ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #19 : พิราบหมื่นลี้

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 67


    เช้าวันต่อมาลั่วเฉินกับสหายก็เดินทางกลับเมืองปิง ระหว่างทางค่อนข้างราบรื่นหลายครั้งที่หยางป๋อทำหน้าที่สุภาพบุรุษดูแลเรื่องราวให้กับหานอี้หนิง ตอนนี้ความเขินอายของหยางป๋อลดลงไปมากแล้วบางครั้งเขายังชวนหานอี้หนิงพูดคุยเรื่องทั่วไป “หยางป๋อเวลานี้เจ้าเป็นผู้กล้าวัยเยาว์อันดับหนึ่งแห่งเมืองปิง เวลาที่เหลือก่อนจะถึงงานชุมนุมผู้กล้า เจ้าวางแผนจะทำสิ่งใด” หานอี้หนิงกล่าวกับหยางป๋อ” “ข้าอยากจะออกเดินทางหาประสบการณ์ระหว่างเส้นทางจากที่นี่ไปเมืองหลวง ข้าอยากเที่ยวชมสถานที่ต่างๆพร้อมกับพัฒนาพลังฝึกปรือไปด้วย” หยางป๋อตอบ “เจ้าล่ะลั่วเฉิน เจ้าจะไปเมืองหลวงกับหยางป๋อด้วยหรือไม่” หานอี้หนิงถามต่อ

     ลั่วเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าย่อมต้องไปเมืองหลวงแน่นอนแต่ก่อนที่จะข้าจะไปสถานที่หนึ่งก่อน” “เจ้าจะไปที่ใด” หยางป๋อถามอย่างสงสัย “ข้าจะไปเข้าทดสอบกับสมาคมหลอมอาวุธ” ก่อนหน้านี้ลั่วเฉินสอบถามกับเสมียนตู้แห่งหอการค้าลมวสันต์ได้ความมาแล้วว่า หากเขาได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมหลอมอาวุธ เขาสามารถได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่างทั้งเรื่องการเดินทางที่จะผ่านการตรวจสอบของด่านต่างๆได้ง่ายขึ้น รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่ส่งต่อกันเฉพาะสมาชิกในสมาคมหลอมอาวุธเท่านั้น บางทีเขาอาจจะทราบเบาะแสของเหล่าศิษย์ที่หายไป “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หยางป๋อกล่าว ลั่วเฉินส่ายศีรษะ “หลังจากข้าหลอมสร้างกระบี่ให้เจ้าใหม่เราจะมายังป่าไผ่ม่วงอีกครั้งเจ้าจงฝึกฝนรอข้าที่นี่ สถานที่ทดสอบข้าไปด้วยตนเองจะเคลื่อนไหวสะดวกกว่า” “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปทดสอบที่สมาคมหลอมอาวุธเมืองเฟิง” หานอี้หนิงกล่าวด้วยความตกใจ ลั่วเฉินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า

     สมาคมหลอมอาวุธมีสาขาทำการกระจายอยู่ตามเมืองสำคัญของทั้งห้าแคว้น ในแคว้นเซี่ยสาขาที่ใกล้ที่ใกล้กับเมืองปิงมากที่สุดจะต้องเดินทางไปถึงสองพันลี้ แต่หากลั่วเฉินไปเข้าทดสอบที่สมาคมหลอมอาวุธสาขาเมืองเฟิงจะมีระยะทางเพียงสามร้อยลี้เท่านั้น อีกทั้งเขายังสามารถเดินทางสู่เมืองเฟิงผ่านทางป่าไผ่ม่วงได้อีกด้วย “วันนี้กลับถึงจงพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้พวกเรานัดกันที่เหลาสุราหอมอัมพันเป็นอย่างไรข้าจะนำสิ่งของไปให้พวกเจ้า” ลั่วเฉินกล่าวกับสหายทั้งสาม “ตกลง” คนที่เหลือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

       เมื่อกลับถึงเมืองปิงพวกเขาก็กล่าวลากัน ลั่วเฉินตรงกลับจวนแม่ทัพเขากินมื้อเย็นกับท่านย่าก่อนนั่งสนทนากับย่าของเขาสักพักเขาก็กล่าวขอตัว ลั่วเฉินเข้าสู้ห้องหลอมก่อนที่จะนำวัตถุที่จะหลอมสร้างในวันนี้มาจัดเรียงกัน ลั่วเฉินเริ่มการกระบวนการหลอมชุดเกราะอ่อนให้กับสางงามทั้งสองคนก่อน วัสดุหลักเป็นขนของวานรขนเหล็กแต่เขาไม่ใช้หนังของมัน เกราะอ่อนของเซียวหลิงซีเขาใช้ขนของวานรขนเหล็กหลอมรวมกับแก่นอสูร หนังและขนกระต่ายยักษ์ เขายังใช้เขี้ยวของกระต่ายมาตกแต่งบนชุดและยังแกะอักขระลงไป

         ชุดเกราะอ่อนของหานอี้หนิงลั่วเฉินบรรจงหลอมด้วยขนของวานรขนเหล็กเข้ากับส่วนต่างๆของผีเสื้อมายา เขาจงใจเหลือปีกทั้งสี่ของผีเสื้อมายาแยกเอาไว้ หลังจากผ่านขั้นตอนจนได้ชุดเกราะอ่อนสีชมพูออกมาแล้ว ลั่วเฉินก็ลดอุณหภูมิในเตาหลอมลงก่อนจะนำปีกของผีเสื้อมายาใส่ลงไปในเตาหลอม เขาถักทอชุดเกราะอ่อนสีชมพูเข้ากับปีกของผีเสื้อมายาจนกลายเป็นลายตารางสีชมพูเล็กๆที่ระยิบระยับ เมื่ออุณหภูมิของชุดลดลงเขาก็นำผงละอองผีเสื้อมายาลงไปใส่ทีละช่อง เมื่อหานอี้หนิงถูกโจมตีละอองผีเสื้อมายาจะถูกปลดปล่อยออกมาตามตำแหน่งของช่องเล็กๆนี้ สำหรับหานอี้หนิงเมื่อนางผูกวิญญาณกับชุดเกราะอ่อนนางจะไม่ได้รับผลกระทบจากละอองเหล่านี้

     มาถึงการหลอมสร้างกระบี่ของหยางป๋อ กระบวนท่าของหยางป๋อล้วนดัดแปลงมาจากเคลื่อนไหวของวิหก การโจมตีเน้นที่ความเร็วและการเชื่อมต่อของการโจมตี เมื่อลั่วเฉินวางแผนการใช้วัสดุเสร็จเขาก็เริ่มลงมือ หลังผ่านไปสองชั่วยามในห้องหลอม ลั่วเฉินกำลังทดลองกวัดแกว่งกระบี่ รูปร่างของลั่วเฉินกับหยางป๋อไม่ต่างกันมาก และเขาเห็นความคล่องตัวในยามที่หยางป๋อใช้กระบี่ลมขจีมาก่อนเขาจึงใช้เป็นตัวกำหนดขนาดของกระบี่เล่มนี้ ต่างกันตรงที่เขาเพิ่มความกว้างของใบกระบี่เป็นสี่ชุ่น ใบกระบี่สีดำหนาครึ่งนิ้วมือ ด้ามจับและฝักกระบี่สีน้ำตาลแกมดำ 

      ลั่วเฉินยังหลอมตกแต่งส่วนด้ามจับด้วยเยื่อตาสีแดงของอสูรเหยี่ยวตาแดงอีกด้วย กระบี่เล่มนี้เสริมแกร่งระดับสิบส่วนแต่ลั่วเฉินลบประกายลงเหลือเจ็ดส่วน กระบี่เล่มนี้เสริมพลังการโจมตีที่รุนแรงซึ่งลั่วเฉินเชื่อว่านี่จะเป็นกระบี่ระดับปฐพีที่มีพลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดอย่างแน่นอน แม้แต่กระบี่ลมขจีก็ไม่สามารถแข่งขันกับกระบี่เล่มนี้ในด้านพลังโจมตีได้ นอกจากนี้ตัวกระบี่ยังเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการโจมตีอีกสองส่วนซึ่งจะช่วยหยางป๋อได้มากในอนาคต ลั่วเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

    วันต่อมาลั่วเฉินตื่นสายเล็กน้อย เมื่อคืนเขาวุ่นวายจนถึงยามจื่อ(1)ก่อนที่จะได้พักผ่อน นอกจากสิ่งของที่จะมอบให้กับสหายแล้วเขายังหลอมสร้างชุดเกราะอ่อนจากวานรขนเหล็กอีกสามตัว หนึ่งชุดสำหรับหยางชงเขาใส่วัสดุเสริมแกร่งทำเป็นเกราะอ่อนสีดำระดับปฐพีเสริมแกร่งหกส่วนสองชุดที่เหลือเขาไม่ได้ใส่วัสดุพิเศษลงไป ทั้งสองชุดลั่วเฉินตั้งใจจะขายเขาจึงกำหนดให้เป็นเพียงเกราะอ่อนสีดำระดับปฐพีเสริมแกร่งสี่ส่วนเท่านั้น ลั่วเฉินนำของทั้งหมดใส่ในถุงมิติ เวลานี้ยังห่างจากนัดหมายอีกไกลเขาจึงตั้งในใจใช้เวลาที่เหลืออยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับท่านย่า ลั่วเฉินเล่าถึงประสบการณ์ในหลายวันที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่เขากลายเป็นสหายกับเซียวหลิงซีและหานอี้หนิง รวมถึงเรื่องที่คู่หมั้นของเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักของเซียวหลิงซี แต่เขาไม่ได้เล่นเรื่องที่นางหาคบกับชายคนอื่นอยู่เพื่อไม่ให้ย่าของเขาต้องเป็นทุกข์

    ในจวนเข้าเมืองปิง หานฉู่กวงกำลังสนทนากับบุตรสาว “เจ้าบอกว่าชายหนุ่มที่ชื่อลั่วเฉินมีความสามารถในด้านการหลอมสร้างอาวุธ อีกทั้งยังมีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจเป็นเรื่องจริงหรือ” หานฉู่กวงถามด้วยความสงสัย “ใช่แล้วท่านพ่อ เรื่องฝีมือการต่อสู้หากข้าไม่ได้เห็นด้วยตาข้าเองก็ไม่อาจเชื่อได้ว่าแม้แต่พี่สาวเซียวลงมือเต็มที่ยังไม่อาจทำอันใดลั่วเฉินได้ ส่วนเรื่องการหลอมอาวุธหากข้าได้ชุดเกราะของข้ามาแล้วข้าจะเอามาอวดท่าน” หานอี้หนิงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “สหายคู่นี้ล้วนเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่น” หานฉู่กวงกล่าวกับบุตรสาว

    ในศาลาริมสวน เซียวหลิงซีกำลังนั่งจิบชาพลางชื่นชมดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง นางเห็นหลัวเซี่ยอวี่เดินมาแต่ไกลแต่นางไม่คิดจะทักทาย ตั้งแต่ที่นางเห็นกัวซีเฉียงใช้กระบี่ของหลัวเซี่ยอวี่นางก็ไม่ค่อยพอใจศิษย์น้องผู้นี้เท่าใดนัก แต่ถึงแม้นางไม่อยากสนทนากับหลัวเซี่ยอวี่แต่เป็นหลัวเซี่ยอวี่ที่อยากสนทนากับนาง “ศิษย์พี่หญิงไม่เห็นท่านหลายวัน ท่านสบายดีหรือไม่” หลัวเซี่ยอวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าสบายดีเจ้ามีธุระใดกับข้า” เซียวหลิงซีเห็นรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าของหลัวเซี่ยอวี่แล้วคร้านจะสนทนากับมัน

    “ข้าเพียงอยากสอบถามศิษย์พี่หญิงว่า เวลานี้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสำนักเสร็จสิ้นแล้วศิษย์พี่หญิงคิดจะเดินทางกลับเมื่อใด” เซียวหลิงซีได้ฟังก็ยกคิ้วสูงเล็กน้อย “หากไม่มีเหตุการณ์ใดเราจะเดินทางในอีกห้าวัน” นางตอบอย่างเรียบเฉย “สามารถเลื่อนไปอีกหน่อยได้หรือไม่ แต่หากท่านไม่สามารถเลื่อนออกไปได้ข้าจะขอเดินทางตามไปทีหลัง” หลัวเซี่ยอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เซียวหลิงซีหรี่ตามองศิษย์น้องด้วยประกายตาเย็นเยียบ “เจ้าต้องการจะกล่าวสิ่งใดกันแน่”  

    หลัวเซี่ยอวี่เห็นสายตาของศิษย์พี่ก็รู้สึกสั่นสะท้านไม่กล้ากล่าววาจาอ้อมค้อมอีก “ข้ารอจดหมายตอบกลับของท่านอาจารย์ ข้าส่งจดหมายไปกับพิราบหมื่นลี้ไปหาท่านอาจารย์เมื่อสามวันก่อนคาดว่าอีกเจ็ดวันจดหมายตอบกลับน่าจะมาถึง” เซียวหลิงซีคิ้วขมวดเข้าหากัน “เจ้ามีเรื่องด่วนใดต้องรายงานท่านอาจารย์ของเจ้า”  “ไม่มีเหตุร้ายอันใด ข้าเพียงขอให้ท่านอาจารย์สู่ขอแม่นางหานมาเป็นภรรยาของข้า” หลัวเซี่ยอวี่กล่าวตอบอย่างเรียบเฉย “เจ้าว่าอย่างไรนะ” เซียวหลิงซีเกือบจะสำลักน้ำชา “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไรเจ้าได้สอบถามความยินยอมกับนางหรือไม่” “ข้าได้บอกกล่าวกับบิดาของนางก่อนแล้ว บิดาของนางก็ตกลงแล้ว” หลัวเซี่ยวอวี่กล่าวด้วยความมั่นใจ เซียวหลิงซีเหลือบมองใบหน้าของศิษย์น้องด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะลุกเดินจากไปโดยไม่กล่าวอะไร

     เหลาสุราหอมอัมพันในห้องพิเศษบนชั้นสาม ใบหน้าของหานอี้หนิงเวลานี้เต็มไปด้วยความโกรธ หยางป๋อเองก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ ลั่วเฉินที่สงบได้มากที่สุดจึงทำลายความเงียบ “หมายความว่าหากผู้อาวุโสห้าอาจารย์ของหลัวเซี่ยอวี่ส่งจดหมายสู่ขอมาถึงเรื่องราวจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก” เซียวหลิงซีพยักหน้า “บารมีของผู้อาวุโสทั้งหกแห่งหุบเขาเซียนกระบี่นั้นไม่ด้อยไปกว่าเสนาบดีของราชสำนักทั้งยังอาจจะมากกว่า ท่านผู้อาวุโสใหญ่และท่านผู้อาวุโสสอง ต่างก็มีลูกศิษย์ที่อยู่ในคณะเสนาบดีในรัชกาลปัจจุบัน หากจดหมายมาถึงมือของเจ้าเมืองหานการที่จะแก้ไขเรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

     “ข้าต้องไปคุยกับบิดาของข้า” หานอี้หนิงลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป “เจ้าใจเย็นลงก่อน หากมีจดหมายสู่ขอมาจริงบิดาเจ้าก็ยากที่จะปฏิเสธได้” เซียวหลิงซีไม่อยากให้หานอี้หนิงวู่วามจนเรื่องราวลุกลาม “ท่านบอกว่าอีกประมาณเจ็ดวันจดหมายตอบถึงจะมาถึงใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นพวกเรายังพอมีเวลาคิดหาทาง” ลั่วเฉินถามเซียวหลิงซี “ถูกต้องอีกประมาณเจ็ดวันจดหมายตอบรับน่าจะมากับพิราบหมื่นลี้” เซียวหลิงซีพยักหน้า “หากพิราบหมื่นลี้มาไม่ถึงจะเป็นอย่างไร” หยางป๋อถามด้วยความกังวล

     “ปกติเป็นไปได้ยาก หากเป็นพิราบหมื่นลี้ทั่วไปอาจจัดการได้ไม่ยากนักแต่พิราบหมื่นลี้ของหุบเขาเซียนกระบี่จะถูกฝึกมาให้บินในระดับความสูงที่ยากจะจัดการ เมื่อมันพักจะพักตามจุดที่เป็นจุดส่งข่าวสารของสำนักเท่านั้น อีกทั้งมันจะไม่บินไปเฉียดเทือกเขาเสินหนงเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีจากอสูรวิหกตัวอื่น” เซียวหลิงซีกล่าว “แล้วหากจัดการได้เล่า” ลั่วเฉินถามอย่างสงสัย “สำหรับพิราบหมื่นลี้ของหุบเขาเซียนกระบี่หากระหว่างส่งสารพิราบหมื่นลี้ตกตาย ตัวมันจะลุกไหม้ทำลายจดหมายไปและจะมีการส่งพิราบหมื่นลี้ตัวใหม่นำจดหมายมาอีกครั้ง” เซียวหลิงซีอธิบาย 

    “ความจริงหากสามารถจัดการกับพิราบหมื่นลี้ได้ก็ไม่ใช่จะไม่มีทางแก้ไข แต่ยังต้องถามความคิดเห็นของพวกเจ้า” เซียวหลิงซีกล่าว “วิธีการใด” หยางป๋อถาม “มีวิธีที่เป็นไปได้อยู่ วิธีการคือข้าส่งจดหมายหาท่านอาจารย์ขอให้ท่านรับอี้หนิงเป็นศิษย์ วิธีนี้อี้หนิงจะต้องเดินทางกลับสำนักพร้อมกันกับข้าและจากอายุของอี้หนิงก่อนที่จะกลับถึงสำนักนางจะต้องสามารถเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้า นี่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำของศิษย์ที่อายุสิบหกปีของท่านผู้เฒ่า” เมื่อหานอี้หนิงได้ฟังถึงข้อกำหนดนางก็แทบจะหมดความหวัง เวลานี้นางอยู่ในแดนก่อกำเนิดขั้นที่หกการเดินทางไปเมืองหลวงจากเมืองปิงใช้เวลาประมาณห้าถึงหกเดือนเท่านั้นและถึงจะให้เวลานางสองปีนางก็ไม่คิดว่านางจะทะลวงสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เก้าได้

     “แล้วอาจารย์ของท่านจะยอมขัดแย้งกับอาวุโสคนอื่นในสำนักด้วยเรื่องเหล่านี้หรือ” ลั่วเฉินถามอย่างสงสัย “อาจารย์ของข้าคือผู้อาวุโสสามของสำนัก ในสำนักของเราบรรดาผู้อาวุโสเองก็มีคานอำนาจกันมาโดยตลอด ความขัดแย้งนี้อาจารย์อาจจะชอบใจด้วยซ้ำ” เซียวหลิงซีกล่าว ลั่วเฉินได้ฟังก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หากเกี่ยวข้องกับอำนาจย่อมมีเรื่องราวภายในเสมอ “ถ้าอย่างนั้นเรามีสองเรื่องที่ต้องจัดการ เรื่องแรกคือต้องจัดการกับพิราบหมื่นลี้ที่นำจดหมายตอบรับกลับมา เรื่องที่สองเราต้องพัฒนาการฝึกฝนของอี้หนิงหรืออาจจะพัฒนาพวกเราทุกคนไปพร้อมกัน เรื่องนี้ข้ามีวิธี”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×