คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : นี่คือเรื่องราวของข้า?
ขณะที่ลั่วเฉินกำลังมองสำรวจผู้คนก็มีเสียงดนตรีพลันดังขึ้นจากทิศทางของเวที เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ดังกังวาลท่วงทำนองที่อ้อยอิ่ง แสงไฟบนเวทีค่อยๆสว่างขึ้นบนเวทีเวลานี้มีกลุ่มคนในชุดชาวบ้านกำลังแสดงออกในลักษณะที่เห็นได้ว่ากำลังเก็บเกี่ยวพืชผล ชาวบ้านพูดคุยกันอย่างมีความสุขที่ปีนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้ดี เพียงไม่นานเสียงกลองก็ดังขึ้นมีชายหลายคนเชิดหุ่นทำจากผ้าที่มีลักษณะเป็นสัตว์อสูรเสือตัวใหญ่ออกมาโจมตีผู้คน การแสดงบนเวทีแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสัตว์อสูรที่กวาดล้างโจมตี จนกระทั่งในหมู่ชาวบ้านเหลือเพียงเด็กไม่กี่คนที่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ชายหนุ่มหน้าตางดงามในชุดแดงก็ปรากฎตัวออกมาสังหารสัตว์อสูรก่อนจะปลอบโยนเด็กน้อยด้วยความเมตตา
ฉากค่อยๆเปลี่ยนไป ชายหนุ่มชุดแดงกำลังขับร้องทำนองปลุกเร้ากลุ่มคนอย่างฮึกเหิม กลุ่มคนที่เดิมทีดูหดหู่เศร้าหมองพลันค่อยๆมีชีวิตชีวาขึ้นมาจากเสียงขับร้องอันไพเราะและท่วงทำนองอันปลุกเร้า ฉากยังคงเปลี่ยนไปจนเมื่อชายหนุ่มชุดแดงได้พบกับสตรีชุดขาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก่อนที่สตรีในชุดขาวจะล้มลง ชายหนุ่มชุดแดงยื่นมือออกไปเพื่อประคองสตรีชุดขาวขึ้นมา
ถึงตอนนี้ลั่วเฉินอดถามหยางป๋อที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ว่า “สตรีชุดขาวนั่นคือแม่นางหลินงั้นรึ นางแสดงเป็นผู้ใด” หยางป๋อเองก็เพิ่งเคยชมการแสดงครั้งแรกเช่นเดียวกันจึงไม่อาจตอบสิ่งใดได้ “นี่เจ้าหนุ่ม เจ้าเอาตาไปไว้ที่ไหนแม่นางหลินแสดงเป็นท่านเทพศาสตราต่างหากเล่า ส่วนแม่นางชุดขาวคือน้องสาวของนางที่แสดงเป็นมหาจักรพรรดินีหิมะ” ชายวัยกลางคนร่างอ้วนแต่งกายคล้ายพ่อค้าที่อยู่ถัดไปส่งเสียงตอบ เมืองปิงแม้อยู่ห่างจากเมืองเฉียวราวสองพันลี้แต่ก็มีคาราวานการค้าเดินทางไปมาตลอดจึงมีผู้คนเคยชมการแสดงของคณะละครนี้มาไม่น้อย
ลั่วเฉินพยักหน้าแสดงความขอบคุณชายร่างอ้วนก่อนหันกลับไปชมการแสดง เวลานี้ฉากเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชายชุดแดง สตรีชุดขาวและสหายอีกหลายคนกำลังต่อสู้กับอสูรวิหกสีแดงตัวหนึ่ง ชายชุดแดงสังหารอสูรวิหกสีแดงได้สำเร็จ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีสหายหลายคนล้มตายลง ผู้ชมต่างพากันถอยหายใจอย่างหดหู่
ฉากเปลี่ยนไปอีกครั้ง ครานี้กลายเป็นชายสวมชุดเกราะสีแดงนั่งบนหลังม้าไม้สีดำมือถือไว้ด้วยทวนยาวชี้ไปด้านหน้า ที่หลังสะพายคันธนู ที่เอวมีกระบี่เหน็บอยู่ สตรีชุดขาวนั่งบนม้าไม้ที่ทาด้วยสีขาว มือจับกระบี่ไว้แน่นด้านหลังยังมีกลุ่มคนถืออาวุธอีกสิบกว่าคนลั่วเฉินมองแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ “เหตุใดข้าจึงดูพะรุงพะรังถึงเพียงนั้น แล้วผู้ใดกันที่แต่งละครเรื่องนี้ เจ้าไม่คิดที่จะให้จักรพรรดิที่เหลือมีบทบ้างหรือ”
เสียงเครื่องดนตรีเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้มีทั้งเสียงกลองเสียงฉินและเสียงซอเอ้อหู มังกรผ้าสีดำตัวใหญ่ถูกคนหลายคนเชิดออกมา ท่วงทำนองที่ปลุกเร้าพร้อมการสู้รบอันดุเดือดดำเนินต่อไปผู้คนค่อยๆล้มตายลงทีละคน เมื่อเหลือคนไม่มากแล้วชายชุดเกราะแดงก็ขับร้องถ้อยคำเสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วยความไพเราะ ก่อนที่ชายชุดแดงจะเข้าพุ่งโจมตีมังกรผ้าสีดำ เสียงระเบิดของดินปืนดังขึ้นพร้อมกลุ่มควันเล็กน้อยบนเวที ก่อนที่ทั้งชายชุดเกราะแดงและมังกรผ้าสีดำล้วนฉีกกระจายออกเป็นชิ้นๆ
ผู้คนเมื่อเห็นฉากนี้ต่างส่งเสียงฮือฮากันออกมา ลั่วเฉินคิดว่าคณะละครนี้แสดงได้ดีมากสามารถวางกลไกด้านล่างเวทีได้อย่างแนบเนียน ดนตรีค่อยๆเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองโศกเศร้าสตรีชุดขาวค่อยๆคุกเข่าลงหลั่งน้ำตา ฉากนี้ทำให้บรรดาผู้ชมที่เป็นสตรีอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตาม แม้แต่หยางป๋อที่อยู่ข้างๆยังมีเงาน้ำในดวงตา ลั่วเฉินเองที่รู้ความจริงของเรื่องราวดีก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในการแสดง “ช่างซาบซึ้งกินใจยิ่งนัก”
หลังการแสดงจบลงพร้อมเสียงปรบมือกลุ่มนักแสดงก็โค้งคำนับให้กับผู้ชม เด็กหนุ่มสาวหลายคนสวมใส่เสื้อปักอักษรของคณะแสดงหว่านชิว เมืองเฉียว เดินถือตะกร้าสานเพื่อรับรางวัลจากผู้ชม ผู้ชมหลายคนบ้างให้เศษเหรียญเงินบ้างให้เหรียญทอง ยังมีผู้ชมที่เป็นเศรษฐีตกรางวัลด้วยตั๋วเงินใบใหญ่
ลั่วเฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมฟังเหล่าผู้ชมที่สนทนากัน หลายคนชื่นชมความเสียสละของท่านเทพศาตรา หลายคนเศร้าเสียใจไปกับมหาจักรพรรดินีหิมะ ลั่วเฉินนั่งฟังเสียงสนทนาพลางครุ่นคิด “หากพวกเจ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเพราะข้าพวกเจ้าจึงมีอายุขัยกันได้เพียงเท่านี้และเพราะข้าพวกจึงฝึกฝนบ่มเพาะอย่างยากลำบากพวกเจ้ายังจะสรรเสริญข้าอีกหรือไม่ และหากพวกเจ้ารู้ว่าสตรีที่พวกเจ้ากำลังเศร้าโศกให้นาง แท้จริงแล้วนางเป็นหนึ่งคนที่ร่วมกันพยายามสังหารข้าพวกจะรู้สึกอย่างไร”
“พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทานอาหารมื้อใหญ่ ดื่มสุรารสเลิศที่เหลาสุราหอมอัมพัน” หยางป๋อเอ่ยชักชวน วันนี้เขาได้รับสิ่งของมากมายจากลั่วเฉิน แม้ลั่วเฉินจะมอบให้เขาด้วยความเต็มใจในฐานะสหายแต่หยางป๋อก็อยากตอบแทนน้ำใจลั่วเฉินบ้างสักเล็กน้อยตามกำลังที่เขามี เหลาสุราหอมอัมพันแม้จะเป็นเหลาสุราอันดับหนึ่งของเมืองปิงแต่ราคาอาหารก็ไม่ได้แพงมากนัก หยางป๋อสามารถใช้จ่ายแล้วยังมีเงินเหลือไปคืนให้กับบิดาอีกมาก “ตกลง เพียงแต่เลี้ยงอาหารก็พอ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอันใดที่เรียกว่าสุรารสเลิศ” ลั่วเฉินกล่าวตอบ
“การแสดงจบลงแล้ว ข้าขอเชิญแม่นางเซียวและคุณชายหลัวกลับไปทานอาหารที่จวน ข้าได้ให้คนจัดเตรียมอาหารชั้นเลิศอีกทั้งวัตถุดิบยังส่งตรงจากเมืองใหญ่ไว้ต้อนรับแม่นางเซียวและคุณชายหลัวโดยเฉพาะ” หานฉู่กวงกล่าวเชิญอย่างสุภาพ แม้ว่าเขามีฐานะเป็นถึงเจ้าเมืองอีกทั้งยังอาวุโสกว่ามากแต่เขายังคงกล่าวกับหญิงสาวและชายหนุ่มอายุน้อยอย่างสุภาพ นั่นเพราะหญิงสาวและชายหนุ่มคู่นี้ล้วนเป็นศิษย์จากหุบเขาเซียนกระบี่ที่เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเซี่ย ทั้งยังเป็นสำนักที่มหาจักรพรรดินีหิมะก่อตั้งขึ้น อีกทั้งหญิงสาวที่มีอายุราวยี่สิบปีกลับมีพลังฝึกฝนเทียบเคียงได้กับเขา
ขณะที่ใบหน้าของชายหนุ่มแซ่หลัวแสดงออกอย่างพึงพอใจและกำลังจะตอบตกลงหญิงสาวชุดขาวก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “น้ำใจของท่านเจ้าเมืองหลิงซีขอรับไว้ แต่หลิงซีเดินทางมาไกลหลายหมื่นลี้ยังคงหวังว่าจะได้ทานอาหารท้องถิ่น อีกทั้งงานเทศกาลยังครึกครื้นยิ่งนักหลิงซีอยากเที่ยวชมดู” หญิงสาวชุดขาวแม้ใบหน้านางจะเรียบเฉยแต่ยังคงตอบกลับอย่างสุภาพ ชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่าคุณชายหลัวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เนื่องจากมันยังอยากใช้เวลาใกล้ชิดกับธิดาคนงามของเจ้าเมือง หลัวเซี่ยอวี่ผู้เป็นชายหนุ่มผู้สำราญคนหนึ่งในเมืองหลวงอยากลิ้มลองกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าสักครั้งแต่นี่คือถิ่นของผู้อื่นจึงไม่อาจแสดงออกได้มากนัก อีกทั้งมันรับคำสั่งอาจารย์ให้เป็นเพียงผู้ติดตามและคอยจับตามองศิษย์พี่หญิงเท่านั้น
หานฉู่กวงแม้จะอยากเพิ่มความสนิทสนมกับศิษย์ของหุบเขาเซียนกระบี่คู่นี้ แต่จำเป็นยอมถอยไปก่อน “ยังมีเวลาอีกหลายยังไม่เป็นต้องรีบร้อน ยังไงพวกเขาก็พักที่คฤหาสน์ของเรา” หานฉู่กวงคิดในใจก่อนจะยิ้มพลางกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นให้อี้หนิงบุตรสาวของข้าพาพวกท่านเที่ยวชมงานเป็นอย่างไร” “ย่อมดีอย่างยิ่ง” หลัวเซี่ยอวี่พลันโพล่งวาจาออกมาทันที “นี่นับว่าดีกว่าเดิมไม่ใช่หรือ หากปราศจากบิดาของนาง มันย่อมแสดงออกได้มากขึ้น” หลัวเซี่ยอวี่คิดในใจอย่างชั่วร้าย ขณะหลัวเซี่ยอวี่กำลังแสดงสีหน้ามีความสุขก็สังเกตเห็นศิษย์พี่หญิงกำลังหรี่ตามองมาอย่างเยือกเย็น เซียวหลิงซีไม่กล่าวอันใดถึงการแสดงออกของศิษย์น้องเพียงหันไปกล่าวกับหานฉู่กวงว่า ”หลิงซีขอบคุณน้ำใจของท่านจ้าวเมืองอีกครั้ง หลิงซีจะดูแลความปลอดภัยของคุณหนูหานเป็นอย่างดี”
ในเหลาสุราหอมอัมพันคับคั่งไปด้วยผู้คน ในงานเทศกาลประจำปีนี้เหลาสุราหอมอัมพันที่ปกติได้รับนิยมอยู่แล้วยิ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คนหมุนเวียนเข้าออกตลอดทั้งวันนับว่าหลายวันมานี้กิจการค้าขายดียิ่งนัก ที่โต๊ะริมหน้าต่างลั่วเฉินและหยางป๋อกินดื่มสนทนากันอย่างออกรสท่ามกลางสายตาผู้คนโต๊ะใกล้เคียงที่มองมาเป็นระยะ “เจ้าได้สุรานี้มาจากที่ใด รสดียิ่งอีกทั้งเพียงจิบคำเล็กๆ ข้ายังสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทั้งตัว ข้าฝากเจ้าซื้อให้บิดาข้าซักหน่อยได้หรือไม่ หากข้านำสุรานี้ไปให้บิดาได้ลิ้มลอง บิดาจะต้องร่ำร้องเชิดชูว่าข้าเป็นบุตรกตัญญูอย่างแน่นอน” หยางป๋อกล่าวกับลั่วเฉินอย่างอ้อนวอนเล็กน้อย ลั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “หากเจ้าต้องการก่อนจะกลับข้าจะให้ไหหนึ่งแก่เจ้า ข้าจะไม่ส่งเสริมบุตรล้างผลาญเช่นเจ้าแสดงเป็นบุตรกตัญญูได้อย่างไร” หยางป๋อเชิดหน้าแสดงท่าทางอวดดีก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าคอยดูเถอะ หลังจากข้าชนะเลิศบนเวทีประลองผู้กล้าวัยเยาว์ข้าจะเอาตั๋วเงินไปกองตรงหน้าบิดา ให้บิดาร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งไปเลย”
ขณะที่สหายทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็มีเสียงดังเข้ามาในโสตประสาท ผู้พูดเป็นชายหนุ่มที่กำลังตะคอกใส่บริกรคนหนึ่งว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร เจ้ากล้าที่บอกพวกเราว่าห้องรับรองทั้งหมดเต็มอย่างนั้นหรือ” ทั้งเหล่าลูกค้าและพนักงานในร้านต่างหันมองพบว่าผู้มาเป็นชายหนุ่มหนึ่งคนและหญิงสาวงดงามสองคน บริกรอีกคนที่มีประสบการณ์มากกว่าจำหนึ่งในหญิงสาวได้ทันทีจึงรีบวิ่งออกไปรับหน้า
“คารวะคุณหนูหานขอรับข้าจะรีบตรวจสอบห้องรับรองให้นะขอรับ ขอคุณหนูโปรดรอสักครู่” ก่อนที่บริกรจะได้วิ่งออกไปหญิงสาวชุดขาวเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ไม่จำเป็นเพียงท่านหาโต๊ะในโถงรวมให้พวกเราสักโต๊ะหนึ่งก็พอ” บริกรหันมองหน้ากันอย่างลำบากใจ ในห้องโถงรวมล้วนมีลูกค้ากำลังกินดื่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไม่มีท่าทีจะจากไป หากไม่ไล่ลูกค้าที่นั่งอยู่พวกเขาจะหาโต๊ะว่างมาจากที่ใด
หานอี้หนิงที่สังเกตบรรยากาศรอบตัวตั้งแต่แรกที่เข้ามา เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าจึงเอ่ยว่า “พี่สาวหลิงซี คุณชายหลัว ข้าพบคนรู้จักสองคน หากท่านไม่ว่าอะไรเราลองสอบถามพวกเขาดูว่าสามารถให้พวกเราร่วมโต๊ะได้หรือไม่ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร” เซียวหลิงซีพยักหน้าเบาๆกล่าวว่า “ตกลง แต่หากพวกเขาไม่สะดวกพวกเราจะย้ายไปที่เหลาสุราอื่น” “พวกมันกล้าไม่สะดวกงั้นรึ” หลัวเซี่ยอวี่กล่าวอย่างเหยียดหยาม
ลั่วเฉินและหยางป๋ออยู่ไม่ไกลนักจึงย่อมได้ยินบทสนทนาแต่พวกเขาทั้งสองคนยังไม่ทราบว่าหานอี้หนิงกล่าวถึงผู้ใด เมื่อเห็นหานอี้หนิงเดินนำคนที่เหลือมาทางพวกเขา พวกเขาต่างมีความคิดของตนเอง ลั่วเฉินกำลังคิดว่า “นี่เรียกว่าข้าคือเฒ่าจันทราอย่างแท้จริง เพียงคิดจะผูกด้ายแดงหยางป๋อก็มีโชคด้านความรักเสียแล้ว” ขณะที่หยางป๋อเวลานี้หนังศีรษะชาไปชั่วขณะ สมองกำลังมึนงงไปมา “นี่นางรู้จักข้าด้วยอย่างนั้นรึ หรือนางรู้จักเสี่ยวเฉินแต่เอ่ยถึงข้าด้วยเพื่อไม่ให้ข้าลำบากใจ นางช่างจิตใจดียิ่งนัก”
ไม่ต้องให้หยางป๋อต้องสงสัยเป็นเวลานาน เวลานี้หานอี้หนิงพาคนอีกสองคนมาถึงโต๊ะก่อนจะกล่าวทักทายว่า “คุณชายหยาง คุณชายลั่ว เนื่องจากเหลาสุรามีลูกค้าจำนวนมาก หากไม่รบกวนมากเกินไปพวกข้าขอร่วมโต๊ะกับพวกท่านจะได้หรือไม่ อาหารมื้อนี้อี้หนิงขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารพวกท่านเองท่านจะว่าอย่างไร”
หยางป๋อกลายเป็นหินไปแล้วสมองเขาคล้ายถูกจุดระเบิด “นางรู้จักข้าอีกทั้งนางยังทักทายข้าก่อนเสี่ยวเฉิน” หยางป๋อคล้ายคนที่วิญญาณออกจากร่าง ความจริงแล้วหายากที่บุตรหลานขุนนางในเมืองปิงจะไม่รู้จักชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ ลั่วเฉินขึ้นชื่อว่าเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสารมีปู่ที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่ชีวิตกลับยากลำบาก ส่วนหยางป๋อขึ้นชื่อในหมู่ธิดาขุนนางว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่บ้าการฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง ลั่วเฉินส่งเสียงกระแอมก่อนจะตอบ “เป็นเกียรติของพวกข้าที่ได้ร่วมโต๊ะกับคุณหนูหานและสหาย ค่าอาหารขออย่าได้เอ่ยขอให้เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ได้รับเกียรตินี้” “ค่าอาหารนี้จะเท่าใดกัน เหตุใดต้องกล่าวมากความ” หลัวเซี่ยอวี่กล่าวอย่างดูถูก
เมื่อได้ฟังวาจาเหยียดหยามเช่นนี้ ลั่วเฉินพลันหรี่ตาขณะที่หานป๋อแม้จะมึนงงอยู่บ้างแต่ก็ลุกขึ้นยืนก่อนแสดงสีหน้าเย็นชา หานอี้หนิงย่อมมองเห็นสถานการณ์จึงรีบกล่าววาจาเพื่อคลี่คลาย “ล้วนเป็นสหายของอี้หนิงขอเชิญทุกท่านนั่งลง อี้หนิงขอดื่มคารวะแก่ทุกท่านดีหรือไม่” หยางป๋อได้ฟังคำกล่าวของหานอี้หนิงก็นั่งลงแต่โดยดี ผู้เฒ่าจันทราลั่วเฉินย่อมไม่อาจทำลายโอกาสอันดีของสหายได้จึงไม่กล่าววาจาใดอีก สำหรับหลัวเซี่ยอวี่แม้จะยังคิดดูถูกในใจแต่เมื่อหานอี้หนิงเอ่ยออกมาจึงต้องแสดงออกถึงการให้เกียรตินางไปก่อน
ความคิดเห็น