คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ผู้คนจับตามอง
ในรอบที่แปดซึ่งเป็นรอบการประลองของหยางป๋อกลับมีเหตุการณ์ที่ทำผู้ชมต่างประหลาดใจ หยางป๋อที่ถึงแม้จะเป็นตัวเต็งคนหนึ่งในกลุ่มที่แปดแต่กลับสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดายกว่าที่ผู้คนคาดคิดเอาไว้ พลังฝึกปรือที่แสดงออกมาไม่ด้อยไปกว่ากัวซีเฉียงอีกทั้งยังออกกระบวนท่ากระบี่ได้อย่างลื่นไหล เพลงกระบี่ของหยางป๋อเป็นบิดาเขาที่สั่งสอนตั้งแต่เด็กก่อนที่หยางป๋อจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับตัวเขาโดยมีทั้งหมดแปดกระบวนท่า
กระบี่ในมือหยางป๋อเต็มไปด้วยพลังและความมั่นใจ ผู้คนอีกยี่สิบคนบนเวทีคราแรกต่างกระจัดกระจายจับคู่ต่อสู้กัน แต่เมื่อหยางป๋อเริ่มออกกระบวนท่าปราณกระบี่สีเขียวหลายสายทำให้หลายคนล้มลง คนที่เหลือจึงเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเข้าจัดการหยางป๋อ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังไม่อาจสร้างความลำบากให้กับหยางป๋อที่กำลังมั่นใจ หยางป๋อออกกระบวนท่าทั้งฟาดฟันจนคู่ต่อสู้พากันล้มลงทีละคน ท้ายที่สุดหยางป๋อก็สามารถแทงกระบี่เฉือนถูกข้อมือของคู่ต่อสู้คนสุดท้ายบนเวทีจนอาวุธหลุดมือ ก่อนจะจี้กระบี่ไว้ที่ลำคอทำให้คู่ต่อสู้กล่าวยอมแพ้ไป
ผู้คนหลายคนที่เสียพนันก่อนหน้านี้รู้สึกมีความหวังอีกครั้ง หากเดิมพันข้างชายหนุ่มผู้นี้อาจจะมีโอกาสได้รับเงินคืนมาบ้าง หอพันสมบัติเองก็ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนจะสามารถนำเงินออกไปได้ง่ายๆราคาต่อรองจึงรีบปรับเปลี่ยน อัตราต่อรองของหยางป๋อเปลี่ยนเป็นแทงหนึ่งจ่ายหนึ่งทันที ลั่วเฉินเดินลงจากอัฒจันทร์อย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะได้ยินที่คุ้นเคยร้องเรียกชื่อเขา “นี่ลั่วเฉิน ดูใบหน้ามีความสุขของเจ้าสิ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะลงเดิมพันไว้ไม่น้อยเลยสินะ”
เมื่อมองไปตามทิศทางของเสียง ลั่วเฉินก็พบว่าเป็นว่าเป็นหานอี้หนิง อีกทั้งยังมีเซียวหลิงซีและหลัวเซี่ยอวี่เดินตามกันมา “ข้าย่อมมีความสุขแน่นอนในเมื่อวันนี้เสี่ยวป๋อได้รับชัยชนะ อีกทั้งหากเสี่ยวป๋อเป็นผู้ชนะเลิศข้ายังจะสามารถทำเงินได้” ลั่วเฉินกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าอย่างนั้นหากพรุ่งนี้หยางป๋อชนะเลิศเจ้าต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารพวกเราอย่างเต็มที่และต้องนำสุราแปดสมบัติมาด้วยสักหลายไห” เซียวหลิงซีหัวเราะออกมา
ลั่วเฉินมองการแสดงออกของหญิงงามที่ยามนี้คบหากันเป็นสหายก็พยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี ถึงแม้เขาจะยังมีความระมัดระวังในการคบหาผู้คน แต่เขาจะไม่นำเรื่องที่ถูกทรยศในอดีตมาตัดสินสหายในปัจจุบัน ลั่วเฉินจะไม่มัวมาคาดเดาจิตใจของผู้คน เขาจะค่อยๆสังเกตการแสดงออกในอนาคตแล้วจึงกำหนดระดับของการคบหา หลังจากตกลงนัดหมายกับหญิงงามแล้วลั่วเฉินก็บอกลาก่อนจะเดินไปหาหยางป๋อ เขาตัดสินใจว่าจะชี้แนะบางอย่างกับหยางป๋อ
“วันนี้เจ้าแสดงออกได้ดี แต่ข้าคิดว่าในกระบวนท่าของเจ้ายังมีบางสิ่งที่สามารถพัฒนาได้อีก” ลั่วเฉินกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม หยางป๋อก็คิดว่าตนเองทำได้ดีเช่นกันแม้ไม่เข้าใจว่าสหายจะสามารถบอกถึงจุดที่ควรแก้ไขในกระบวนท่าของตนได้อย่างไรแต่ก็ยังตอบตกลง หยางป๋อพาลั่วเฉินกลับไปที่เรือนของเขา เรือนของหยางป๋ออยู่ไม่ไกลจากจวนแม่ทัพมากนักห่างกันเพียงถนนสองสาย เรือนแห่งนี้บิดาของหยางป๋อนำเงินเก็บทั้งหมดในเวลานั้นซื้อด้วยตนเอง เนื่องจากการกำเนิดของหยางป๋อบ้านพักที่ราชสำนักจัดให้ขุนนางเล็กๆจึงไม่สะดวกอีกต่อไป
หยางป๋อเป็นบุตรชายคนแรกและยังเป็นบุตรเพียงคนเดียว ทำให้ทั้งบิดาและมารดาล้วนใส่ใจดูแลมาตั้งแต่ยังเล็ก ขณะที่สหายกำพร้าอย่างลั่วเฉินเองก็ได้รับการอบรมดูแลจากครอบครัวนี้ไม่น้อยเช่นกัน เรือนของหยางป๋อเป็นเรือนขนาดกลางที่มีพื้นที่อยู่อาศัยสามด้านลักษณะคล้ายเกือกม้า ตรงกลางมีลานไว้สำหรับฝึกยุทธโดยเฉพาะ วันนี้หยางชงบิดาของหยางป๋อซึ่งเป็นนายกองในกองกำลังรักษาเมืองปิงเข้าเวรตรวจตราจึงไม่สามารถไปให้กำลังใจบุตรชายได้ ส่วนมารดานางจู่ซื่อหลังกล่าวให้กำลังใจบุตรชายในช่วงเช้านางก็เริ่มการจัดเตรียมอาหารเพื่อรอการกลับมาของบุตรชาย สำหรับนางไม่สนใจว่าบุตรชายจะชนะหรือพ่ายแพ้ ขอเพียงบุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัยนางก็พอใจแล้ว “ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว” หยางป๋อเมื่อเข้าไปในเรือนก็ตะโกนบอกกับมารดา
นางจูซื่อได้ยินเสียงบุตรชายกลับมาก็รีบวางมือจากงานเพื่อที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุตรชายได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เมื่อเห็นหยางป๋อท่าทางกระฉับกระเฉงไม่คล้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บนางก็โล่งใจ “ท่านป้าจู วันนี้ข้ามาขอรบกวนขอรับ” ได้ยินเสียงทักทายนางจูซื่อจึงทราบว่ายังมีผู้อื่นอยู่ด้วย เมื่อเห็นลั่วเฉินนางก็กล่าวเขินอายเล็กน้อย “ดูสิเสี่ยวเฉินก็มาด้วย ป้ามัวแต่เป็นห่วงเจ้าเด็กบ้านี่จนมองไม่เห็นเจ้าไปได้ พวกเจ้าหิวรึยังอาหารใกล้เสร็จแล้ว หากพวกเจ้าหิวสามารถกินกันก่อนได้ไม่จำเป็นต้องรอท่านลุงของเจ้า” “ยังไม่หิวขอรับ ข้ายังมีธุระที่ต้องทำกับเสี่ยวป๋อรอท่านลุงกลับมาค่อยกินพร้อมกันดีกว่าขอรับ” ลั่วเฉินตอบ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำตัวตามสบาย ป้ายังมีงานค้างอยู่” กล่าวจบนางก็หันกายเดินกลับเข้าไปในครัว
ในลานฝึกยุทธลั่วเฉินและหยางป๋อต่างกำลังถือกระบี่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ “เสี่ยวเฉินจริงหรือที่เจ้าว่าเพลงกระบี่ของข้ายังมีจุดที่ต้องแก้ไขอีกหลายจุด” “เจ้าลองออกกระบวนท่าเข้าโจมตีข้าดูจะรู้ได้เอง” ลั่วเฉินตอบ หยางป๋อไม่มั่นใจนัก เขากลัวจะทำให้สหายบาดเจ็บจึงออมกำลังโจมตีออกไปด้วยพลังเพียงห้าส่วน “เพี้ยะ” หยางป๋อรู้สึกชาที่ข้อมือ เมื่อหายมึนงงก็พบว่ากระบี่ในมือกระเด็นหลุดมือไปแล้ว “ใช้กำลังให้เต็มที่” ลั่วเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น หยางป๋อรีบเก็บกระบี่ขึ้นมา คราวนี้เขาไม่กล้าประมาทอีกจึงฟาดฟันกระบี่โจมตีด้วยพลังเต็มที่ “กรงเล็บสีเงิน” นี่เป็นหนึ่งในกระบวนท่าโจมตีที่หยางป๋อมั่นใจ แต่ลั่วเฉินเพียงก้าวถอยหลังเล็กน้อยก็หลบพ้นรัศมีกระบี่ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อลั่วเฉินหลบกระบี่แรกของเขาได้หยางป๋อก็ถีบเท้าเพื่อจะแทงกระบี่ตาม ขณะที่กำลังจะเปลี่ยนกระบวนท่าจากฟันเป็นแทงก็มีเสียง “เพี้ยะ” ดังขึ้นมาอีก กระบี่ในมือกระเด็นหลุดกระเด็นออกไปอีกครั้ง “นี่” หยางป๋อไม่อยากจะเชื่อว่าเพลงกระบี่ที่เขามั่นใจกลับถูกแก้ได้ง่ายดายขนาดนี้ “เพลงกระบี่ที่เจ้าใช้ยังขาดการเชื่อมโยง เวลาที่เจ้าใช้ออกล้วนเต็มไปด้วยช่องโหว่มีการเคลื่อนไหวที่มากเกินความจำเป็น จากที่ข้าดูการแสดงออกของเจ้าบนเวทีวันนี้เพลงกระบี่ของเจ้าสมควรลดเหลือเพียงหกกระบวนท่าก็พอ” ลั่วเฉินกล่าว
เพลงกระบี่ของหยางป๋อเกิดจากการที่บิดาสอนกระบวนท่าที่ใช้กันในกองทัพให้แก่เขา ภายหลังได้รับแรงบัลดาลใจจากการโจมตีของวิหกอสูรบนท้องฟ้าจึงบัญญัติกระบวนท่าออกมาทั้งหมดแปดกระบวนท่า เมื่อเห็นหยางป๋อยังมึนงงลั่วเฉินจึงกล่าว “เจ้าจงมายืนตรงจุดที่พ้นรัศมีกระบี่นี้ เมื่อข้าฟันกระบี่ออกไปเจ้าจงตั้งรับอย่างรัดกุม”
เมื่อเห็นหยางป๋อพร้อมแล้วลั่วเฉินก็ฟันกระบี่ออกด้วยท่วงท่าที่หยางป๋อใช้ออกก่อนหน้านี้ ด้วยรัศมีการยืนกระบี่นี้ย่อมไม่อาจเข้าถึงตัว ลั่วเฉินเริ่มจากการฟันกระบี่จากด้านบน ปราณกระบี่แยกเป็นสามสายแต่ด้วยระยะห่างปราณกระบี่นี้ยังยากที่จะเข้าถึงตัวหยางป๋อ แต่เพียงลั่วเฉินขยับเท้าออกจากตำแหน่งเดิมพร้อมกับพลิกข้อมือเล็กน้อยปราณกระบี่ที่กำลังจะพลาดเป้าหมายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าโจมตีเข้าที่ช่วงเอวด้านซ้ายของหยางป๋อ หยางป๋อกระชับกระบี่ในมือก่อนฟันออกไปเพื่อปัดป้องช่วงเอวที่ถูกโจมตี เมื่อกระบี่นี้ถูกตั้งรับเอาไว้ได้ลั่วเฉินก็ไม่แปลกใจแต่กลับบิดปลายเท้าพร้อมกับพลิกข้อมือกลับอีกครั้ง ก่อนที่หยางป๋อจะทันตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงปราณกระบี่สีเขียวก็เฉียดผ่านใบหน้า จนอดที่จะคิดหวาดเสียวในใจไม่ได้ เมื่อตั้งสติได้ใบกระบี่ก็พาดอยู่ที่คอเรียบร้อยแล้ว
“นี่คือกรงเล็บสีเงินของข้าอย่างนั้น เหตุใดจึงลื่นไหลยากจะป้องกันเช่นนี้” ตอนที่หยางป๋อกล่าวกับคนอื่นว่าลั่วเฉินจะไม่เข้าร่วมการประลองเพราะไม่อยากแย่งชิงตำแหน่งชนะเลิศของเขาเป็นเพียงคำกล่าวอย่างสนุกสนานเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าระดับของเขากับสหายจะต่างกันขนาดนี้ นี่หากสหายเข้าร่วมการประลองจริงๆสามารถจินตนาการได้เลยว่าลั่วเฉินจะต้องชนะเลิศอย่างแน่นอน หยางป๋อพลันถอนใจออกมา
“เจ้าเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ กระบวนท่าที่ใช้มาก่อนหน้านี้ล้วนใช้การเคลื่อนไหวสิ้นเปลืองเกินไป เจ้าลองทำตามที่ข้าแสดงให้เจ้าดูเมื่อครู่ดู” ลั่วเฉินกล่าว หยางป๋อเองก็เป็นผู้คลั่งการฝึกวิชาผู้หนึ่ง เมื่อลั่วเฉินได้ชี้ให้เห็นถึงจุดที่ต้องแก้ไขอย่างชัดเจนเขาก็เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหวตามจุดต่างๆที่ลั่วเฉินบอก จากนั้นลั่วเฉินก็ให้หยางป๋อแสดงกระบวนท่าอื่นๆแล้วจึงชี้จุดที่ต้องแก้ไข หลังจากชี้จุดแก้ไขทั้งหมดลั่วเฉินก็ปล่อยให้หยางป๋อฝึกฝนด้วยตนเอง เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามหยางป๋อที่ก่อนหน้านี้มุ่งสมาธิเต็มที่ก็หยุดลง แม้ว่าจะยังไม่อาจไปถึงจุดที่ตัวเขาคิดว่าสมบูรณ์แบบ แต่การออกกระบวนท่าก็ทำได้ลื่นไหลถึงจุดที่เขาพอใจ เมื่อมองไปรอบๆหยางป๋อก็พบว่าตอนนี้นอกจากเขาแล้วในลานฝึกไม่มีผู้ใดอีก
หลังจากมองหาหยางป๋อก็พบว่าลั่วเฉินกับบิดากำลังนั่งสนทนากันอย่างสนุกสนานอยู่บริเวณชานเรือน คนทั้งคู่นั่งอยู่บนเบาะผ้าหันหน้ามาทางเขาโดยมีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งคั่นอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะวางไว้ด้วยกาสุราพร้อมอาหารอีกสองอย่าง เมื่อเห็นว่าหยางป๋อหยุดการเคลื่อนไหวและกำลังมองมาหยางชงก็กล่าวกับลั่วเฉินเสียงดังว่า “เจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่นับว่ามีวาสนาที่มีเจ้าเป็นสหาย” ลั่วเฉินหัวเราะเบาๆออกมา “เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เสี่ยวป๋อเป็นคนที่มีความพยายามท่านลุงเองก็คงเห็นมาตลอดมิใช่หรือ” หยางป๋อได้ฟังก็รีบเดินเข้ามา “ยังไงก็ต้องขอบใจเจ้ามากเสี่ยวเฉิน เจ้าช่วยข้าขนาดนี้หากพรุ่งนี้ข้ายังไม่สามารถชนะเลิศได้อีกก็คงไม่กล้าสู้หน้าเจ้าแล้ว” กล่าวจบหยางป๋อก็นั่งลงในพื้นที่ว่างก่อนจะถามว่า “จอกสุราของข้าเล่า” “โป๊ก” “โอ๊ย” หยางป๋อร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อพบว่าเป็นบิดาที่ใช้กำปั้นเขกหัว เขาก็รีบลุกเข้าไปหยิบจอกสุราในเรือน
วันต่อมาบนเทีประลองรอบสุดท้าย กรรมการกำลังประกาศขานชื่อเพื่อจะทำการจับสลากจับคู่การแข่งขัน วันนี้ลั่วเฉินยังคงนั่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเมื่อวาน เขารู้สึกว่าตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นการประลองได้ชัดเจนพอสมควร ที่นั่งด้านซ้ายนั่งด้วยหยางชงบิดาของหยางป๋อ นางจูซื่อไม่อาจทนเห็นการต่อสู้ของลูกชายได้จึงทำได้เพียงอยู่เตรียมอาหารไว้รอที่เรือน เมื่อผู้เข้าแข่งขันทุกคนจับสลากเสร็จสิ้นการแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้น
หยางป๋อที่วันนี้มาในชุดนักสู้สีดำเช่นเคยจับได้หมายเลขสองน่าประหลาดใจที่คู่ต่อสู้ในสนามแรกของหยางป๋อเป็นคนเดิมกับคู่ต่อสู้ที่เขาพ่ายแพ้ในปีที่แล้ว หยานซื่อเต๋าชายหนุ่มอายุยี่สิบปีเป็นผู้คุ้มกันจากขบวนคาราวานการค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เขาสามารถเข้าร่วมการแข่งขันเวทีผู้กล้าวัยเยาว์ได้ ปีก่อนหยานซื่อเต๋าสามารถเอาชนะหยางป๋อไปได้ เมื่อจับสลากได้เจอกับหยางป๋ออีกครั้งหยานซื่อเต๋าก็เกิดความมั่นใจ ถึงแม้ปีก่อนจะชนะหยางป๋อได้อย่างฉิวเฉียดแต่ปีนี้เขาสามารถทะลวงเข้าสู่แดนก่อกำเนิดขั้นที่เจ็ดได้สำเร็จอีกทั้งฝีมือการต่อสู้เองก็พัฒนาขึ้นมาก หยานซื่อเต๋าไม่คิดว่าในเวลาหนึ่งปีหยางป๋อจะมีการพัฒนามากกว่าตนเอง
แต่เมื่อการประลองเริ่มขึ้นหยานซื่อเต๋าก็ต้องตกตะลึง เพียงสิ้นเสียงสัญญาณให้เริ่มการประลองของกรรมการบนเวที หยางป๋อก็ฟันกระบี่เข้าโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว “กรงเล็บสายฟ้า” นี่เป็นกระบี่แรกในเคล็ดกระบี่ที่ลั่วเฉินช่วยหยางป๋อพัฒนาขึ้นมาใหม่ซึ่งปรับปรุงมาจาก “กรงเล็บสีเงิน” ของหยางป๋อ หยานซื่อเต๋าฟันดาบเฉียงออกหมายจะสกัดกั้น แต่ทิศทางของรัศมีกระบี่พลันเปลี่ยนแปลงเฉือนถูกบริเวณหัวไหล่
ขณะที่หยานซื่อเต๋าเพิ่งจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นบริเวณลำคอ หยานซื่อเต๋าเห็นใบกระบี่บางสีเขียวใสท่าทางคมกริบกำลังพาดขวางลำคอ หยานซื่อเต๋ากลืนน้ำลายลงไปก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ายอมแพ้” หยานซื่อเต๋าไม่อยากจะเชื่อว่าภายในหนึ่งปีหยางป๋อจะพัฒนาทิ้งห่างตนเองได้ขนาดนี้ ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงฮือฮา บางคนยังไม่ทันได้ตั้งตัวการประลองก็จบลงเสียแล้ว
ความคิดเห็น