อยปี

    (1)เมตรจีน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×