ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #18 : กำเนิดใหม่เทพอสูร

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 67


    ชายแดนห่างไกลทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นซวนหยวนติดกับชายแดนของแคว้นจินซื่อ เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจหลายปีมานี้บริเวณพันลี้โดยรอบล้วนเกิดภัยแล้ง พืชผลการเกษตรเสียหายราษฎรล้วนอดอยาก ดรุณีน้อยร่างผอมกำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีตักน้ำจากบ่อของหมู่บ้าน ปีนี้หากฝนยังคงแล้งต่อไปเห็นทีอีกไม่นานบ่อน้ำนี้คงกลายเป็นเพียงหลุมดิน ดรุณีน้อยยกถังไม้บรรจุน้ำขนาดใหญ่กว่าลำตัวของนางอย่างระมัดระวัง บ้านของนางเหลือเพียงนางกับมารดาที่ล้มป่วยเพียงสองคนตามกฎของหมู่บ้านนางจึงสามารถมาตักน้ำได้เพียงหนึ่งถังทุกสามวัน นางทั้งยกทั้งลากถังไม้ด้วยความยากลำบากใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามจึงมาถึงกระท่อมไม้ผุพังที่นางอาศัยกับมารดา

    นางมองข้าวฟ่างที่เหลือก้นถังก่อนจะจุดเตาต้มน้ำให้เดือดแล้วจึงใส่ข้าวฟ่างลงไปในน้ำเดือดเล็กน้อย แม้ไม่อาจอิ่มท้องแต่นางจำเป็นต้องแบ่งอาหารให้พอกินอีกสิบวันก่อนที่เสบียงช่วยเหลือของทางการจะส่งมาอีกครั้ง เมื่อข้าวฟ่างสุกได้ที่โจ๊กข้าวฟ่างสีเหลืองก็เริ่มส่งกลิ่นหอม เนื้อโจ๊กแม้จะเหลวแต่นางกับมารดาก็คุ้นชินเสียแล้ว นางตักโจ๊กส่วนใหญ่ใส่ลงในชามไม้ใบเก่านี่เป็นส่วนของมารดานาง “ท่านแม่ถึงเวลาอาหารแล้วข้าจะประคองท่านให้นั่ง” นางวางโจ๊กข้าวฟ่างไว้บนโต๊ะด้านข้างก่อนจะประคองมารดาที่ซูบผอมดั่งกิ่งไม้แห้งขึ้นนั่งพิงฝากำแพง ในกระท่อมมีเพียงโต๊ะไม้ตัวหนึ่งและตั่งเตียงที่นางและมารดานอนร่วมกัน “ท่านแม่ท่านกินให้มากหน่อยจะได้มีแรง หลังจากทางการแจกเสบียงช่วยเหลือครานี้ข้าจะนำเสบียงที่ได้ไปแลกกับเกวียนเล่มเก่าของท่านลุงอู๋ ถึงเวลานั้นข้าจะพาท่านแม่ไปเมืองเซี่ยวเจี้ยนเพื่อหาหมอมีชื่อ” นางกล่าวพลางเป่าโจ๊กในชาม

     มารดาดวงตาเอ่อคลอด้วยม่านน้ำมองบุตรสาวกตัญญูด้วยความเวทนา “ชิงเอ๋อ ปีนี้เจ้าอายุสิบสี่ปีนับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากได้เสบียงช่วยเหลือจากทางการรอบนี้เจ้าเพียงเหลือส่วนหนึ่งให้แม่แล้วนำส่วนใหญ่ติดตัวเจ้าเดินทางไปจากที่แห่งนี้เสียเถอะ โรคของแม่แม่รู้ตนเองดีระยะทางไปเมืองเซี่ยวเจี้ยนทั้งห่างไกลและทุระกันดาน ตัวแม่ในยามนี้ย่อมไม่อาจรับความลำบากเช่นนั้นได้”

    ดรุณีน้อยนามว่า “ซือฝูชิง” หลังจากให้กำเนิดนางมารดาก็ล้มป่วยมาตลอด บิดาของนางเป็นนายพรานผู้หนึ่ง เพื่อที่จะบำรุงร่างกายของภรรยาที่ป่วยบิดาจึงเข้าไปหาสมุนไพรในป่า อาจเป็นโชคชะตาอันเลวร้ายบิดาของนางเข้าป่าไปแล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลยขณะนั้นนางอายุเพียงหกปีเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาทั้งตัวนางและมารดายิ่งอยู่ยิ่งยากลำบาก ซ้ำร้ายภัยแล้งนับวันยิ่งรุนแรงชาวบ้านในหมู่บ้านที่พอจะมีกำลังต่างพากันอพยพย้ายถิ่นฐานกันไปหมด “ท่านแม่ชีวิตข้าเหลือเพียงท่านแม่เท่านั้น แม้จะยากลำบากเพียงใดเราสองคนแม่ลูกจะต้องผ่านมันไปให้ได้ครั้งนี้ขอให้ท่านแม่ฟังคำข้า” 

    ขณะมารดากำลังจะเอ่ยสิ่งใดพลันมีเสียงกลุ่มคนมาจากด้านนอก “เสี่ยวชิง เจ้าอยู่หรือไม่ออกมาสักครู่ข้านำข่าวดีมาบอกเจ้า” ซือฝูชิงจดจำเสียงนี้ได้ดี นี่คือเสียงของนางหวัง ป้าสะใภ้ของนาง สามีของนางหวังเป็นพี่ชายของบิดานาง นางหวังผู้นี้ไม่เคยให้ความช่วยเหลือใดแก่ครอบครัวนางมาก่อน ปกติยามเดินผ่านไม่มองนางด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้จึงมาแจ้งข่าวดี เมื่อซือฝูชิงเดินออกจากกระท่อมไม้ก็เห็นนางหวังยืนยิ้มแย้มอยู่ ด้านหลังของนางหวังมีชายอ้วนอายุราวสามสิบปีแต่งกายคล้ายคนร่ำรวยผู้หนึ่งกับชายถือดาบแต่งกายคล้ายคนของทางการอีกหลายคน “ป้าหวัง ท่านมาหาข้ามีข่าวอันใด หรือทางการส่งเสบียงช่วยเหลือมาเร็วกว่ากำหนด” นางหวังแสดงรอยยิ้มจอมปลอมก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นข่าวดียิ่งกว่าเสบียงอันใด นับว่าตระกูลซือของเรามีวาสนาที่ให้กำเนิดหงส์ฟ้า ท่านนี้คือคุณชายเจิ้งเป่าบุตรชายของท่านนายอำเภอ คุณชายได้ยินข่าวถึงความงามของเจ้าจึงมาสู่ขอเจ้าไปเป็นอนุภรรยา ท่านลุงของเจ้ากับข้าตกลงแล้วเจ้าจงรีบมาคารวะคุณชายเจิ้ง” 

    ที่แท้คราก่อนที่มีการแจกจ่ายเสบียงช่วยเหลือ ทหารคนหนึ่งสังเกตเห็นแม่นางน้อยงดงามในหมูบ้านแห่งนี้จึงนำความไปเล่าให้บุตรชายนายอำเภอฟัง บุตรชายเสเพลของนายอำเภอเนื่องจากบิดาทุจริตเสบียงมาเป็นเวลานานจึงร่ำรวยอย่างยิ่ง วันทั้งวันเพียงดื่มสุราเคล้านารีไม่สนใจกิจการงานใด ยามพบพานสตรีงดงามก็ให้แม่สื่อสู่ขอหากไม่ยินยอมก็จะใช้กำลังบังคับข่มเหง ในเรือนจึงมีอนุภรรยาอยู่มากมาย 

    ซือฝูชิงได้ยินพลันสีหน้าซีเผือด “ท่านกล่าวอะไรท่านแม่ข้ายังอยู่ทั้งคน ท่านถือสิทธิใดมายกข้าให้ผู้อื่น” นางหวังชักสีหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ล้วนเพราะข้ากับลุงของเจ้าหวังดีกับเจ้า คุณชายเจิ้งเป็นคนดียิ่งนักหากเจ้าแต่งเป็นอนุฯของคุณชายเจิ้งไม่เพียงเจ้าจะมีความสุขกับลาภวาสนา มารดาที่ป่วยของเจ้าคุณชายเจิ้งไม่เพียงจะส่งหมอมาดู แม้แต่เสบียงอย่างดีก็จะให้คนส่งมาทุกเดือน ถึงเวลานั้นข้ากับลุงของเจ้าจะช่วยดูแลมารดาเจ้าเอง” 

    ซือฝูชิงลังเลเล็กน้อย แม้นางไม่เต็มใจไปเป็นอนุฯของผู้ใดแต่หากมารดาได้รับการรักษาอีกทั้งยังได้อิ่มท้องนี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ แต่เมื่อมองไปยังสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภของนางหวัง หากมีเสบียงมาจริงคาดว่าจะตกเป็นของครอบครัวนางหวังมากกว่านางจึงตอบปฏิเสธทันที “ข้าไม่ต้องการความหวังดีจอมปลอมของท่าน พวกเรานับเป็นเพียงญาติกันในนามเท่านั้นเรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับพวกท่าน” นางหวังได้ฟังก็เดือดดาลแต่ก่อนจะได้กล่าวสิ่งใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะ

    “แม่นางซือข้าผู้แซ่เจิ้งได้มาพบแม่นางผู้งดงามเช่นเจ้านับว่ามีวาสนาต่อกัน หากเจ้าไม่อยากเป็นอนุฯผู้แซ่เจิ้งสัญญาว่าจะให้เจ้าเป็นฮูหยินรอง ข้าจะให้เจ้าอยู่เรือนหลังใหญ่มีบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติ ทั้งยังมีเงินทองทรัพย์สมบัติให้ใช้มากมาย มารดาของเจ้าข้าก็จะพาไปให้หมอที่จวนรักษาดีหรือไม่” เดิมทีเจิ้งเป่าผู้นี้ต้องการมารับเพียงหญิงสาวกลับไป แต่เมื่อมาถึงก็เห็นความงดงามของซือฝูชิงที่ตัวมันไม่เคยเห็นสตรีนางใดงดงามเท่านี้มาก่อน แม้จะซูบผอมและดูหยาบกร้านไปบ้างแต่หากนำกลับเรือนบำรุงให้ดีมีหรือจะไม่ยิ่งงดงามกว่าเดิม เพียงคิดเจิ้งเป่าก็เกิดตัณหาวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพานางกลับไป 

    ซือฝูชิงเมื่อได้ฟังว่าถึงมารดาจะได้รับการรักษาก็ลังเลใจ แต่ก่อนที่นางจะได้กล่าวสิ่งใดก็ได้ยินเสียงอันอ่อนแรงของมารดา “บุตรสาวของข้าไม่ได้มีไว้ขาย ข้าไม่ต้องการหมอพวกท่านกลับไปเถอะ” เมื่อเห็นมารดาที่ป่วยพาร่างอ่อนแรงออกมาจากกระท่อมซือฝูชิงก็ตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบเข้าไปประคองมารดาไม่ให้ล้มลง “แม่เสี่ยวชิง นี่ล้วนเป็นพรที่หล่นจากฟ้าเหตุใดเจ้าจึงยังปฏิเสธ” นางหวังแม้รู้ว่าอาจจะไม่ได้รับเสบียงรายเดือนแต่ก็ยังมีเงินจำนวนไม่น้อยที่จะได้รับหากงานนี้สำเร็จ

    บนเนินดินห่างออกไปราวสองลี้ ชายสองคนหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยกำลังยืนมองเหตุการณ์พลางสนทนากัน ชายร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อกล่าวกับชายอีกคนว่า “จินซานพวกเราควรเข้าไปแทรกแซงหรือไม่” ชายร่างเล็กที่เรียกว่าจินซานส่ายศีรษะตอบว่า “ย่อมเพียงแต่รับชม ต้าหนิวเจ้าก็รู้ว่าเรื่องนี้พวกเราไม่ควรสอดมือเข้าไป” ชายร่างใหญ่ได้ฟังจึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปชมเรื่องราวด้วยใบหน้าเรียบเฉย

    เจิ้งเป่ายามนี้เมื่อฟังการโต้เถียงไปมาก็หมดความอดทนอีกต่อไปจึงออกคำสั่งกับองครักษ์ว่า “ในเมื่อพูดดีแล้วเจ้าไม่รับก็อย่าหาว่าข้าลงมือรุนแรง พวกเจ้าพาตัวไป” องครักษ์สองคนเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกก่อนจะกระชากคนทั้งสองออกจากกัน ซือฝูชิงพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้ นางถูกหนึ่งในองครักษ์ลากไปหาเจิ้งเป่า ขณะที่มารดามองบุตรสาวที่กำลังจะถูกพรากไปแม้จะไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ยังคว้าข้อมือของบุตรสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย องครักษ์อีกคนพลันบังเกิดโทสะชักดาบฟันใส่หลังของนางอย่างไม่ปราณี  ซือฝูชิงยามนี้โลหิตอาบใบหน้ามองเห็นร่างมารดาที่ค่อยๆล้มลงด้วยความตกตะลึง แม้กายจะล้มลงแต่มืออันเหี่ยวแห้งของมารดายังคงเกาะกุมข้อมือของนางไว้ไม่ปล่อย นางหวังเห็นดังนั้นเพียงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างเย้ยหยัน “นี่เรียกว่าไม่ยอมดื่มสุราคารวะ กลับชอบสุราลงทัณฑ์” 

    ซือฝูชิงร่างกายสั่นเทานางกอดร่างไร้วิญญาณมารดาไว้ในอ้อมแขนพลันกรีดร้อง เจิ้งเป่าแม้เป็นคนมากตัณหาแต่กลับไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผาแต่อย่างใด ขณะกำลังจะสั่งการองครักษ์ให้จับตัวซือฝูชิง ตัวมันก็เห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง เสียงกรีดร้องของซือฝูชิงยิ่งมายิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ซือฝูชิงยามนี้ราวกับหัวใจแหลกสลายเป็นหมื่นชิ้น ภาพช่วงเวลาที่นางอยู่กับมารดาทั้งหัวเราะและร้องไห้ราวกับกระจกบานใหญ่ที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฉับพลันซือฝูชิงสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในจิตใจของนาง วิหกสีแดงที่มีเปลวไฟลุกท่วมทั้งตัวกระพือปีกบินทะลุภาพความทรงจำที่ผ่านมาของนาง ดวงตาของนางคล้ายสำนึกได้บางอย่าง ดวงตาที่เคยเป็นสีดำเวลานี้เปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิง

    นางวางมารดาลงก่อนจะยืนขึ้นมองผู้คนรอบข้างราวกับมองมดปลวก เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เกิดควันขึ้นก่อนจะลุกเป็นไฟ เพียงพริบตาทั้งชุดก็กลายเป็นฝุ่นผงแต่เปลวไฟยังคงแผดเผาร้อนแรงท่วมร่างของซือฝูชิง หากเป็นยามปกติเจิ้งเป่าเห็นสตรีงดงามเปลือยเปล่าเช่นนี้คงต้องกระโจนเข้าใส่ แต่เมื่อมองร่างงดงามที่ไฟลุกท่วมเช่นนี้ร่างกายมันก็พลันสะท้าน องครักษ์ที่พามาแม้จะฝีมือดีแต่ก็เป็นเพียงแดนก่อกำเนิดเท่านั้น ยามนี้มันคิดได้เพียงอย่างเดียวคือต้องหนีให้เร็วที่สุด เจิ้งเป่ารวบรวมความกล้าทั้งชีวิตหันหลังวิ่งหนีทันที

    เหล่าองครักษ์เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าเตรียมหลบหนีเช่นกัน แต่ก่อนที่เหล่าองครักษ์จะได้ก้าวขาฉับพลันร่างอ้วนท้วนของเจิ้งเป่าก็สัมผัสที่ถึงความร้อนบางอย่างที่แผ่นหลัง องครักษ์บางคนเห็นอย่างชัดเจนว่าซือฝูชิงสะบัดเปลวไฟจากปลายนิ้ว เพียงเปลวไฟได้สัมผัสกับแผ่นหลังของเจิ้งเป่าก็พลันลุกท่วมอย่างเร็ว เจิ้งเป่ากรีดร้องก่อนจะล้มลงเปลวไฟยิ่งแผดเผาคล้ายเป็นเสาไฟต้นหนึ่ง เพียงไม่กี่อึดใจร่างอ้วนท้วนของเจิ้งเป่ากลับเหลือเพียงเถ้ากระดูกบนพื้นเท่านั้น

    เหล่าองครักษ์ที่เหลือเห็นภาพดังกล่าวล้วนหนังศีรษะชา แข้งขาอ่อนแรง นางหวังเวลานี้นั่งลงกับพื้นปัสสาวะเจิ่งนอง นางมองซือฝูชิงที่เวลานี้กำลังหันมามองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางหวังรวบรวมสติทั้งหมดก่อนพยายามจะเอ่ยปากขอร้อง แต่ซือฝูชิงไม่ให้โอกาสนางจะได้เอ่ยคำใดนางต้องกรีดร้องเมื่อสัมผัสถึงความร้อนของเปลวไฟที่กำลังลุกท่วมตัวนางเหตุการณ์เดียวกันล้วนเกิดขึ้นกับเหล่าองครักษ์ที่เหลือ ซือฝูชิงมองเหล่าผู้คนที่เวลานี้ล้วนกลายเป็นเสาไฟด้วยแววตาไร้ความรู้สึก นางมองร่างไร้วิญญาณของมารดาด้วยความเศร้าเล็กน้อยก่อนที่นางจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

    ซือฝูชิงมองชายสองคนที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคือง “พวกเจ้าหยุดแค่นั้น” ชายทั้งสองหยุดยืนมองร่างเปลือยเปล่างดงามที่ท่วมไปด้วยเปลวไฟ จินซานคลี่ยิ้มกล่าวกับซือฝูชิง “ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้งเฟิงหวง” ซือฝูชิงมองไปที่ชายทั้งสองอย่างเหยียดหยามก่อนจะกล่าว “แต่ข้ากลับไม่รู้สึกยินดีที่ได้พบกับพวกเจ้า” กล่าวจบนางก็ฟาดฝ่ามือออกพลันเกิดวิหกเพลิงขนาดใหญ่โจมตีใส่ชายทั้งสอง  ทั้งสองหันสบตากันพลางส่ายศีรษะก่อนที่ต้าหนิวร่างสูงจะขยับเข้ามาขวางด้านหน้าจินซาน ขณะที่วิหกเพลิงกำลังจะเข้าถึงตัวคนทั้งคู่พลันเกิดม่านพลังที่มองไม่เห็นต้านทานเปลวไฟเอาไว้ วิหกเพลิงแผดเผาม่านพลังด้วยไฟที่ร้อนแรงจนมวลอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว เปลวไฟเผาไหม้อยู่หลายอึดใจก่อนจะค่อยๆดับสลายไป

    ต้าหนิวแม้ต้านทานเอาไว้ได้แต่คลื่นความร้อนก็เผาไหม้ชุดที่มันสวมใส่เหลือเพียงกางเกงท่อนล่าง กล้ามเนื้อด้านบนเปลือยเปล่าเปลี่ยนเป็นสีแดงจากคลื่นความร้อน ผมบนศีรษะลุกไหม้หายไปเป็นหย่อม ขณะที่ต้าหนิวกำลังจะระบายความเดือดดาลเด็กสาวร่างงดงามก็หายตัวไปแล้ว คนทั้งสองทำได้เพียงมองหน้ากันอย่างไม่สบอารมณ์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×