ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลั่วเฉินจ้าวศาสตรา

    ลำดับตอนที่ #13 : แผนการร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 67


    หยางชงกล่าวอย่างยินดีกับลั่วเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้าง “เจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้“ ลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ “นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นท่านลุง เสี่ยวป๋อตอนนี้ยังไม่ได้ระเบิดพลังทั้งหมด” บนอัฒจันทร์ชมการประลองก็มีผู้คนที่ไม่มีความสุขอยู่ด้วยเช่นกัน หานฉู่กวงหันไปคุยกับชายชุดขุนนางคนหนึ่งที่นั่งติดกัน “เจ้าเด็กคนนี้ร้ายกาจไม่เบา ไม่รู้ว่าหากเปรียบฝีมือกับเสี่ยวเฉียงแล้วจะเป็นอย่างไร” 

    ชายที่สวมชุดขุนนางขั้นห้าสีเขียวหันมาประสานมือคารวะหานฉู่กวง “เรียนท่านเจ้าเมืองเด็กหนุ่มคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา แต่หากจะให้เปรียบกับบุตรชายไร้ความสามารถของข้า ยังคงต้องดูในการประลองอีกทีจึงจะทราบได้” แม้จะตอบไปอย่างนั้นแต่ในใจกัวเป่ากลับรู้สึกไม่มั่นใจเท่าใดนัก กัวซีเฉียงเป็นบุตรชายของมัน กัวเป่าย่อมเชื่อว่ากัวซีเฉียงจะชนะเลิศในครั้งนี้ แต่การแสดงออกของหยางป๋อก็น่าทึ่ง มันจึงไม่มีความสุขนัก อีกคนที่รู้สึกไม่มีความสุขก็คือหลัวเซี่ยอวี่ เมื่อหยางป๋อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สีหน้ายินดีของหานอี้หนิงก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน หยางป๋อตั้งใจจะใช้ความสำเร็จในการเพิ่มพูนศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อให้คู่ควรกับหานอี้หนิง นี่เป็นสิ่งที่มันยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ 

         การประลองดำเนินต่อไปทั้งกัวซีเฉียงและหวังเค่อต่างได้รับชัยชนะเช่นกัน ถึงจะไม่หมดจดเท่ากับหยางป๋อแต่ก็นับว่าได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ในคู่ที่สี่เป็นการต่อสู้อันดุเดือดของชายหนุ่มสองคน ที่ล้วนเป็นบุตรชายขุนนางเมืองปิงด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคู่ต่อสู้กันอยู่นานหลายร้อยกระบวนท่าจนชายหนุ่มชุดม่วงเป็นฝ่ายชนะเมื่ออีกฝ่ายตกเวทีไป แต่ผู้ชมทั้งหมดล้วนเห็นตรงกันว่ารอบต่อไปชายหนุ่มชุดม่วงนี้ไม่ว่าจะจับสลากเจอกับผู้ใดในอีกสามคน คงจะไม่สามารถทำการต่อสู้ได้อีกเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส

          เมื่อได้ผู้เข้ารอบทั้งหมดสี่คนเรียบร้อยแล้วกรรมการก็มีการให้จับสลากกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นหยางป๋อที่ได้เจอกับหวังเค่อ ส่วนกัวซีเฉียงเรียกได้ว่าโชคดี สามารถออมแรงได้เมื่อจับสลากได้เจอกับ ชูเกอชายหนุ่มชุดม่วงที่กำลังบาดเจ็บ กรรมการให้ทั้งหมดได้มีเวลาพักเพิ่มอีกครึ่งชั่วยามก่อนจะที่จะเริ่มการประลองคู่แรกระหว่างหยางป๋อกับหวังเค่อ ต่อด้วยคู่ที่สองระหว่างกัวซีเฉียงกับชูเกอ ลั่วเฉินที่กำลังนั่งอยู่สังเกตุเห็นหลัวเซี่ยอวี่ที่เดินลงจากอัฒจันทร์มุ่งไปทางส่วนที่พักที่เจ้าหน้าที่จัดไว้สำหรับผู้เข้าประลองแล้วรู้สึกเอะใจเล็กน้อย เขาจัดการฝากที่นั่งไว้กับหยางชงก่อนจะเดินลงจากอัฒจันทร์ตามไป

     ที่พักที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ผู้เข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายนี้จะมีลักษณะเป็นกระโจมตั้งอยู่ห่างกันด้านหลังของอัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือ ขณะที่กำลังจะเข้าใกล้กระโจมหลังแรกก็ได้ยินเสียงคนกำลังสนทนากัน ฟังจากน้ำเสียงสามารถคาดเดาได้ว่าการสนทนาไม่ราบรื่นนัก “นี่ท่านคิดว่าข้าจะแพ้อย่างนั้นรึ” เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น “กัวซีเฉียงแม้เจ้าจะคิดว่าตนเองมีฝีมือแต่ข้าบอกได้เลยว่าหากเจ้าไม่รับความหวังดีจากข้าเจ้าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน” ลั่วเฉินจำได้ว่านี่คือเสียงของหลัวเซี่ยอวี่ ฟังจากบทสนทนาคาดว่าอีกเสียงหนึ่งน่าจะเป็นกัวซีเฉียง

      “กระบี่ที่ข้าใช้ก็เป็นกระบี่ที่ดี ข้าไม่คิดว่าจะด้อยกว่ากระบี่ของท่านมากนัก” เสียงที่คาดว่าเป็นกัวซีเฉียงกล่าวหลัวเซี่ยอวี่ส่งเสียง “เหอะ” ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าโง่เจ้าจงดูให้ดี” พลันมีเสียงชักกระบี่จากฝัก ตามด้วยเสียงอุทานของกัวซีเฉียง หลัวเซี่ยอวี่ยังกล่าวต่อว่า “นี่เป็นกระบี่ระดับปฐพีเสริมแกร่งห้าส่วนอีกทั้งยังแฝงพลังทำลาย สามารถสะบั้นอาวุธคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เจ้าเก็บเอาไว้แล้วจงเอาชนะให้ได้ เมื่อถึงงานชุมนุมผู้กล้าในเมืองหลวงข้าจะขอให้ท่านอาจารย์พิจารณาเจ้าเข้าสำนักเป็นพิเศษ และจงอย่าลืมว่านี่เป็นกระบี่คู่กายของข้าเมื่อใช้เสร็จจงเก็บเอาไว้ให้ดีแล้วค่อยแอบเอามาคืนข้า”

        เมื่อได้ยินว่าจะมีโอกาสได้เข้าสู่หุบเขาเซียนกระบี่ กัวซีเฉียงก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับมือกระบี่และบุตรขุนนางผู้หนึ่งในแคว้นเซี่ยเช่นมัน นี่คือความฝันที่อยากให้เป็นจริง ต้องรู้ว่าหุบเขาเซียนกระบี่และราชสำนักนั้นแยกจากกันไม่ได้ นั่นทำให้ผู้ฝึกฝนส่วนใหญ่ในแคว้นเซี่ยเลือกที่จะฝึกกระบี่ มันจึงรีบตอบรับทันที ฟังมาถึงตรงนี้ลั่วเฉินไม่จำเป็นต้องฟังต่ออีกเขาจึงเดินต่อไปเพื่อจะหากระโจมของหยางป๋อ ลั่วเฉินไม่จำเป็นต้องสอบถามเพียงใช้พลังวิญญาณสำรวจก็พบกระโจมที่หยางป๋อพักอยู่ 

    หยางป๋อเมื่อเห็นลั่วเฉินเดินเข้ามาในกระโจมแม้จะประหลาดใจแต่ก็ยังยิ้มออกมา หลังจากคำทักทาย ลั่วเฉินก็เล่าสิ่งที่ได้ยินมาให้สหายฟังอย่างไม่อ้อมค้อม “แล้วทีนี้ข้าจะทำอย่างไรดี แม้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะไม่อาจทำอันตรายข้าได้ แต่หากกระบี่ในมือข้าหักข้าควรจะใช้วิธีการใดในการเอาชนะ” หยางป๋อถามออกมา ลั่วเฉินไม่ตอบคำถามนี้เขาเพียงนำกระบี่เล่มหนึ่งออกมายื่นให้กับหยางป๋อ “เมื่อเจ้าพบกับกัวซีเฉียง เจ้าจงใช้กระบี่นี้ในการต่อสู้ จำไว้เพียงว่าใช้กระบวนท่าออกอย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเสียหาย”

    หยางป๋อฟังคำพูดของลั่วเฉินพลางพิจารณากระบี่ที่สหายยื่นให้จึงถามอย่างมึนงง “นี่ต่างอันใดกับกระบี่ในมือข้า” “นี่เป็นกระบี่ระดับปฐพีที่เสริมแกร่งมาอย่างดี ข้าเพียงลบประกายออกไปเท่านั้น” ลั่วเฉินตอบอย่างเรียบเฉย “เจ้ายังสามารถลบประกายเสริมแกร่งของอาวุธได้อีกด้วย” หยางป๋อไม่ซักไซ้เพียงกล่าวชื่นชมก่อนจะรับกระบี่มา “รอบต่อไปข้าคิดว่าเจ้ายังไม่จำเป็นต้องสิ่งนี้ จงเก็บเอาไว้ใช้ในรอบชิงชนะเลิศ” ลั่วเฉินแนะนำ “ตกลง” หยางป๋อพยักหน้ารับ

       ขณะกลับมาที่นั่งลั่วเฉินก็สังเกตเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเขาอยู่ ลั่วเฉินหันหน้าไปก่อนจะพยักหน้าทักทายให้กับหลัวเซี่ยอวี่  หลัวเซี่ยอวี่เมื่อกลับมาถึงที่นั่งก็สามารถมองเห็นลั่วเฉินที่กำลังเดินมาจากทิศทางของกระโจมพัก แม้ไม่ทราบว่าลั่วเฉินจะได้ยินสิ่งที่ตนสนทนากับกัวซีเหลียงหรือไม่ แต่มันก็ไม่สนใจ “หากจะโทษต้องโทษว่าเป็นพวกเจ้าเองที่ยากจน” 

    เมื่อหมดเวลาพัก กรรมการบนเวทีก็เรียกคู่แข่งขันคู่แรกทั้งสองคนขึ้นบนเวที หวังเค่อร่างกายใหญ่โตเต็มไปด้วยมัดกล้าม มือทั้งสองข้างถือไว้ด้วยขวานคู่หนึ่ง ลั่วเฉินมองหวังเค่ออดที่จะเปรียบเทียบกับยามที่เขาพบกับจักรพรรดิขวานเย่ฉวนเป็นครั้งแรกไม่ได้ ขณะที่อีกฝั่งของเวที หยางป๋อยืนตัวตรงมือข้างหนึ่งจับกระบี่ชี้ปลายกระบี่ลงพื้น ท่าทางหล่อเหลาสง่างามทำให้บรรดาหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง 

    “หนิงเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายหนุ่มผู้นี้มาจากที่ใด” เวทีประลองผู้กล้าวัยเยาว์จะประกาศแนะนำความเป็นมาของผู้เข้าแข่งขันเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศเท่านั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า หานฉู่กวงอดไม่ได้ที่ถามบุตรสาว หานอี้หนิงพยักหน้าตอบรับ “นี่คือ หยางป๋อ บุตรชายนายกองคนหนึ่งในกองกำลังพิทักษ์ของเมืองเราและเป็นสหายของข้า” หานฉู่กวงประหลาดใจเล็กน้อย “อ้อ นี่เป็นบุตรนายทหารคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นสหายของบุตรสาวข้า” เซียวหลิงซีที่เวลานี้นั่งถัดจากหานอี้หนิงหัวเราะเบาๆ “ถูกต้องแล้วท่านเจ้าเมืองหาน ชายหนุ่มคนนี้เป็นสหายของพวกเรา หากเขาชนะเลิศในวันนี้พวกเราจะได้ทานอาหารมื้อใหญ่” กัวเป่าที่นั่งข้างหานฉู่กวงพลันหางตากระตุก ส่วนหลัวเซี่ยอวี่ที่นั่งติดกับเซียวหลิงซีแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา 

        เมื่อกรรมการส่งสัญญาณเริ่มการประลองทั้งสองฝ่ายต่างไม่รอช้า หวังเค่อควงขวานในมือทั้งสองทะยานเข้าหาหยางป๋อ “ตัดศิลา”หวังเค่อฟันขวานในมือซ้ายลงมาเต็มแรง เงาขวานขนาดใหญ่ตรงเข้าโจมตีกลางศีรษะของหยางป๋อ หยางป๋อโยกตัวหลบไปทางขวา ขวานที่เดิมทีฟาดมาพลันระเบิดเป็นคลื่น พร้อมกับมีเงาขวานขนาดใหญ่ด้ามที่สองตามติดโจมตีทางขวางเข้าใส่หน้าอกของหยางป๋อ “ผ่าขุนเขา” แรงคลื่นระเบิดจากขวานแรกทำให้หยางป๋อต้องชะงักเล็กน้อย 

    หวังเค่อร่างกายใหญ่โตแต่ยามออกกระบวนท่ากลับไม่เชื่องช้า เมื่อหยางป๋อเพิ่งหลบการโจมตีแรกพลันเกิดคลื่นระเบิด การโจมที่สองก็ตามติดมาถึงแล้ว แต่หยางป๋อไม่ลนลานขวางกระบี่รับการโจมตีจากเงาขวานขนาดยักษ์แล้วจึงเตะเท้าถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะยืนอย่างมั่นคงชี้ปลายกระบี่ไปทางหวังเค่อ ผู้ชมอดไม่ได้ที่หวาดเสียว ยามที่หวังเค่อเปลี่ยนการโจมตีกระทันหันหลายคนคิดว่าหยางป๋อกำลังจะถูกผ่าครึ่งตัว

     หยางป๋อยืนชี้ปลายกระบี่ไปทางหวังเค่อ ขณะที่ดวงตาทั้งสองของเขามองหวังเค่อราวกับเหยี่ยวที่กำลังมองเหยื่อของมัน บนเวทีประลองมีสายลมค่อยๆพัดแรงขึ้นมาจากทิศทางด้านหลังของหยางป๋อ หยางป๋อเตะเท้าพุ่งทะยานไปด้านหน้าก่อนจะฟาดฟันลงมาจากด้านบน “กรงเล็บสายฟ้า” ปราณกระบี่ฟาดฟันลงมาหลายสาย หวังเค่อ ยกขวานทั้งสองขึ้นปัดปราณกระบี่ที่โจมตีเข้ามา หวังเค่อปัดซ้ายปัดขวาแต่ปราณกระบี่ของหยางป๋อยังฟันลงมาไม่หยุดจนหวังเค่อรู้สึกว่ามือที่กำขวานเริ่มชา “เหตุใดปราณกระบี่จึงรุนแรงถึงเพียงนี้” หวังเค่อคร่ำครวญในใจ ขณะกำลังจะยกขวานขึ้นปัดปราณกระบี่ที่ฟันลงมาอีกครั้ง ปราณกระบี่ที่ก่อนนี้โจมตีลงมาตรงๆพลันเปลี่ยนเป็นทิศทางการโจมตีกลายเป็นโจมตีมาจากแนวทแยง

    “ฉีกกระชากอาชา” ปราณกระบี่จากสี่ทิศทางพุ่งเข้าโจมตีหวังเค่อ ปราณกระบี่หลายสายโจมตีเข้ามาไม่หยุด สะกดหวังเค่อให้ทำได้เพียงตั้งรับอีกทั้งยังถูกจำกัดการเคลื่อนไหว หวังเค่อทำได้เพียงควงขวานทั้งคู่เป็นวงกลมรับการโจมตีจากรัศมีกระบี่ ง่ามมือของหวังเค่อเริ่มมีโลหิตไหลย้อยลงมากระทบพื้นเวที ปราณกระบี่ยังโจมตีต่อเนื่องคล้ายดั่งคลื่นทะเลที่ซัดมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขวานทั้งคู่ในมือของหวังเค่อในที่สุดก็ถูกทำลายพร้อมกับมือของหวังเค่อที่แดงไปด้วยเลือด  หวังเค่อมองปราณกระบี่สีเขียวคล้ายสัมผัสได้ถึงแสงสุดท้ายของชีวิต เวลานี้เขาหมดความสามารถที่จะตั้งรับอีกต่อไป เมื่อคิดว่าคงต้องจบชีวิตแน่แล้วคลื่นปราณกระบี่อันรุนแรงก็จบลง

    หยางป๋อเมื่อเห็นว่าหวังเค่อไม่สามารถรับการโจมตีได้อีกจึงหยุดการโจมตีพร้อมยืนตรงชี้กระบี่ลงพื้นเหมือนในคราแรกเมื่อเริ่มการประลอง “ข้ายอมแพ้แล้ว เจ้ายอดเยี่ยมมาก” หวังเค่อกล่าวพร้อมกับสบตากับหยางป๋อ หยางป๋อส่ายศีรษะเล็กน้อย “หากเจ้ามีอาวุธที่ดีกว่านี้ การต่อสู้คงจะยืดเยื้อกว่านี้มาก” “แพ้ก็คือแพ้ ข้าไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้าง” กล่าวจบหวังเค่อก็เดินลงจากเวที 

    ลั่วเฉินมองหวังเค่อที่เดินลงจากเวทีพลางคิดในใจ “เจ้าเด็กนี่ไม่เลว” หยางชงหัวเราะฮาฮา “เสี่ยวเฉิน เมื่อวานตอนข้าดูเจ้าเด็กนี่ฝึกการออกกระบวนท่า ก็คิดไว้แล้วว่าหากใช้จริงในการต่อสู้จะต้องร้ายกาจไม่เบาแต่เมื่อเห็นในวันนี้ ข้าก็รู้ว่ายังคงประเมินต่ำเกินไป ช่างเป็นการโจมตีที่ดุร้ายยิ่งนัก” ลั่วเฉินพยักหน้า “เสี่ยวป๋อมีพรสวรรค์การเรียนรู้ค่อนข้างดี ข้าเชื่อว่าในอนาคตเขาจะเป็นกลายมือกระบี่ที่เลื่องชื่อไปทั้งทวีป” “ขอเพียงมันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ปารถนาลุงก็พอใจแล้ว” หยางชงกล่าวก่อนจะระบายลมหายใจออกมา

    “ผู้ชนะการประลองคู่แรกหยางป๋อ ผู้เข้าแข่งขันคู่ที่สองขึ้นเวทีได้” กรรมการบนเวทีประกาศออกมาเสียงดัง หยางป๋อเดินลงจากเวทีเวลาเดียวกันกับที่กัวซีเฉียงเดินมาเตรียมจะขึ้นเวทีเช่นกัน ขณะกำลังเดินสวนกันคนทั้งสองสบตากันเล็กน้อย “หากข้าไม่ได้กระบี่มาจากหลัวเซี่ยอวี่ข้าอาจจะต้องแพ้มันจริงๆ กระบวนท่าที่มันโจมตีหวังเค่อช่างร้ายกาจยิ่งนัก” กัวซีเฉียงคิดในใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×